ย้ำสิงคโปร์ให้เต็มฝ่าเท้า


เห็น KKH แล้ว

วันที่ 7 พฤษภาคม 2550

เช้านี้ถือเป็นเช้าวันแรก ถ้าไม่นับรวมเมื่อวานที่เดินทางมาถึง ผมตื่นตั้งแต่ตี 5 กว่าๆ เพราะนอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย อ.เต็มศักดิ์ก็พาลงไปกินมื้อเช้า อาหารเช้าที่โรงแรมนี้เป็นแบบบริการตัวเองทั้งหมด เขามีขนมปังให้ปิ้งเอง ชงกาแฟเอง มีโต๊ะให้นั่ง 2 โต๊ะ ที่เหลือนั่งแบบบาร์ หลังจากกินเสร็จก็ออกเดินทางโดยมุ่งหน้าไปยังสถานี Outram Park MRT สถานีนี้อยู่ใกล้โรงแรมมาก ออกจากโรงแรมแล้วเลี้ยวขวา เราจะพบวัดฮินดูซึ่งตอนนี้กำลังมีสังกะสีปิดทางด้านหน้าไว้ เนื่องจากกำลังซ่อมแซมอยู่ เราต้องเดินผ่าน Duxtron park ที่มีต้นไม้ใหญ่มากมายในสวนเล็กๆ ต้นไม้อะไรก็ไม่รู้มีดอกขนาดใหญ่และช่อใหญ่อยู่ที่ลำต้น อ.เต็มศักดิ์รำพึงว่า รู้สึกว่าเป็นต้นไม้ที่มีอยู่ในพุทธประวัติเสียด้วย เดินประมาณ 5 นาทีก็ถึงแล้ว ผมเริ่มจัดการเรื่องการเดินทางของตัวเองโดยตรวจสอบดูราคาที่เหลืออยู่ในบัตร EZ Link ของผม พบว่าเหลืออยู่ 7 เหรียญ เลยเติมเงินไป 10 เหรียญ แล้วมุ่งหน้าไปสถานี Little India ทันที เพียงแค่ 7 นาทีก็ถึงแล้ว จากนั้นก็เดินตามทางที่เขาแสดงไว้ว่าไป KKH เดินอีก 5 นาทีก็ถึงแล้ว

KKH เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีเพียง 2 ตึก แยกตึกเด็กและตึกผู้หญิงออกไป มองจาก google map จะมีลักษณะเหมือนลูกศร 2 อันชี้เข้าหากัน ผมก็เดินไปยัง Women’s wing กดลิฟท์ไปชั้น 6 และเข้าภาควิชา Urogynaecology และถามหา Judy เลย Judy เป็นคนเชื้อสายจีน วัยกลางคน หน้าตาใจดี (และใจดีจริงๆ) ได้พาผมไปพบกับ Dr Han ในห้อง เราได้ทักทายกัน ดูเหมือนกับเขาจะจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอกันที่จุฬาลงกรณ์ จากนั้น Judy ก็แนะนำให้รู้จักกับคนที่อยู่ใน office ขณะนั้น ผมได้พบกับ Shukiman (fellow จาก Malaysia) , fellow จากฟิลิปปินส์ (จำชื่อไม่ได้), Dr Author Tseng คนนี้เป็น staff ที่เพิ่งกลับมา เพิ่งเรียนจบ (คนนี้ น่าจะเป็นคนที่บีเคยโทรศัพท์มาคุยกับผมว่า มาใหม่และเฮี้ยบมาก ดูท่าทางออกจะเป็นหญิงหน่อยๆ) และได้แนะนำให้รู้จักกับเจ้าหน้าที่อีกหลายคน รวมถึงพื้นที่ใช้สอยต่างภายใน office จากนั้นเธอพาผมไปยัง office ของ Human resource (HR) เพื่อพบกับ Elaine ซึ่งเธอคนนี้ได้จัดเตรียมเอกสารต่างๆไว้ให้ผมเรียบร้อยแล้วเพื่อจะต้องไปจัดการเดินเรื่องต่างๆอีก คือ ผมต้องไปตรวจร่างกายใหม่ที่ Medical Health Check up (MHC) ซึ่งอยู่ที่โรงแรม Amara ชั้น 4 ให้แผนที่มาเรียบร้อย จากนั้นให้ไปที่ Singapore Medical Council เพื่อรับ temporary license และไปจ่ายเงินค่า malpractice insurance ที่ Singapore Medical Alumni (SMA) แล้วรออีก 2-3 วัน เมื่อได้รับผลการตรวจร่างกายแล้วจึงสามารถไปขอ work permit จากกระทรวงแรงงาน (Ministry of Manpower, MOM) ได้                

