ชิลีเป็นประเทศกำลังพัฒนาเพียงประเทศเดียวที่มีโปรแกรมคูปองใช้ ทั่วประเทศ ในปี ค.ศ.1980 ทรัพย์สินทั้งหมดของโรงเรียนถูกถ่ายโอนจากกระทรวงศึกษาธิการไปยังส่วนปกครองท้องถิ่นและครูกลายมาเป็นลูกจ้างของรัฐ ส่วนปกครองท้องถิ่นจะได้รับเงินอุดหนุน ในแต่ละเดือนโดยคำนวณจากจำนวนนักเรียนในโรงเรียนเทศบาลแต่ละโรงเรียน นอกจากนี้ ส่วนท้องถิ่นยังให้เงินแก่นักเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนที่ได้รับเงินอุดหนุนด้วย ส่วนโรงเรียนเอกชนที่ไม่อยู่ในระบบคูปองก็จะไม่ได้รับเงินทุนใดๆ โดยในปี ค.ศ. 1987 ชิลีเริ่มมีการอุดหนุนโรงเรียนเอกชน ทำให้มีนักเรียนเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ในปี ค.ศ.1988 มีนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่เข้าเรียนโรงเรียนเอกชนถึงร้อยละ 30.4 และในปีเดียวกันมีการขยายตัวของโรงเรียนมัธยมศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยภาคเอกชนที่ได้รับเงินอุดหนุนมีนักเรียนคิดเป็นร้อยละ 40.8 ของผู้เรียนที่สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาทั้งหมด
การใช้คูปองการศึกษาของประเทศชิลีมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงคุณภาพและระยะเวลาของการเข้ารับการศึกษา โดยใช้วิธีทดสอบผลการเรียนของนักเรียน (Student Performance Examination-PER) ซึ่งผลการทดสอบชี้ให้เห็นว่า ในปี ค.ศ.1988 คุณภาพทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชนที่ได้รับเงินอุดหนุนสูงกว่าโรงเรียนเทศบาลอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้จำนวนปีการศึกษาโดยเฉลี่ยของกลุ่มประชากรที่มีรายได้ต่ำในประเทศชิลีเพิ่มสูงขึ้น และอัตราการไม่รู้หนังสือในหมู่เยาวชนก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ระบบคูปองการศึกษาของประเทศชิลีเคยได้รับผลกระทบจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของคูปองลดน้อยลง รัฐจึงแก้ปัญหาโดยยินยอมให้โรงเรียนเก็บค่าธรรมเนียมการให้บริการเพื่อชดเชยมูลค่าที่ลดลงของคูปอง ซึ่งทำให้ผู้ปกครองจ่ายเงินเพิ่มขึ้นแก่โรงเรียนที่ส่งบุตรหลานไปเรียนด้วยความสมัครใจ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะพยายามรักษาหรือเพิ่มคุณภาพของการศึกษา
อ่านแล้วค่ะ ได้รับความรู้ ขอบคุณค่ะ
การใช้คูปองการศึกษา เป็นการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา
สำหรับประเทศไทยเรานั้น ควรจะค่อย ๆ ดำเนินการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คนไทยได้ศึกษากับการเรียนรู้แบบใหม่ เพราะคนไทยบางคนยังไม่ค่อยจะยอมรับในสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทางการศึกษารูปแบบใหม่ ควรประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้