คนส่วนใหญ่ในเคมบริดจ์ (และอีกหลาย ๆ เมืองในอังกฤษ) นิยมใช้จักรยานเป็นยานพาหนะ เพราะสะดวกและประหยัดกว่าขับรถยนต์ ส่วนมอเตอร์ไซด์นี่ อย่างที่เคยเล่าไว้แล้วว่ามีให้เห็นน้อยมากค่ะ
ถนนในเมืองเคมบริดจ์จะเป็นถนนเล็ก ๆ และส่วนใหญ่จะเป็นวันเวย์คือรถวิ่งได้ทางเดียว ใครขับรถยนต์ก็ต้องขับช้า ๆ ไปตามทางเพราะจะให้มาเหยียบร้อยยี่แบบที่เมืองไทยคงทำไม่ได้ รถเมลล์มีบริการเช่นกันเดียว แต่เพื่อความสะดวก คนที่นี่จะใช้จักรยานส่วนตัวกัน ไปไหนมาไหนก็ปั่นจักรยาน ที่จอดจักรยานมีกระจายอยู่ทั่วเมือง อาจจะมากกว่าที่จอดรถยนต์ด้วยซ้ำไป แต่ถึงแม้จะมีที่จอดจักรยานไว้เยอะแค่ไหน ก็ไม่เคยพอสำหรับจำนวนจักรยานที่มีอยู่ทั้งเมืองค่ะ
ถ้าจะขี่จักรยานเราก็ควรมีอุปกรณ์เสริมด้วยค่ะ โดยทั่ว ๆ ไปที่ใช้กันก็คือ ตะกร้าหน้ารถ หมวกกันน็อค ถุงมือขี่จักรยาน ที่รัดข้อเท้าเพื่อกันไม่ให้ขากางเกงเปื้อนน้ำมันจากโซ่รถ ยิ่งถ้าขี่กลางคืน จำเป็นต้องติดไฟหน้าและไฟท้ายด้วย หรือบางคนจะใส่เสื้อสีสะท้อนแสงด้วยเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ใครขี่กลางคืนแบบไม่มีไฟหน้าไฟท้ายล่ะก็ เตรียมตัวจ่ายค่าปรับให้ตำรวจได้เลย แต่จริง ๆ แล้ว เพื่อความปลอดภัยส่วนตัว ก็ควรจะติดไฟจักรยาน ป้องกันรถเฉี่ยวชนตอนกลางคืน
เมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม แต่จริง ๆ แล้วเพราะความจำเป็นค่ะ ที่เรียนและที่พักอยู่ไกลกันพอสมควร ถ้าเดินก็ใช้เวลาสักครึ่งชั่วโมง นี่ยังไม่รวมเวลาต้องซื้อของกินของใช้แล้วเดินแบกกลับบ้านด้วยนะคะ ขี่จักรยานช่วยลดเวลาการเดินทางได้สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี
อาทิตย์แรกที่มาอยู่เคมบริดจ์ก็ต้องเดินหาซื้อจักรยานแล้วค่ะ บางคนบอกว่าซื้อมือสองก็ได้ บางคนบอกว่าซื้อคันใหม่เลยก็ดี จึงตัดสินใจซื้อจักรยานคันใหม่ เพราะต้องใช้มันไปอย่างน้อยสามปีแน่ ๆ จนกว่าจะจบเอกโน่นแหละค่ะ กะว่าใช้ให้คุ้ม กว่าจะเรียนจบจักรยานก็เก่าพอดี ฮ่าๆๆ
เอารูปจักรยานส่วนตัวมาฝากกันด้วยค่ะ คันที่เห็นข้างล่างนี้เลย คันเล็ก ๆ สีม่วง มีตะกร้าข้างหน้าด้วย
คันนี้กว่าจะได้มาเลือดตาแทบกระเด็นค่ะ เพราะต้องเดินไปไกลมากกกกกกก เพื่อหาร้านที่อยู่นอกเมือง ราคาจะได้ถูกลงหน่อย และปัญหาสำคัญคือ หาจักรยานคันเล็กยากมาก จักรยานส่วนมากจะเป็นแบบคันใหญ่ ๆ เราขี่ไม่ได้ เพราะตัวก็เล็กเหลือเกิน เท้านี่ลอยจากพื้นกันเห็น ๆ แต่สุดท้ายก็ได้คันเล็ก ๆ คันนี้มาสมใจ อิอิ
อีกรูปที่เอามาฝากกันเป็นจักรยานที่จอดอยู่เรียงราย
อันนี้ยังน้อยค่ะ บางที่นี่สร้างคล้ายโรงจอดรถเลยล่ะ มีหลังคากันแดดกันฝนให้เรียบร้อย เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ถ้ามีโอกาสจะเอารูปมาฝากใหม่แล้วกันนะคะ
สวัสดีค่ะคุณณิช
จักรยานสีสดใสมั่กมาก
^___^
สวัสดีจ๊ะแนน IS
ตอนที่ไปซื้อ คันเล็กขนาดนี้มีอยู่คันเดียวทั้งร้านค่ะ เลยไม่มีสิทธิ์เลือกสี *_* แต่ก็ชอบเจ้าม่วงคันนี้นะคะ :D
ว่าแต่ที่ออสเตรเลีย คนเค้าใช้จักรยานกันมั่งป่าว ??