ออกจาก KKH ผมก็มาขึ้น shuttle bus ไปลงที่ Bugis MRT และกลับโรงแรมเพื่อตั้งหลัก ดูแผนที่ใหม่ เพราะคุ้นๆว่าโรงแรม Amara ที่เขาบอกนั้น น่าจะอยู่ใกล้ๆกับ Chinatown อีกอย่างคือ ผมลืม passport ไว้ที่โรงแรมเสียด้วย จากแผนที่นั้นผมพบว่า ผมสามารถเดินไปโรงแรม Amara ได้สบายมาก ก็เลยเริ่มออกเดินทางไปตามถนนหน้าโรงแรมทันที ประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว แดดไม่ค่อยถูกตัวนัก เพราะว่าที่นี่มีต้นไม้มากเหลือเกิน แต่ที่ร้อนมากก็คืออากาศ ผมพยากรณ์ด้วยความชำนาญของผิวหนังว่าประมาณ 36 องศาเซลเซียสเห็นจะได้ครับ             

สถานที่ตรวจร่างกายของ MHC นี้อยู่ท่ามกลางห้างสรรพสินค้าเลยครับ ดูเหมือนเป็นคลินิกเล็กๆที่แฝงตัวอยู่ ภายในมีเจ้าหน้าที่สาวๆประมาณ 5-6 คน คอยให้บริการด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากแสดงความจำนงแล้ว ผมก็นั่งรอคิว ขณะนั้นมีหมอ 2 คนเท่านั้น ขณะที่รอหมอ ผมต้องไปรับการเจาะเลือดตรวจ HIV และเอกซเรย์ปอด คนที่มาเจาะเลือดผมเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ชายอายุประมาณ 20 ต้นๆเท่านั้นเอง เขาดูตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อทราบว่าผมเป็นหมอ จากนั้นก็ไปถ่ายรูปปอด เป็นอันเสร็จขั้นตอนแรก ผมต้องนั่งรออีกประมาณ 45 นาทีก็ได้เข้าไปตรวจร่างกาย คุณหมอที่ตรวจผมเป็นผู้ชาย กำลังง่วนอยู่กับการใช้ internet ดูเหมือนกับว่าเขากำลังจองตั๋ว Tiger air อยู่ ผมสังเกตเห็นว่า เขากรอกว่าผมสุขภาพดีตั้งแต่ก่อนจะเห็นหน้าผมเสียอีก เขาใช้เวลาวัดความดัน ฟังเสียงหัวใจและปอดผ่านเสื้อชนิดที่ว่ายังหายใจไปแค่ครึ่งปอดเท่านั้นก็เสร็จแล้ว ที่นี่ผมไม่ต้องจ่ายเงิน เพราะมีจดหมายมาจาก KKH และเขาจะไปเก็บเงินที่นู่นเอง ผมบอกเขาว่าจะมารับเองและให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ ไม่นาน Jessica ก็โทรเข้ามาหา บอกว่าจะพาไปกินข้าวเที่ยง ผมเลยนัดให้เขามารับที่ Outram MRT                

ผมใช้เวลารอ Jessica นานเหมือนกัน อีกทั้งเรายังหากันไม่เจออีกด้วย เพราะว่าทางออกของสถานี Outram นั้นมีหลายรูมาก กว่าจะพบกันก็เล่นเอาเหนื่อย (คนที่เหนื่อยคือ Jessica เพราะเขาต้องขับรถเวียนไปเวียนมาอยู่หลายรอบ)                

