หากนำเอามาเปรียบเทียบกับเมืองไทย
การเรียนแพทย์ของออสเตรเลียตั้งแต่ปี 1-4 หรือ5 การเป็นแพทย์ฝึกหัด 2
ปีและการอบรมแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป 3-4 ปี นั้น
จะเปรียบได้กับการเรียนแพทย์ 6 ปีของไทยรวมกับการเป็นแพทย์ฝึกหัดอีก 1
ปี การเรียนแพทย์ที่ออสเตรเลียจะใช้เวลาเยอะนั้น
ไม่ได้หมายความว่าเรียนมากกว่าเมืองไทย
แต่เขามีผู้ป่วยให้เรียนให้ฝึกน้อยกว่าเมืองไทย
ความชำนาญและประสบการณ์ของเราจึงมากกว่า
เมื่อดูงานแล้วจึงเทียบได้ว่าของเราเป็นUndergraduate เทียบกับPostgraduate ของออสเตรเลีย
โดยสิ่งที่นำมาใช้มากคือหลักสูตแพทย์GPของเขา
น่าจะเอามาปรับใช้กับหลักสูตรแพทยศาสตร์ศึกษา 6 ปีของเรา
ผลักดันให้มีการนำระบบVertical
Integrationมาใช้ในการคัดเลือกและการคงอยู่ของแพทย์ในชนบท
โดยเริ่มตั้งแต่ในโรงเรียนมัธยมตั้งแต่ชั้นม.ปลาย
อาจต้องทำแบบโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ของเราเป็นเตรียมแพทย์
เพื่อให้ได้เด็กในพื้นที่ชนบทมาเรียนแพทย์และจะได้ให้เป็นแพทย์ชนบทโดยมีการฝึกอบรมสาขาเวชศาสตร์ชนบทต่อ
ซึ่งแนวทางนี้จะเป็นประโยชน์มากกับโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งแพทย์หรือODODของรัฐบาล
กับการขยายการผลิตแพทย์ในอีก 8 มหาวิทยาลัยที่จะเรียน 3
ปีแรกในมหาวิทยาลัยและ 3 ปีหลังในโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งจะถือเป็น Rural Medical School
และสิ่งเหล่านี้มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ทำมาแล้วและมีแพทย์จบไปถึง 5
รุ่นแล้ว
หากแพทยสภาหรือผู้เกี่ยวข้องมีข้อสงสัยในเรื่องคุณภาพของแพทย์ก้น่าที่จะเข้าไปศึกษาวิจัยแล้วหาทางช่วยในการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นมากกว่าการไปตรวจประเมินคร่าวๆแล้วคอยจะยับยั้ง
ซึ่งจะไม่เกิดประโยชน์ประการใดกับประเทศชาติเลย
ทางออสเตรเลียได้มาดูการผลิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยนเรศวรแล้วจะได้นำไปปรับใช้โดยขณะนี้มหาวิทยาลัย 3 แห่งได้จับมือกันผลิตแพทย์โดยเรียนพื้นฐานและระดับก่อนคลินิกในมหาวิทยาลัยแล้วส่งเรียนระดับคลินิกในโรงพยาบาลต่างๆคือUNE, Southern Cross, Chales-Studt University
การสร้างความเข้มแข็งให้กับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปหรือแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในเมืองไทย คงต้องทำหลายทางเพื่อให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง วิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทยจะต้องเป็นกำลังหลักที่จะสร้างความแข็งแกร่งทางวิชาการและทางวิชาชีพ มีการพัฒนาหลักสูตรอยู่เสมอและสอดรับกับปัญหาสุขภาพของประเทศ การเพิ่มจำนวนต้องทำอย่างเหมาะสมไม่ใช่ทำแบบปล่อยผีเอาจำนวนไว้ก่อน กรรมการวิทยาลัยต้องเป็นผู้ที่ทำงานเวชปฏิบัติครอบครัวด้วยเพื่อจะได้เข้าใจบทบาท เข้าใจปัญหาในการปฏิบัติจริง จึงจะนำเอาปัญหานั้นมาวิจัยวิเคราะห์เพื่อพัฒนาหลักสูตรได้