ณิช
เผอิญผมเห็นยี่ห้อรถ
สมัยผมเป็นเด็ก เมื่อ 40 ปีที่แล้ว
รถจักรยานที่ใฝ่ฝัน คือยี่ห้อนี้แหละครับ
ฮัมเบอร์ ราเล่ห์
สวัสดีค่ะคุณ นาย วรชัย หลักคำ
สังเกตดีจังเลยค่ะ ดีใจด้วยค่ะที่ได้เห็นรถจักรยานยี่ห้อในฝันอีกครั้ง :D
ณิช
ขอบคุณครับ ที่ให้ได้เรียนรู้ชีวิต และแนวคิด จากภาพของวิถีชีวิตของแต่ละท้องถิ่น
มีคำถามครับ ถ้าไม่ใส่หมวกกันน๊อคโดนตำรวจกับด้วยมั้ยครับ
สวัสดีค่ะ ตาหยู
ขอบคุณที่แวะมาดูจักรยานคันน้อยเช่นเดียวกันค่ะ :D
ไม่ใส่หมวกได้ค่ะ ไม่ว่ากันตำรวจไม่จับ แต่บางคนเค้านิยมใส่นะคะ เพื่อความปลอดภัย ถ้าดูรูปที่จอดจักรยาน จะเห็นหมวกกันน๊อคถูกล็อคไว้พร้อมกับจักรยานเลยค่ะ ้ไม่ต้องหิ้วติดตัวไปด้วย แต่ถ้าฝนตก หมวกเปียกนี่ก็ตัวใครตัวมันล่ะกัน ฮ่าๆ ^_^
ณิช
ร้านซ่อมจักรยานเยอะมั้ยครับ แล้วการเติมลม เติมได้จากซ่อมจักรยานอย่างเดียวเปล่าครับ
ถามมากไปป่ะครับ อิอิ
สวัสดีค่ะ ตาหยูู
ตอนแรกว่าจะเขียนเรื่องร้านซ่อมด้วย แต่กลัวว่าเรื่องจะยาวไป ถามมาได้ตรงใจกับที่อยากเล่าเลยค่ะ งั้นขอเล่าเลยละกันนะ :)
คนขี่จักรยานที่นี่ส่วนใหญ่จะมีชุดเครื่องมือสำหรับซ่อมจักรยานค่ะ เช่นณิชเองจะมีถุงเฉพาะใบนึง ในถุงจะมีที่ปั๊มลมขนาดพกพายาวประมาณฟุตนึง มีชุดสำหรับปะยางอีกหนึ่งกล่อง (ในกล่องจะมียางหลายขนาดสำหรับปะโดยเฉพาะ และมีกาวให้เรียบร้อยค่ะ) นอกนั้นก็เป็นที่รัดขากางเกง หมวกกันน็อค ไฟหน้า ไฟหลัง ถุงมือ ทุกอย่างใส่ไว้ในถุงนี้หมดเลย สะดวกดีค่ะ แต่ไม่ได้เอาทุกอย่างไปนะคะ ไม่งั้นเป็นบ้าหอบฟางทุกวันแน่ ๆ ฮ่าๆๆ
สงสัยล่ะสิว่าทำไมต้องเตรียมพร้อม เพราะที่นี่ค่าครองชีพสูงมากค่ะ ถ้าสูบลมหรือปะยางจะแพงมาก ยังไม่เคยลองหมือนกัน แต่คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 500 มั๊งค่ะ ไม่แน่ใจ และไม่ใช่ว่าเอาไปซ่อมจะได้เลยนะคะ อาจจะต้องมารับรถวันรุ่งขึ้น แถมทั้งเมืองมีอยู่ไม่กี่ร้าน และปิดเร็วมากเลย ห้าโมงเย็นนี่ปิดเกลี้ยง เห็นมั้ยค่ะว่าไม่สะดวกเท่าไหร่ เราจึงต้องมีอุปกรณ์ซ่อมจักรยานส่วนตัวค่ะ
