ประเด็นเรื่องพระ-เณรดูโทรทัศน์นี้ เคยเขียนเล่าไว้ในหนังสือเรื่อง วัดเปลี่ยนไป เพื่อเป็นอนุสรณ์ในงานทอดผ้าป่าเมื่อ ๒-๓ ปีก่อน... สำเนาเดิมก็ยังหาไม่เจอ หนังสือก็แจกไปหมดแล้ว... ดังนั้น จะเล่าย่อๆ เป็นการนำเรื่องก่อนที่จะเข้ารายการโทรทัศน์ในตอนต่อไป....
ตอนผู้เขียนเล็กๆ เคยนั่งทำเฒ่าฟังผู้หลักผู้ใหญ่คุยกันในประเด็นว่า พระฟังวิทยุสมควรหรือไม่ ? ซึ่งบางคนก็บอกว่าไม่สมควร บางคนว่าฟังข่าวนะพอได้ แต่ฟังเพลงหรือละครนั้นไม่เหมาะสม... ประมาณนี้
เมื่อผู้เขียนแรกบวช (๒๕๒๘) สมภารวัดหนึ่งมีหลานนำโทรทัศน์ข่าวดำเล็กๆ มาถวายเพื่อให้ลุงหลวงได้ดูเล่นยามเบื่อๆ เซ็งๆ ... จึงกลายเป็นปรากฎการณ์ว่า มีการวิจารณ์เรื่องนี้ บางคนก็เห็นด้วย บางคนก็ไม่เห็นด้วย... ซึ่งข้อวิพากษ์ก็เป็นไปทำนองเดียวกับกรณีวิทยุในสมัยก่อน...
......
เมื่อผู้เขียนแรกมาอยู่วัดยางทอง (๒๕๓๐) ท่านอาจารย์อดีตเจ้าอาวาสก็บอกว่า วัดนี้ห้ามมีโทรทัศน์ เพราะถ้ามัวแต่ดูโทรทัศน์ ก็จะขี้เกียจท่องหนังสือ อนุญาตให้มีเพียงวิทยุเทปไว้ใช้อัดเสียงแปลภาษาบาลีหรือฟังเพลงฟังข่าวคลายเครียดเท่านั้น ... ประมาณนี้
วัดยางทองไม่มี แต่วัดใกล้ๆ กันตอนนั้นเค้าเริ่มมีแล้ว... พระหนุ่มเณรน้อยที่วัดจึงมักจะไปดูบอล มวย หรือหนังจีน ตามแต่ใครจะโปรดปรานรายการใด ซึ่งบางครั้งก็กลับมาดึกๆ ดื่นๆ (วัดที่ใกล้ที่สุด กำแพงห่างกันไม่เกินร้อยเมตร)... พระหนุ่มเณรน้อยจึงต้องคอยหลบหลีกท่านอาจารย์อยู่เสมอ....
ส่วนท่านอาจารย์เองก็มีธุระภาระของท่านที่จะต้องไปวัดใกล้เคียงเช่นเดียวกัน... บางครั้งก็ถือโอกาสดูบอลดูมวยกับเค้าบ้าง... จึงเป็นอันว่า บางครั้ง ดึกๆ พระหนุ่มเณรน้อยกับท่านเจ้าอาวาสมาเจอกันที่ประตูวัดโดยบังเอิญ... ประมาณนี้
สำหรับวัดยางทอง ต่อมา ก็มีมติว่า ซื้อโทรทัศน์หนึ่งเครื่องตั้งไว้ที่กุฏิท่านเจ้าอาวาส พระหนุ่มเณรน้อยจะได้ไปดูตามใจชอบ ไม่ต้องแวะเวียนไปวัดใกล้ๆ ให้เป็นที่ครหาของวัดอื่นๆ หรือชาวบ้านใกล้วัด... ประมาณนี้
.........
