"ความรับผิดชอบเป็นคุณสมบัติเดียวที่อยากได้ในตัวพนักงาน" หากถามดิฉั้นในวันนี้..เพราะความรับผิดชอบสอนกันไม่ได้แต่ความรู้ ความเข้าใจในงานนี่สอนกันได้ หากคนเรามีความรับผิดชอบในงานแล้วเขาจะสามารถฟันผ่าอุปสรรคต่างๆ ในงานได้ด้วยวิธีการต่างๆ นานาด้วยเป้าหมายคืองานสำเร็จ ..ในการทำงานแล้วหากรับผิดชอบงานในหน้าที่...โดยไม่ต้องคิดว่าในเวลาหรือนอกเวลา..รับผิดชอบต่อตนเองต่อหน้าที่...ต่อความทันเวลาและต่อความสำเร็จของงาน....เพราะความเชื่อเป็นเช่นนั้นดิฉั้นจึงทำงานจนเสร็จและไม่ค่อยเบิกค่าล่วงเวลาในการทำงาน...ซึ่งมีหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ถูกต้อง....หากทำจริงก็ต้องเบิกตรงไปตรงมา...ดิฉั้นก็มิได้เห็นด้วยหรือโต้แย้งแต่ประการใด...ยังคงปฏิบัติเช่นเดิม....เพราะความเชื่อข้างต้น
คราหนึ่งในการขอช่วยทีมงานใกล้เคียงมาช่วยงานดิฉั้นได้รับคำพูดที่คิดไม่ถึง "เบิกล่วงเวลาให้หรือเปล่า"...ด้วยความปากไววันนั้นไม่ทันได้คิดอะไร...จึงย้อนถามไปแบบกวนๆ ว่า "ทำไมถ้าไม่มีล่วงเวลาไม่ทำให้หรือไง"..ครานั้นจึงเสียเพื่อนไปหนึ่งคน..
จริงทีเดียวจิตใจ จิตวิญญาณ อุดมการณ์ ความเชื่อล้วนกำหนดพฤติกรรมการทำงาน รวมทั้งการกระทำ..การงดกระทำ ส่งผลถึงวิธีทำงาน....ก็คงไม่เป็นไรถ้าดิฉั้นยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติดังเดิม ไม่กระทบกับใครถ้าหากจะทำงานโดยไม่เบิกค่าล่วงเวลา....แต่ทันทีที่เป็นหัวหน้าทีม ด้วยจิตวิญญาณการทำงานเดียวกัน กลายเป็นความบกพร่องในการดูแลทุกข์สุขของทีม
ถัดมากอีกไม่นานมีการจัดงานสัมมนาในวันหยุดราชการเจ้านายถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยลูกน้อง...เอ่ยว่างานนี้เบิกล่วงเวลาให้ทีมงานกันยังไง ดิฉั้นบอกว่าไม่ได้ตั้งค่าล่วงเวลาไว้เนื่องจากทีมงานกินข้าวฟรีในการสัมมนาอยู่แล้ว...ท่านจึงกรุณาสอนว่า "การทำงานอย่าเอาตัวเองเป็นเกณฑ์"...สิ่งที่เราเชื่อหรือเรายึดถืออาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดเพราะหากเขาไม่ยินดีมาทำงานในวันหยุดงานก็ไม่ราบรื่น...ดิฉั้นทนฟังอย่างหงุดหงิดในวันนั้นแต่คงฟังอย่างสงบ(ฟังแล้วแขวนไว้)เสร็จงานกลับมาตรึกตรองดูจริงดังท่านว่า...เราจะกินอุดมการณ์...หรือมีจิตวิญญาณอะไรมันเป็นความชื่นฉ่ำใจที่เราสัมผัสได้ นั่นคือผลตอบแทนสำหรับเรา(ได้อยู่คนเดียว)...แต่คนอื่นๆเราต้องดูแลตามที่เขาควรจะได้...ตั้งแต่นั้นมาดิฉั้นก็เปลี่ยนมุมมอง..ดูแลคนอื่นตามเหตุอันสมควรที่เขาควรได้..ด้วยเพราะคำเดียวที่มาสกิดใจคือ "การทำงานอย่าเอาตัวเองเป็นเกณฑ์"
คุณเมตตาค่ะ