Jessica เป็นคนเชื้อสายจีนที่มีรูปร่างผอมบาง หน้าตาดี (คล้ายได๋ Diana ดาราเมืองไทย) เธอขับรถ Kia (SUV) สีดำ ภายในรถมี car seat 3 อัน ทั้งแบบ infant สำหรับคนเล็กอายุ 3 เดือน และแบบ toddler อีก 2ตัว ผมได้พบกับ Fernaldi คนที่จะมาเป็น fellow พร้อมผม เขาเพิ่งมาถึงวันนี้ช่วงเช้า Jessica รับมาเพื่อจะได้กินข้าวพร้อมกัน หลังจากได้ทำความรู้จักกัน เธอก็พาไปทานอาหารเที่ยงที่ห้างแห่งหนึ่ง เรากินอาหารอินโดนีเซียเป็นมื้อเที่ยงของวันนี้ ซึ่งเป็นอาหารที่มีรูปร่างหน้าตาและรสชาติเหมือนเมืองไทยพอประมาณ มีน้ำพริกกะปิเป็นเครื่องเคียง                

เสร็จมื้อเที่ยง Jessica ก็จะพา Fernaldi ไปโรงแรม Amara ถึงตอนนี้ผมอาสาที่จะพาเขาขึ้นไป MHC เอง ก่อนจากกัน เธอได้นัดแนะกับเรา 2 คนว่า วันรุ่งขึ้นจะพาไปหาที่พัก และได้นัดกันที่สถานี Little India เวลา 9.30 น. ผมไปส่ง Fernaldi ที่ชั้น 4 แล้วบอกลากัน ผมเดินกลับโรงแรมทางเดิม แวะซื้อโค้กดื่ม 1 กระป๋องเพราะว่ากระหายและหาน้ำเปล่ากินไม่ได้เลย เห็นราคาโค้กที่นี่แล้วไม่อยากจะหยิบ เพราะว่าราคาสูงกว่าที่บ้านเราประมาณเท่าตัว คือ 1.4 เหรียญ ขึ้นถึงห้องก็รินน้ำจากก๊อกดื่มรวดเดียว 2 แก้วเลย รู้สึกแปลกๆเหมือนกันที่ต้องดื่มน้ำจากก๊อก แต่เขาว่าน้ำประปาที่นี่รับรองได้เลยเรื่องความสะอาด ด้วยความที่ขาดน้ำมาครึ่งวันเลยไม่ปวดฉี่ แต่ลองฉี่ดูก็พบว่าสีมันเข้มและเหลืองอร่ามเชียว เดินเกือบทั้งวันจนทำให้ที่รองเท้าที่เป็นเจลลี่ของรองเท้า Hush Puppies แตกทั้ง 2ข้างเลย สงสัยคงต้องหาซื้อแผ่นรองเท้ามาแทรกไว้ก่อน เมื่อตากแอร์จนเหงื่อแห้งแล้วก็ได้หลับไป 1 งีบ คิดถึงบ้านมากจนต้องหาอะไรทำ จึงได้ข้อสรุปว่าน่าจะเขียนบันทึกประจำวันดีกว่า               

ประมาณ 4 โมงกว่าอ.เต็มศักดิ์ก็กลับมาจาก Singapore General Hospital (คงลืมบอกไปว่า อาจารย์ได้สมัครเรียนเกี่ยวกับ palliative care ซึ่งเป็นคอร์สที่ต่อเนื่อง และครั้งนี้มาสิงคโปร์เพื่อเข้ากลุ่มกัน โรงพยาบาลแห่งนี้อยู่ใกล้โรงแรมมาก เดินผ่านสถานี Outram ไปเพียงข้ามถนนก็ถึงแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมาอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้) ขึ้นห้องได้ไม่นานก็หยิบหนังสือ 1 เล่ม บอกว่าจะไปอ่านข้างล่าง สักพักผมก็ตามลงไป จึงพบว่าอาจารย์ไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนหลังโรงแรม อย่างที่บอกก็คือสวนเพียงเล็กๆ แต่มีต้นไม้โตๆขนาดจามจุรีอยู่มากมาย ในสวนแห่งนี้ผมได้เห็นหลุมฝังศพ 1 หลุมอยู่หลังบ้าน ดูเหมือนเป็นหลุมฝังแบบคริสต์ เดินไปตามทางต่อไปก็ครบรอบสวนและทะลุออกหน้าโรงแรมแล้วขึ้นห้อง สักพักอ.เต็มศักดิ์ก็ขึ้นมา บอกว่ายุงเยอะ ประมาณ 6 โมงกว่าๆ Genes ก็โทรเข้ามา บอกว่าจะพาไปกินข้าวเย็นด้วยกัน เพียง 3 นาทีหลังจากนั้นก็มาถึง สงสัยโทรหาตอนที่มาถึงหน้าโรงแรม เขาถามผมว่าไป KKH ยังไง ดูเขาเซ็งเล็กน้อยที่ผมบอกว่าไปที่ Little India ก่อน แล้วกลับทาง Bugis ตามที่เขาแนะนำ ผมก็บอกไปว่า อยากลองดูทั้ง 2 ทางไงจะได้เที่ยวไปด้วย               