เมื่อ ปี ๒๕๓๓ ผู้เขียนสอบ ปธ.๓ ได้ น้องสาวซื้อโทรทัศน์ให้หนึ่งเครื่อง เพราะผู้เขียนปรารภว่าอยากดูบอลโลก... จบบอลโลกไม่นาน ปี ๒๕๓๔ ผู้เขียนก็ขึ้นไปอยู่กรุงเทพ ทิ้งโทรทัศน์ไว้ที่บ้าน และผู้เขียนก็ไม่เคยมีโทรทัศน์เป็นของส่วนตัวอีกเลย จนกระทั้งปีที่แล้ว...
บอลโลกปีที่แล้ว อยากจะดูบอลโลกขึ้นมาอีก น้องชายจึงซื้อโทรทัศน์ให้เครื่องหนึ่ง... และนับเป็นเครื่องที่สองซึ่งผู้เขียนได้ครอบครองเป็นของส่วนตัว....
.....
ตั้งแต่มีโทรทัศน์มา ผู้เขียนก็เปิดโทรทัศน์เกือบตลอดในยามว่าง เมื่อมีข้อคิดเห็นบางประการเกิดขึ้น ก็ใคร่จะบอกเล่าให้ใครฟังสักคน แต่ไม่ค่อยได้บอกเล่าให้ใครฟัง...
ดังนั้น จึงใคร่ถือโอกาสนี้บอกเล่าความคิดความเห็นโดยมีโทรทัศน์เป็นตัวนำในเรื่องต่างๆ ตามแต่เหตุปัจจัยจะนำพาให้เป็นไป.....
พระอาจารย์ครับ...
เพื่อนผม(เรียนรุ่นเดียวกัน)...ได้ข่าวว่าตอนนี้ฝึกถึงขั้นไม่ดูโทรทัศน์แล้ว(เห็นมีการไปวัดแสงออร่าด้วย...ไม่ทราบว่าเป็นไง...อิอิ) มีคนบอกว่าน่าจะเป็นศิษย์สำนักวัดอัมพวัน...
ตอนที่ผมบวชอยู่ก็ไม่เคยดูโทรทัศน์เลยครับ(อาจเป็นเพราะช่วงนั้นไม่มีบอลโลก...555)...
ความเห็นผม...ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ สำหรับสงฆ์ที่จะดูโทรทัศน์หรอกครับ...เพียงแต่ว่า เจตนาในการดูของพระเป็นไปเพื่อสิ่งใดมากกว่า....
เพิ่งสรงน้ำเสร็จ เปิดมาเจอท่านเลขาฯ รู้สึกสดชื่นยิ่งขึ้น... ไปเยี่ยมบล็อกท่านเลขาฯ เรื่อยๆ เห็นไม่มีอะไรใหม่ ก็คิดว่าท่านเลขาฯ คงมีภารกิจรัดตัวรัดใจ...
เดียวนี้หมดสมัยแล้ว เรื่องการวิจารณ์ว่าพระ-เณรเหมาะสมหรือไม่ในการดูโทรทัศน์...
แต่...ถ้าดูโทรทัศน์มากเกินไป ก็ไม่สมควรไม่ว่าจะเป็นพระ-เณร หรือชาวบ้านวัยใดก็ตาม...
จะนำเรื่องในโทรทัศน์มาวิจารณ์ เห็นไว้หลายประเด็น ปล่อยให้ผ่านไปๆ ไม่นำมาเขียนมั้ง รู้สึกว่า คิดทิ้งๆ ไร้สาระเกินไป ...
ถ้านำมาเขียนเล่าวิจารณ์กันบ้าง น่าจะมีสาระเกิดขึ้นบ้าง... ประมาณนั้น.
เจริญพร
นมัสการหลวงพี่...ผมมาเยี่ยมหลายครั้งแล้วแต่ไม่ทราบว่าทำไมส่งข้อความไม่ได้ สุขกายสบายดีหรือเปล่า นานมาแล้วไม่ได้เสวนากัน ตอนนี้ผมยังอยู่สตูลที่เดิมว่างๆนิมนต์มาเที่ยวบ้าง โบสถใกล้เสร็จแล้วยังมีงานบุญอะไรบอกข่าวมาบ้าง
พิชิต ศรีสงคราม |
อาจารย์พิชิต... รู้สึกปลื้มเลย ที่เห็นชื่อ
ก็สมัครเป็นสมาชิก ว่างๆ ก็เขียนเล่าบ้าง...