การทำงานเป็นทีม ในฐานะ หัวหน้าทีม สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่ต้องดูแลเพื่อนร่วมงาน ดูแลในทุกอย่างรวมถึงเรื่องงาน และเรื่องที่เกี่ยวข้อง (บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะบางครั้งเราอาจจะต้องใช้นอกเวลาทำงานอาจจะกระทบกับครอบครัวก็เป็นได้)
ในฐานะเพื่อร่วมทีม เราต้องให้ความร่วมมือและทำให้งานสะดวกราบรื่นตามเป้าหมายที่วางไว้
มาตรฐานคนเราไม่เท่ากันค่ะ
บางคนมุ่งงาน
บางคนมุ่งคน
บางคนมุ่งความสัมพันธ์
แต่ละส่วนเราคงต้องนำมาปรับใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ของการทำงานด้วยค่ะ
เป็นกำลังใจนะคะ
จาก....คนที่ทำงานที่มีแต่ โอดี ไม่มีโอทีค่ะ
ขอเสริมจากพี่อึ่งฯ นะคะ
เมื่อก่อน ดิฉัน เป็นอย่างคุณเมตตา และเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็น แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยละเลยคือ การดูแลทุกข์สุข รวมถึงดูแลใจ ของเพื่อนร่วมทีมงาน (เป็นคนไม่มีลูกน้องค่ะ มีแต่ทีมงาน)
หลายครั้งที่งานไม่ทัน และหากเขาไม่สะดวกทำงานในตอนเย็น หรือในวันหยุด ถ้างานเร่งจริง ๆ ก็จะถามเขาก่อนว่า สะดวกเอากลับไปทำที่บ้านไหม แล้วค่อยกลับมาเบิกล่วงเวลา
ซึ่งเขาก็ยินดี เพราะอย่างน้อยงานเราก็ได้ ครอบครัวเขาก็ไม่เสีย
นอกจากเพื่อนร่วมงานจะแบ่งเป็น 3 ประเภทแบบที่พี่อึ่งฯ ว่าแล้ว หัวหน้าทีมที่ดี ก็ต้องมุ่งทำทั้ง 3 อย่าง ได้ผสามอย่างพอเหมาะพอดี ค่ะ
ยากเหมือนกันเนอะ การเป็นหัวหน้าคน
ทุกความเห็น ช่วยกันเติมเต็มได้ดีมากครับ คุณเมตตาเขียนสะท้อนและให้ข้อคิดได้ดีมาก ให้ข้อคิดที่ว่า คนอื่นไม่ได้เป็นอย่างที่เราเป็น
ส่วนการเป็นหัวหน้านั้นเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ต้องดูแลและให้ได้ทั้งงาน และ ความสัมพันธ์ที่ดี ต้องทำให้ได้ควบคู่กัน ภารกิจของการเป็นหัวหน้าก็คือการบริหารกำลังใจของลูกน้องด้วยนั่นเอง
อ่านบันทึกนี้ได้ข้อคิดมาก ทำให้คิดได้ว่าต้อง เอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยไม่เอาความคิดเดิมของตนเป็นกรอบหลักในการตัดสิน
ขอบคุณที่นำเรื่องราวดีดีมาแบ่งปัน ทั้งผู้เขียนบันทึกและผู้ให้ความคิดเห็น
สวัสดีค่ะคุณ เมตตา
ดิฉันจดไว้ว่าต้องแวะมาบันทึกนี้เพราะตรงใจมาก
เวลาฝึกนักศึกษา ดิฉันตั้งใจฝึกให้ทำงานอย่างเสียสละ แล้วก็ฝึกไปตามที่เราคิดว่าดี
ครั้นถึงเวลาออกไปทำงานจริง เด็กๆจำนวนหนึ่งบอกว่า สิ่งที่ฝึกไป เป็นอุดมคติ แต่ที่เขาเจอในชีวิตจริง อุดมคติกินไม่ได้
ดิฉันก็เลยได้คิด เมื่อเด็กบอก(ให้ทำใจ)ว่าพบกันครึ่งทาง ที่สอนไปนั้นไม่ผิด แต่ในชีวิต มีอีกหลายอย่าง "ที่เราเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ไม่ได้"
เลยนึกชอบใจบันทึกโดนใจของคุณเมตตานี่แหละค่ะ : )