มื้อเย็นนี้เราไปกินในย่าน Chinatown ช่วงเย็นในถนน Smith เขาจะปิดถนนเพื่อขายของกิน มีให้เลือกมากมาย ราคาขั้นต่ำก็อยู่ในช่วงราวๆ 2 เหรียญ มื้อนี้ผมกินอาหารที่คล้ายอาหารมาเลย์ ราคา 3.5 เหรียญ มีข้าวสวย ห่อหมกปิ้ง ไก่ทอดและผิดถั่วฝักยาว อิ่มเพราะน้ำครับ อาหารแพงเหลือเกิน จากนั้นก็เดินเล่นย่านนั้น ผมสังเกตเห็นว่ามี Sex shop อยู่ 2 ร้าน อยากเข้าไปดูเหมือนกันแต่อาย เลยอด                

ผมได้ปรึกษา Genes เรื่องบัตรเติมเงินของ Sing Tel เขาจึงพาไปที่ 7-11 ที่อยู่ข้างโรงแรม แต่เขาไม่ขาย เราจึงเดินไปที่ Pearls center ซึ่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของถนนใหญ่หลังโรงแรม ที่ชั้นล่างนั้นเป็นลักษณะคล้ายตลาดสันติสุขที่หาดใหญ่ มีล๊อคขายอุปกรณ์ไฟฟ้า มือถือมากมาย Genes ไม่ได้ซื้อบัตรเติมเงินให้ แต่เขาเติมโดยผ่าทาง ATM ของเขา 25 เหรียญ ซึ่งผมจะได้โบนัสอีก 2 เหรียญ Genes ยังได้แนะนำให้ผมเลือกใช้ Hello card ในการโทร เพราะว่าราคาถูกกว่ากันมาก (ชนิดที่ว่าในราคา 10 เหรียญจะโทรกลับเมืองไทยได้นานประมาณ 2 ชั่วโมง) ก่อนจากกัน Genes บอกผมว่า เขามองเห็นแววตาของผมแล้วพบว่าผมมีความเครียดพอสมควร ผมจึงตอบขอบคุณและบอกไปว่า จากบ้านมานานขนาดนี้ก็คงเป็นเรื่องปกติที่จะมีความเครียด เขาก็เลยยกตัวอย่างตัวเขาเปรียบเทียบกับเรา ผมสามารถกลับบ้านได้บ่อยและง่ายกว่าเขามาก เพียง 1 ชั่วโมงบนเครื่องบิน แค่เครื่องลงจอดก็ถึงบ้านแล้ว ต่างจากเขาซึ่งเป็นคนฟิลิปปินส์ ต้องนั่งเครื่องไปลงที่มะนิลา และเดินทางต่อทั้งทางรถและเรือ เรียกว่าไปกันเป็นวันก็อาจจะยังไม่ถึง                