เจ้าตัวน้อยเป็นไง ? ไม่รู้เขียนเรื่องอะไร ก็เล่าเรื่องเจ้าตัวน้อยก็ได้...
อ๋อ วันก่อนไปงานฉลองที่วัดโพธิเจริญธรรม ลืมนึกถึงอาจารย์พิชิต... ถ้านึกได้วันนั้น จะพ้นไปเยี่ยม...
วันหลังถ้าผ่านไป ค่อยไปเยี่ยม จ้า...
เจริญพร
พิชิต |
ขอบใจ จ้า...
โบสถ์ที่วัด สร้างเสร็จแล้ว ปีที่แล้วก็ฝังลูกนิมิต กรรมการเค้ารีบทำให้เสร็จๆ ตอนนี้ก็บวชพระใหม่ ๒-๓ครั้งแล้ว....
เจริญพร
กราบนมัสการค่ะพระอาจารย์
เมื่อคืนเข้ามาอ่าน เคยครุ่นคิดอยู่เหมือนกันเกี่ยวกับเรื่องที่พระอาจารย์พูดถึง แล้วบังเอิญเมื่อเช้าได้อ่านเรื่อง การระวังตนของผู้มุ่งนิพาน เข้าพอดี อยากทราบความคิดเห็นของพระอาจารย์ค่ะ
กราบนมัสการค่ะ
ขอบใจจ้า ที่ชวนไปดู.....
โลกแห่งความเป็นจริง โลกแห่งอุดมคติ และโลกแห่งความเพ้อฝัน ๓ ประการนี้ เป็นอย่างไร ?
ศิลปะแห่งการดำเนินชีวิต ก็คือการทำให้โลกแห่งความเป็นจริงเป็นไปสอดคล้องกับโลกแห่งอุดมคติ....
ถ้าโลกแห่งความเป็นจริงของใครบางคน อยู่ต่างฟากฝั่งกับโลกแห่งอุดมคติ ก็จะกลายเป็น โลกแห่งความเฟ้อฝัน ..
บันทึกของหลวงพี่ทั้งหมด พยายามนำเสนอโลกของความเป็นจริงที่สอดคล้องกับโลกแห่งอุดมคติ...
การมุ่งพระนิพพาน จัดเป็น โลกแห่งอุดมคติ
พระ-เณรดูโทรทัศน์ จัดเป็น โลกแห่งความเป็นจริง
ก็ฝากข้อคิดไว้เพียงแค่นี้ก่อน ....
เจริญพร
กราบนมัสการค่ะพระอาจารย์
ขอบพระคุณค่ะ ติดตามอ่านเพื่อศึกษาและความเข้าใจเพิ่มขึ้นอยู่ค่ะ ยอมรับว่ายังเป็นนักเรียนอนุบาลอยู่ค่ะในเรื่องนี้
กราบนมัสการค่ะ
กราบนมัสการหลวงพี่
เดียวนี้หมดสมัยแล้ว เรื่องการวิจารณ์ว่าพระ-เณรเหมาะสมหรือไม่ในการดูโทรทัศน์...
แต่...ถ้าดูโทรทัศน์มากเกินไป ก็ไม่สมควรไม่ว่าจะเป็นพระ-เณร หรือชาวบ้านวัยใดก็ตาม...
เคยมีข่าวว่า บางประเทศมี วันไม่ดูโทรทัศน์ หรือสัปดาห์ไม่ดูโทรทัศน์...
คนมักจะเบื่อสิ่งเดิมๆ ต้องการสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ... พวกดูโทรทัศน์ก็ทำนองนี้ ...
ระยะนี้ ฝนตกทุกวัน แต่อากาศก็ยังร้อนอบอ้าวเหมือนเดิม....
หลวงพี่ว่า ร้อนขึ้นทุกปีจริงๆ...
เจริญพร
ชอบโอรดกันทั้งพี่ทั้งน้อง