ทางออสเตรเลียได้มาดูการผลิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยนเรศวรแล้วจะได้นำไปปรับใช้โดยขณะนี้มหาวิทยาลัย 3 แห่งได้จับมือกันผลิตแพทย์โดยเรียนพื้นฐานและระดับก่อนคลินิกในมหาวิทยาลัยแล้วส่งเรียนระดับคลินิกในโรงพยาบาลต่างๆคือUNE, Southern Cross, Chales-Studt University
การสร้างความเข้มแข็งให้กับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปหรือแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในเมืองไทย คงต้องทำหลายทางเพื่อให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง วิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทยจะต้องเป็นกำลังหลักที่จะสร้างความแข็งแกร่งทางวิชาการและทางวิชาชีพ มีการพัฒนาหลักสูตรอยู่เสมอและสอดรับกับปัญหาสุขภาพของประเทศ การเพิ่มจำนวนต้องทำอย่างเหมาะสมไม่ใช่ทำแบบปล่อยผีเอาจำนวนไว้ก่อน กรรมการวิทยาลัยต้องเป็นผู้ที่ทำงานเวชปฏิบัติครอบครัวด้วยเพื่อจะได้เข้าใจบทบาท เข้าใจปัญหาในการปฏิบัติจริง จึงจะนำเอาปัญหานั้นมาวิจัยวิเคราะห์เพื่อพัฒนาหลักสูตรได้
ส่วนอีกทางหนึ่งที่ผมคิดว่าจะช่วยให้แพทย์อยู่ในชนบทได้นานก็คือการจัดตั้งวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ชนบทขึ้นมาเพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์ ความเป็นมืออาชีพของการเป็นแพทย์เวชศาสตร์ชนบท การจัดระบบฝึกอบรมแพทย์สาขานี้เพื่อให้สามารถทำงานในชนบทได้อย่างดี มีความพร้อมในการทำงานในชนบทและหาทางสนับสนุนแพทย์ชนบทให้มีเส้นทางอาชีพที่ชัดเจน สนับสนุนในด้านต่างๆทั้งสิทธิ ประโยชน์และความก้าวหน้าทางวิชาการ
มองเรื่องการศึกษาในบ้านเรา เดิมจะมีผู้รับผิดชอบหลักอยู่ 2 ส่วนคือกระทรวงศึกษาธิการและทบวงมหาวิทยาลัย ต่อมาประมาณปี45-46 ได้มีการปฏิรูประบบราชการยุบรวมเป็นกระทรวงศึกษาธิการแล้วมีกลุ่มใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการอยู่ 5 แท่ง มีสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ) กับสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา(กอ) มหาวิทยาลัยปัจจุบันจึงขึ้นกับกอ. ส่วนโรงเรียนขึ้นกับสพฐ. การคัดเลือกเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนขะมีข้อกำหนดของสพฐ.เรื่องเด็กในพื้นที่และนอกพื้นที่ ส่วนการรับเด็กเข้ามหาวิทยาลัยจะเป็นการสอบในระดับชาติที่เรียกว่าสอบEntrance ซึ่งมีการปรับมาเรื่อยๆจากคะแนนสอบ 100 % มาคิดเรื่องเกรดเฉลี่ย (GPA) ปัจจุบันมีการใช้ระบบรับกลางหรือแอดมิชชั่นส์แทนเพราะเอนทรานซ์แม้จะมีความโปร่งใสสูงแต่ก็เป็นระบบแพ้คัดออก ระบบใหม่ที่จะใช้ในปี 2549 นี้จะใช้คะแนนเฉลี่ยในการเรียนมัธยมปลายร่วมกับการทดสอบระดับชาติเป็นการทดสอบระดับชาติขั้นสูง(Advanced Natinal Educational Test : A-net) กับการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน(Ordinary National Educational Test : O-net) โดยจะพยายามลดคะแนนสอบลงและให้คะแนนค่าเฉลี่ยขณะเรียนให้มากขึ้น และให้มหาวิทยาลัยรับสมัครเองได้โดยตรง สำกรับการเข้าเรียนแพทย์นอกจากสอบระดับชาติแล้ว จะมีสอบสัมภาษณ์ สอบทางจิตวิทยาหรือสอบความสามารถและในหลายสถาบันให้มีประสบการณ์การฝึกงานในโรงพยาบาลประมาณ 2 สัปดาห์ประกอบการสมัครเรียนด้วยเช่น ศิริราช รามาธิบดี เชียงใหม่ เป็นต้น
การที่นักเรียนจะต้องไปฝึกประสบการณ์ในโรงพยาบาลจะกำหนดแค่ระยะเวลา 2 สัปดาห์แต่ไม่ได้กำหนดรายละเอียดของการฝึกว่าจะต้องทำอะไรบ้างขึ้นกับโรงพยาบาลที่รับฝึกและความสนใจของเด็ก แต่ดูแล้วเด็กไม่ค่อยต้องการประสบการณ์แต่ต้องการใบรับรองเพื่อไปสมัครสอบเข้าเรียนมากกว่า โดยเด็กจะมาฝึกช่วง ม.4-5 อย่างที่โรงพยาบาลบ้านตากจะจัดให้เด็กได้สังเกตการณ์ในเกือบทุกแผนกเพื่อให้เด็กได้เห็นชีวิตการทำงานในโรงพยาบาลและบทบาทของวิชาชีพต่างๆ ได้เห็นชีวิตของผู้ป่วย เพื่อจะได้เป็นตัวเสริมการตัดสินใจว่าอยากหรือต้องการเป็นแพทย์จริงหรือไม่ไม่มีความเห็น