คืนนี้ได้คุยกับอ.เต็มศักดิ์อยู่นาน อาจารย์ได้คุยกับผมเรื่อง blog ตอนนี้คนนิยมเขียนบันทึกส่วนตัวลง blog กันมาก อาจารย์แนะนำ go to know ผมเลยแย้งไปว่า ไม่ประทับใจเลย เมื่อปีที่แล้วลองเข้าไปดู ผมพบว่ามันซับซ้อนและยุ่งยากมากจนผมเบื่อ แต่อาจารย์ก็บอกว่า ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ง่ายขึ้นและไม่ซับซ้อนเหมือนที่ผมเคยเจอ อาจารย์เองก็เพิ่งเข้าใน web นี้เมื่อต้นปีนี่เอง และตอนนี้ก็ติดหนึบจนสามารถไม่ต้องดูทีวีอีกต่อไป อ.สกลก็เป็นหนึ่งในสมาชิก blog นี้ เขียนแทบทุกวัน และมีคนอื่นๆอ่านอีกมากมาย ของอาจารย์เองก็เขียนไปโดยที่ไม่ได้หวังว่าจะมีใครอ่าน แต่ก็ยังมีคนอ่านได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังเชียร์ให้ผมเขียนลงไปบ้าง มันเป็น web ที่จัดการความรู้ได้อย่างดี (ทันสมัยกับยุค knowledge management จริงๆ) จากนั้นเราก็คุยกันเรื่องความตายครับ จะให้คุยเรื่องอื่นไปได้อย่างไร เพราะอาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้อยู่แล้ว อาจารย์เองก็บอกว่า ใครๆที่มาเข้ารวมกลุ่มกันคุยกับอาจารย์ก็มักจะลงเอยด้วยเรื่องความตายทั้งนั้น ผมถามไปว่า คนที่ทำงานงานด้าน palliative care มีบ้างหรือไม่ที่จะเฉา เพราะวันๆเจอแต่คนใกล้ตาย อาจารย์ก็บอกว่า มี แต่คนที่ทำงานด้านนี้จะได้รับการสั่งสอนว่า ควรจะต้องมีการสะท้อนตัวเอง หรือที่เรียกว่า reflection คือการที่ต้องหาคนคุยด้วยเพื่อปรับความคิด บอกเล่าความคิด ซึ่งถือเป็นการระบายออกของความรู้สึกที่ดีที่สุด อาจารย์ยังได้เล่าให้ฟังถึงแนวคิดของพระไพศาล วิสาโล ว่า ท่านมีความเชื่อที่ว่า การดูแลคนใกล้ตายและคนตายนั้น คนดูแลจะถูกดูดพลังไป ฉะนั้นควรจะต้องมีวิชาด้วย คำว่าวิชานี้ไม่ได้หมายความว่ามีของดีหรือมีคาถาอาคม แต่วิชานี้น่าจะหมายถึงความมีสติ มีที่ระบายความรู้สึก เราจึงจะอยู่กับวิชาชีพของเราต่อไปได้                

เสร็จจากการสนทนาผมก็โทรศัพท์กลับบ้าน จิ๋มบอกว่าเมื่อคืนน้องแป้งร้องไห้ บ่นว่าคิดถึงพ่อ พอแป้งร้องให้เจ้าจ้าเห็น เธอก็เลยร้องด้วยกัน จิ๋มเลยต้องโอ้โลมปฏิโลมอยู่นานกว่าจะหลับกันได้ เห็นหรือไม่ครับว่าการที่ทำอะไรเพื่อตนเองนั้น บางครั้งมันก็ไปกระทบกับคนที่เรารักไปโดยที่เขาเหล่านั้นไม่ได้รู้เห็นกับเราด้วยเลย ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ก่อนสอบบอร์ด อ.หเทิญชวนให้ผมเป็นอาจารย์ต่อ เพื่อจะพัฒนาการผ่าตัดด้านการส่องกล้องด้วยกัน แต่หลังจากนั้นไม่นานในช่วงก่อนสอบบอร์ด 1 เดือน พ่อผมเสียชีวิตกะทันหัน เลยบอกกับท่านว่า สงสัยจะต้องกลับบ้านเสียแล้ว หลังจากที่สอบบอร์ดผ่าน ตอนนั้นผมตัดสินใจที่จะกลับสุราษฎร์ธานีบ้านเกิด คิดไว้ว่าจะทำงาน เปิดคลินิก หาเงิน เรียนแซกโซโฟน เรียนเปียโน เรียนคอมพิวเตอร์ มีลูก และอยู่กับแม่ ส่วนหนึ่งก็คือเบื่อการเรียนต่อ เบื่อที่จะต้องไปเรียนที่ต่างประเทศ การไปเรียนต่างประเทศไม่ได้อยู่ในความสนใจหรือความฝันของผมเลยมาตั้งแต่ต้น ตอนนั้นอาจารย์หลายท่านก็แนะนำให้ผมเป็นอาจารย์ต่อ ผมก็บ่ายเบี่ยงไปเพราะว่าคิดอยู่เสมอว่าเป็นคนเรียนไม่เก่งแล้วจะไปเป็นอาจารย์ได้อย่างไร ข้อดีอย่างเดียวที่ผมมีคือ การเป็นคนสนุกสนาน มีความคิดสร้างสรรค์เล็กน้อย และชอบทำกิจกรรมโดยเฉพาะกับนักศึกษาแพทย์ แต่หลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้ทราบว่าจิ๋มตั้งท้อง จิ๋มเลยบอกกับผมว่า อยากให้ลูกเรียนหนังสือที่หาดใหญ่ นี่คงเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดของชีวิตเลยก็ว่าได้ ผมใช้เวลาคิดและเครียดอย่างมากนาน 3 วัน จึงตกลงใจว่าจะเป็นอาจารย์แพทย์ต่อไป และชีวิตก็ดำเนินมาจนถึงวันนี้ วันที่ผมต้องมาเรียนที่นี่เพื่อความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ เพื่อชื่อเสียงของตัวเอง และเพื่อชื่อเสียงของสถาบัน