ส่วนอีกทางหนึ่งที่ผมคิดว่าจะช่วยให้แพทย์อยู่ในชนบทได้นานก็คือการจัดตั้งวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ชนบทขึ้นมาเพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์ ความเป็นมืออาชีพของการเป็นแพทย์เวชศาสตร์ชนบท การจัดระบบฝึกอบรมแพทย์สาขานี้เพื่อให้สามารถทำงานในชนบทได้อย่างดี มีความพร้อมในการทำงานในชนบทและหาทางสนับสนุนแพทย์ชนบทให้มีเส้นทางอาชีพที่ชัดเจน สนับสนุนในด้านต่างๆทั้งสิทธิ ประโยชน์และความก้าวหน้าทางวิชาการ
มองเรื่องการศึกษาในบ้านเรา เดิมจะมีผู้รับผิดชอบหลักอยู่ 2 ส่วนคือกระทรวงศึกษาธิการและทบวงมหาวิทยาลัย ต่อมาประมาณปี45-46 ได้มีการปฏิรูประบบราชการยุบรวมเป็นกระทรวงศึกษาธิการแล้วมีกลุ่มใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการอยู่ 5 แท่ง มีสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ) กับสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา(กอ) มหาวิทยาลัยปัจจุบันจึงขึ้นกับกอ. ส่วนโรงเรียนขึ้นกับสพฐ. การคัดเลือกเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนขะมีข้อกำหนดของสพฐ.เรื่องเด็กในพื้นที่และนอกพื้นที่ ส่วนการรับเด็กเข้ามหาวิทยาลัยจะเป็นการสอบในระดับชาติที่เรียกว่าสอบEntrance ซึ่งมีการปรับมาเรื่อยๆจากคะแนนสอบ 100 % มาคิดเรื่องเกรดเฉลี่ย (GPA) ปัจจุบันมีการใช้ระบบรับกลางหรือแอดมิชชั่นส์แทนเพราะเอนทรานซ์แม้จะมีความโปร่งใสสูงแต่ก็เป็นระบบแพ้คัดออก ระบบใหม่ที่จะใช้ในปี 2549 นี้จะใช้คะแนนเฉลี่ยในการเรียนมัธยมปลายร่วมกับการทดสอบระดับชาติเป็นการทดสอบระดับชาติขั้นสูง(Advanced Natinal Educational Test : A-net) กับการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน(Ordinary National Educational Test : O-net) โดยจะพยายามลดคะแนนสอบลงและให้คะแนนค่าเฉลี่ยขณะเรียนให้มากขึ้น และให้มหาวิทยาลัยรับสมัครเองได้โดยตรง สำกรับการเข้าเรียนแพทย์นอกจากสอบระดับชาติแล้ว จะมีสอบสัมภาษณ์ สอบทางจิตวิทยาหรือสอบความสามารถและในหลายสถาบันให้มีประสบการณ์การฝึกงานในโรงพยาบาลประมาณ 2 สัปดาห์ประกอบการสมัครเรียนด้วยเช่น ศิริราช รามาธิบดี เชียงใหม่ เป็นต้น
การที่นักเรียนจะต้องไปฝึกประสบการณ์ในโรงพยาบาลจะกำหนดแค่ระยะเวลา 2 สัปดาห์แต่ไม่ได้กำหนดรายละเอียดของการฝึกว่าจะต้องทำอะไรบ้างขึ้นกับโรงพยาบาลที่รับฝึกและความสนใจของเด็ก แต่ดูแล้วเด็กไม่ค่อยต้องการประสบการณ์แต่ต้องการใบรับรองเพื่อไปสมัครสอบเข้าเรียนมากกว่า โดยเด็กจะมาฝึกช่วง ม.4-5 อย่างที่โรงพยาบาลบ้านตากจะจัดให้เด็กได้สังเกตการณ์ในเกือบทุกแผนกเพื่อให้เด็กได้เห็นชีวิตการทำงานในโรงพยาบาลและบทบาทของวิชาชีพต่างๆ ได้เห็นชีวิตของผู้ป่วย เพื่อจะได้เป็นตัวเสริมการตัดสินใจว่าอยากหรือต้องการเป็นแพทย์จริงหรือไม่