ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์และคนทางบ้านว่า
ขณะนี้บ้านเราน้ำท่วมอีกระลอกหนึ่งแล้ว เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ
จากที่ข้าพเจ้าได้เคยอยู่ที่บ้าน น้ำจะท่วมเพียงปีละหนึ่งครั้ง
หรือบางปีก็ไม่ท่วม อาจจะมีปีพิเศษที่ท่วมมากกว่าปกติ
ก่อนที่น้ำจะท่วมจะมีฝนตกหนักตลอด ๒-๓ วัน พอน้ำทะเลหนุน
และน้ำเหนือไหลหลาก น้ำจึงเอ่อท่วมบ้าน
เหตุการณ์ดังกล่าวมิได้เป็นปัญหาอะไร
เราผู้เป็นชาวบ้านจะเตรียมตัวต้อนรับสิ่งนี้ทุกปี
แต่ทว่าปีนี้ทำไมน้ำจึงท่วมถึงสองครั้ง
บางแห่งเข้ารอบที่สามแล้ว
คนได้ทำอะไรกับโลกหรือไม่
จากที่คนพยายามเข้าใจธรรมชาติ และนำสิ่งต่างๆที่อยู่คู่กับคนไปใช้
คนบางคน นำธรรมชาติออกมาจากที่เดิมเกินกว่าความจำเป็นที่มนุษย์มี
บางคนใช้สอยเพียงพอแค่การยังอัตภาพให้อยู่ได้ บางคนมิได้นำไปใช้อะไร
ขอเพียงให้ได้ครอบครองเป็นเจ้าของธรรมชาติ
คนกับธรรมชาติรอบกาย
เราคงโทษคนไม่ได้ใช่หรือไม่ หากเราเข้าใจว่า
คนคือผู้ที่ยังไม่เข้าใจสิ่งรอบข้าง อย่าว่าแต่สิ่งรอบข้างเลย
ความที่ตนเป็นคน คนยังไม่เข้าใจตนเลย
จะให้เข้าใจสิ่งรอบข้างได้อย่างไร หรือว่าผลกระทบดังกล่าว
มิใช่การกระทำของคน
เหตุการณ์นี้
ทำให้หวนคิดถึงเนื้อหาในถ้อยคำของเหลาจื้อ
ผู้ที่สานุศิษย์ให้การยกย่องว่าเป็นศาสดาของศาสนาเต๋า “ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเอง” อันนี้ใช่ไหม ที่ธรรมชาติลงโทษ
เมื่อคนทำร้ายธรรมชาติรอบกายได้
ธรรมชาติรอบกายก็ขอทำร้ายคนด้วยเช่นกัน ในทัศนะของข้าพเจ้า
“มันไม่ยุติธรรม” กับการกระของคนจำนวนหนึ่ง
แต่คนอีกจำนวนหนึ่งซึ่งทำไร่ ไถนา ปลูกพืชผักปลอดสารเคมี
เขาต้องได้รับผลกระทบนั้นด้วย หรือว่า สิ่งนี้คือสิ่งยุติธรรมแล้ว
กล่าวคือ ยุติด้วยธรรมชาติ
มิใช่เฉพาะบ้านเกิดของข้าพเจ้า สงขลาวันนี้
ฝนตกหนักตลอดหลายวันที่ผ่านมา โครงการเพื่อการบรรเทาน้ำท่วม
จะช่วยบรรเทาได้มากน้อยแค่ไหนกัน แต่ก็ดี
ดีกว่าที่เราไม่ได้ทำอะไรไว้เลย อย่างน้อยต้องช่วยได้บ้าง
ข้าพเจ้ายอมรับตัวเองว่า ข้าพเจ้าไม่เชื่อในวิทยาศาสตร์
ไม่เชื่อว่าวิทยาศาสตร์จะช่วยชีวิตคนให้รอดจริง
ผลของวิทยาศาสตร์จะทำลายทุกอย่างแม้แต่ตัวของมนุษย์เอง
ความคิดนี้อาจจะส่วนทางกับความคิดของยุคนี้
แต่ก็เป็นข้อหนึ่งที่น่าคิด ยกตัวอย่าง
ถ้าไม่มีรถยนต์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคน
น้ำมันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลกก็ไม่ถูกขุดขึ้นมาใช้
ไอเสียจากรถยนต์ก็จะไม่มี คนก็จะได้อากาศที่บริสุทธิ์
ถ้าไม่มีการเผาไหม้สิ่งปฏิกูลจากผลของวิทยาศาสตร์
บรรยากาศโลกก็จะไม่ถูกทำลาย โลกก็จะไม่ร้อนเกินไป
ไอความร้อนจากโลกก็จะไม่ระเหย กลายเป็นเมฆและฝนเกินกว่าความจำเป็น
หรือว่าผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่ผลกระทบจากการกระทำของคน
หากแต่ธรรมชาติเป็นไปเอง
ให้หวนคิดถึงสมัยเป็นเด็ก ยามเย็นของหน้าฝน
ข้าพเจ้านั่งอยู่นอกชานซึ่งเป็นฟากไม้ใฝ่ หลังคามุงจาก
สายตาที่มองออกไปท่ามกลางสวนมะพร้าวจะมีสายฝนโปรยปรายคราคร่ำ
บางครั้งห่าใหญ่ บางครั้งห่าน้อยๆ บางคราวโปรยเพียงละออง
ในยามที่ฝนตกห่าใหญ่ ข้าพเจ้าจะได้ยินเสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบหลังคาจาก
เสียงนั้นไพเราะ เป็นท่วงทำนองของธรรมชาติ สายฝนที่ไหลจากจากหลังคา
และร่วงลงสู่พื้นดังเปาะแปะ และกระเซ็นเข้าไปใต้ถุนบ้าน นั้นคือหน้าฝน
ส่วนหน้าหนาว ข้าพเจ้าพร้อมเพื่อนจะชวนกันไปก่อไฟผิง นำกาบมะพร้าว
ทางมะพร้าว และเศษไม้มากองจุดไฟผิงก่อนไปโรงเรียน ยามหน้าร้อน
เราก็ร่มเงาของต้นไม้ให้พักผ่อนยามว่าง
อยากให้สิ่งนั้นหวนกลับมา
แต่เป็นได้แค่ความอยาก ไอ้ความอยากของคนนี่เอง
น่าจะเป็นชนวนสำคัญที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องเข้าไปจับกุมในฐานะตัวการใหญ่ที่น่าจะทำให้น้ำท่วมในวันนี้
คน เดือดร้อนกันทั่วทุกหัวระแหง
ปล่อยฉันไป..จากโลกใบ...นี้เสียเถิด
อย่าให้ฉัน..ต้องเกิด..มาบนโลก..ใบนี้เลย
ไม่ใช่โลก..โหดร้าย..ต่อฉันอย่างไรหรอก
สิ่งที่อยาก..จะบอก..ฉันไม่อยาก..เป็นส่วนหนึ่ง..ในการทำลายโลกใบนี้เลย
๐๘.๑๖ น. : ๙-๑๒-๔๗
อ.คะ ทำอย่างไรจึงจะได้เขียนแล้วเห็นภาพเหมือนอย่าง อ.คะ
ขอคำแนะนำหน่อย
ได้บรรยากาศจริง จิ๊ง
ค่อยๆ เขียนตามที่อยากเขียน จะเห็นภาพเอง (โม้ให้ฟัง คึคึ)