หมายเลขบันทึก: 95680เขียนเมื่อ 11 พฤษภาคม 2007 18:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 20:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)
ขอบคุณบันทึกดีๆนี้นะคะ บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงรู้สึกดี แต่บอกได้ว่าชอบตัวตนและวิธีคิดของคนเขียนค่ะ ดีใจที่อาจารย์เลือกที่จะกลับมาดู GotoKnow อีกครั้ง มีคู่มือแบบคร่าวๆอยู่ที่นี่ แต่ระดับอาจารย์นี่ น่าจะหาอ่านจากบันทึก ชุดนี้ก็คงเข้าใจได้ง่ายๆค่ะ เผื่อจะได้โหลดรูปเข้ามาใน GotoKnow แล้ว คุณแม่จะได้เรียก 2 สาวน้อยให้ดูคุณพ่อในเน็ตได้นะคะ
  • อ่านหนังสือเล่มโปรดกับเก้าอี้ในสวนร่มครึ้ม หาประสบการณ์แบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ มันดีกว่านั่งอ่านในห้องเล็กของโรงแรมเหมือนใครบางคนนะ
  • chinatown มีพิพิธภัณฑ์ดีๆอยู่ด้วย สายตามันเป็นยังไงนะ เห็นแต่ sexshop
  • ยินดีต้อนรับสู่ GotoKnow ครับ เอ.ผมจะได้รางวัล ดันดารา ยอมเยี่ยมหรือเปล่าน้า
แต่อ่านในสวนกับความเสี่ยงที่จะโดนขี้นนกตกใส่หัว ผมเดินเล่นรอบๆชุมชนจีนดีกว่าคับ

คิดออกได้ยังไงครับ

อาจารย์เป็นพหูสูตร (เขียนถูกหรือเปล่า) จริงๆ ภาพนี้ถ่ายเองหรือไปเอามาจากที่ไหนครับ

พออาจารย์บอกว่าดอกใหญ่ออกมาจากลำต้น ก็รู้เลย

ว่าต้องเป็นต้นสาละ

ที่บ้านกำลังปลูก อยู่ 3 ปีแล้ว ต้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่ออกดอกเลย

อาจารย์ เล่าเรื่องสนุกนะคะ เรื่องยาว แต่เรียบเรียงดี อ่านเพลินเลยค่ะ

เจอผู้รู้เรื่องดอกไม้อีกคนนึงแล้วครับ

ผมติดตามร่องรอยของอาจารย์ไปจึงพอจะทราบว่า อาจารย์เป็นหมออยู่ที่เชียงราย

ผมเคยไปที่นั่น 2 ครั้งแล้ว ผมรู้จักพี่พิษณุครับ ท่านเป็นหมอสูติที่ active มากคนหนึ่ง อยากจะบอกว่า OSCC ที่ท่านทำมานั้น ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผมทำงานเรื่องสิทธิสตรีอย่างมากเลยครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท