เป็นการจัดให้มีการเรียนทางด้านแพทยศาสตร์โดยการประสานทั้งระดับก่อนปริญญา ระดับปริญญาและระดับหลังปริญญา โดย
- มีการจูงใจให้เด็กนักเรียนเข้ามาเรียนเพื่อเป็นแพทย์ชนบทโดยเข้าไปจูงใจเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้น ม.3-4 (เกรด9-10)ที่แสดงความสนใจในวิชาชีพด้านสุขภาพ ประสานกับทางโรงเรียนมัธยมเพื่อจัดเป็นวิชาเลือกที่สำคัญของเด็กในชั้นม.5-6 (เกรด11-12)
- ทีมงานของศูนย์ฝึกอบรมแพทย์ชนบทเข้าไปทำความเข้าใจกับผู้ปกครองของเด็กที่สนใจให้ตระหนักถึงผลประโยชน์ที่ได้รับและเส้นทางสายอาชีพ โดยที่จะไม่เข้าไปครอบงำความคิดของเด็ก(เพราะอาจมีผลทางลบได้ในบางสาขาอาชีพเช่นพยาบาล สำหรับผู้ชาย)
- เด็กจะได้รับการจูงใจอย่างต่อเนื่อง จัดกิจกรรมให้ได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ที่ดีในชนบท สามารถนำมาเป็นองค์ประกอบในการคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ จัดทุนการศึกษาให้ มีช่องทางพิเศษในการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย มีเงินและทรัพยากรต่างๆสนับสนุนในการเรียนโดยไม่ต้องรบกวนจากทางบ้าน แต่ถ้าเรียนไปแล้วเกิดไม่ชอบหรือไม่สำเร็จก็สามารถปรับเปลี่ยนไปเรียนสาขาอื่นๆที่สัมพันธ์กันในมหาวิทยาลัยได้
- ขณะเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยก็จะมีพี่เลี้ยงที่เป็นแพทย์ชนบท ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับชมรมวิชาชีพทางด้านสุขภาพ (Rural Health)มีกิจกรรมที่ให้ติดต่อหรือใกล้ชิดกับชนบทอย่างต่อเนื่อง
- เมื่อจบแล้วขณะทำงานก็มีระบบการฝึกอบรมหลังปริญญาต่อในชนบท ทำงานในชนบทและเป็นพี่เลี้ยงให้กับนักเรียนในชนบทและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่อไป
สิ่งที่ทำให้ระบบVertical Integration ก้าวเดินไปได้
- แพทย์ชนบท(Rural doctors) ได้รับความสำคัญเพราะถือเป็นศูนย์กลาง (hub)ของระบบนี้
- มีระบบที่ให้การสนับสนุน การศึกษาและการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง
- มีสิ่งจูงใจทางบวกในการเป็นผู้สอนทางด้านการพัฒนาวิชาชีพ ทำงานด้วยเป็นอาจารย์ไปด้วย
ข้อดีของการเรียนการสอนแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปในออสเตรเลีย- มีการพัฒนาไปสู่ความเป็นมืออาชีพ(Professional Development)
- มีระบบการคัดเลือกกำลังคน (Workforce Recruitment) อย่างเหมาะสม
- มีความหลากหลาย(Variety) ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่
- มีระบบบูรณาการในแนวดิ่งหรือVertical Integration ทั้งระดับมัธยม ระดับมหาวิทยาลัยและระดับหลังปริญญา