สำหรับณิช ซ่อมจักรยานไม่เป็นเลยค่ะ ฮ่าๆๆ โซ่หลุดก็ต้องให้เพื่อนมาใ่ส่โซ่กลับให้ ยังไม่เคยต้องสูบลมหรือว่าปะยาง แต่ดูท่าทางแล้วอาจต้องโทรให้เพื่อนมาทำให้เหมือนกัน ฮ่าๆๆ แย่จริง ๆ เลยเรา
มีเพื่อนบอกว่า ถ้าฉุกเฉินขึ้นมา เราก็ยืนยิ้มหวาน ๆ ให้คนที่เดินผ่านไปมา น่าจะพอหาคนซ่อมให้ได้ไม่ยาก อิอิ
ณิช
สวัสดีค่ะพี่มัท มัทนา
เหมือนกันเลยค่ะพี่ ขาไม่ถึงเหมือนกัน เศร้าเลย อิอิ ^_^
จักรยานหายบ่อยมากเลยค่ะ มีเพื่อนจอดทิ้งไว้ แล้วเข้าไปธนาคารแป๊บเดียว ออกมา จักรยานไปแล้วค่ะ
เวลาณิชล็อคจักรยาน จะต้องหาที่จอดจักรยานโดยเฉพาะ หรือหารั้ว เสาไฟ ต้นไม้ หรืออะไรก็ได้ ล็อคติดไว้ด้วยกันค่ะ ไม่งั้นหายแน่ ๆ ยังไม่อยากได้จักรยานคันใหม่ค่ะ ฮ่าๆ
ที่แวนคูเวอร์ก็น่าจะคล้าย ๆ กันนะคะ :D
ณิช
เหมือนกันค่ะ ห่ายง่าย แต่ตามไม่ยากค่ะ ไป flea market ของเมืองจะเจอ แต่ปัญหาคือต้องซื้อคืนสิค่ะ จับกันยากค่ะว่าใครขโมย
ที่นี่แค่ตัวอานก็ขโมยกันค่ะ ถ้าจอดที่ไม่ดีต้องแกะอานออกแล้วพกไปด้วย : ) บางคนก็แกะล้อด้วย!
สวัสดีค่ะพี่มัท
โหหห หนักกว่าที่นี่อีกค่ะ เพราะที่นี่อย่างดีก็แค่ยกจักรยานไป หรือแกะไฟท้ายไฟหน้า ยังไม่เคยเห็นแกะอานแกะล้อกันเลยยยย ฮ่าๆ
ระวังจักรยานหายนะคะพี่ :D
ณิช
ขอบคุณครับที่เล่าสู่กัน
บ้างที่การที่เราไปเจอที่ค่าครองชีพสูง ทำให้เรารู้ว่า บ้านเราค่าครองชีพต่ำจนทำให้มีอาชีพต่างๆมากมาย จนทำให้ชีวิตบางส่วนของเราก็สบายได้
แต่เหตุฉุกเฉิน ยิ้มหวาน นี่น่าจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะคนไทยหรือเปล่าครับเนี้ย อิอิ
สวัสดีจ๊ะ ตาหยู
บ้านเราอะไร ๆ ก็สะดวกไปหมดนะ พวกอยู่เมืองนอกนี่ต้องช่วยเหลือตัวเอง อะไรที่ไม่เคยทำก็ได้ทำหม๊ดดดดเลย
ส่วนเรื่องยิ้มนี่ ใช่แล้ว คนไทยยิ้มเก่งจริง ๆ เลย ไม่ต้องรอให้รถเสียหรอกนะ แค่ฟังฝรั่งพูดไม่รู้เรื่อง เราก็ยิ้มไว้ก่อนทุกที ทำหน้าใสซื่อ ฮ่าๆๆ
ณิช