"ความรู้สึก" ที่อยากให้ทุกคนสัมผัส..สักครั้งหนึ่ง


"ฆ่าความโกรธเสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข"

หลายสิบปีที่ผ่านมา  ในช่วงเวลา
ที่ผู้เขียนอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่
ที่วัดแห่งหนึ่งในชนบทบ้านเกิด  
มีความรู้สึกบางอย่างบังเกิดขึ้น
ที่อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง

ครือว่า...วันหนึ่งได้เกิดการทะเลาะ โต้เถียง มีปากมีเสียงกับ "นวกะ" - พระบวชใหม่ด้วยกันผู้เขียนเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ร่วมวงวิวาทะกะเขาด้วย

ที่ใดก็ตามหากมีการโต้เถียงเกิดขึ้น  อำนาจ"อัตตา" แต่ละคนก็จะปรากฏออกมาให้เห็น  ด้วยมักเชื่อว่า ความคิด ความเห็นของตนถูกต้องเสมอ  โทสะ  ความโกรธ อึดอัดขัดเคืองก็เกิดขึ้นยากที่จะหลีกเลี่ยง  อารมณ์เร่าร้อน ขุ่นมัว ไม่ปกติก็ติดตามมา  วันนั้นก็หนีไม่พ้นเช่นกัน

ผู้เขียนตัดสินใจปลีกตัวเองออกจากหมู่   ไปนั่งสงบใจใต้ต้นโพธิ์   พิจารณา ไตร่ตรองด้วยเหตุและผล  ในเรื่องที่ผ่านมา   นึกถึงสภาพยามที่คนเราโกรธ  เนื้อตัวร้อนผ่าว ใจสั่น หาความปกติไม่ได้เลย

ตรงกันข้ามกับขณะนี้  เมื่อความโกรธคลายจางลง  "สติ" เริ่มมา  จึงรำลึกถึงพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งที่ว่า   "ฆ่าความโกรธเสียได้ย่อมอยู่เป็นสุข"  จึงลองคิดหักมุมใหม่  ต่อไปนี้เราจะไม่ตามใจอารมณ์ตัวเอง  ไม่ตามใจกิเลสอีก     ตั้งใจและรำพึงกับตัวเองว่า
"เราจะไม่โกรธและจะอภัยแก่ผู้ที่ทะเลาะ ล่วงเกินเรา" 

เริ่มมาคิดได้ว่า  ที่ผ่านมา  เราทะเลาะ  โต้เถียงกันนั้น  ที่แท้แล้วล้วน "โง่เขลา"  เป็น"โมหะ" ความ"หลงผิด" ด้วยกันทั้งคู่  เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว  ความรู้สึก "เมตตา" และ "การอภัย" ซึ่งเป็นความเยือกเย็นเริ่มเข้าสู่จิต  ขับไล่ความโกรธ ความเร่าร้อนออกไป 

ทันใดนั้นเอง....ความรู้สึกอย่างหนึ่งก็บังเกิดขึ้น..เป็นความรู้สึกประหลาดที่ไม่เคยสัมผัส ลิ้มลองมาก่อนเลย  มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอิบ  เบิกบาน ว่างโล่ง โปร่งเบาสบาย เกิดปิติสุขในจิตชนิดบอกไม่ถูก  รู้สึกเหมือนตัวลอยและรอยยิ้มน้อยๆปรากฎอยู่ภายในใจ  

ผู้เขียนดื่มด่ำความรู้สึกเช่นนั้นนานเท่าใดไม่กำหนดแน่    มารู้สึกตัวอีกครั้ง  เมื่อระฆังเตือนบอกเวลา  6  โมงเย็นแล้ว   ผู้เขียนลุกจากที่นั่งอย่างมีสติ  เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมสวดมนต์ทำวัตรเย็น  ด้วยความรู้สึกเบาสบาย   อยากให้ตัวเองคงสภาพความรู้สึกเช่นว่านี้ตลอดไป..เป็นนิรันดร์  

แต่...ความรู้สึกดังกล่าวที่เล่ามาอยู่กับผู้เขียนได้ไม่นานนัก  มันค่อยๆลับเลือนหายไป  ...นำความเป็น"ปุถุชน"คนเดิม  ซึ่งยังมี โลภ โกรธ  และ หลง  กลับเข้ามาแทนที่อีก....อย่างน่าเสียดาย....เสียดายความรู้สึกดีๆที่เคยสัมผัส ครับ.

........................................................................................................

หมายเลขบันทึก: 91469เขียนเมื่อ 20 เมษายน 2007 17:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

อาจารย์คะ ขอบคุณที่อาจารย์เขียนเรื่องนี้ค่ะ เพราะได้อ่านไปด้วยทบทวนตัวเองไปด้วยทั้งยามโกรธมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ และยามที่คิดได้ก็เป็นเช่นนั้นอีกเหมือนกัน

อารมณ์ที่ดื่มด่ำกับความสุข ใหม่ๆ เจอแล้วอยากเจออีก ตอนหลังได้รับคำสั่งสอนมาว่า เมื่อเกิดก็ให้รู้ว่าอารมณ์นี้เกิด ให้ท่อง "รู้หนอๆๆ" แล้วจะไม่เสียดายหรือคอยพะวงอยากให้มีและเสียดายถ้าไม่มีน่ะค่ะ ...

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับ คุณ จันทรรัตน์ เจริญสันติ

ขอบคุณที่แวะมาอ่าน และร่วมแสดงความเห็นเพิ่มเติมที่น่าคิดเป็นคนแรก ครับ

เอาไว้มีเวลาจะแวะไปเยี่ยม blog ของคุณ ครับผม

ปล.นามสกุล "เจริญสันติ" ดีจังเลย ครับ

เมื่อไม่มีใครมา "ต่อยอด" ก็เลยแวะมาเพิ่มเติมเสียเอง...อิอิ

ครับ ที่ทิ้งท้ายข้อเขียนไว้ว่า

"แต่...ความรู้สึกดังกล่าวที่เล่ามาอยู่กับผู้เขียนได้ไม่นานนัก  มันค่อยๆลับเลือนหายไป  ...นำความเป็น"ปุถุชน"คนเดิม  ซึ่งยังมี โลภ โกรธ  และ หลง  กลับเข้ามาแทนที่อีก....อย่างน่าเสียดาย....เสียดายความรู้สึกดีๆที่เคยสัมผัส ครับ."

ก็พยายามฝึกจิต ทำใจ เพื่อให้เกิด มีสติ ระลึกรู้ถึงความรู้สึกดังว่าอยู่เสมอ  โดยคิดลด ละ เชื่อร้าย 3 อย่างลง  เพื่อ ความ"เบาสบาย" ให้เกิดขึ้น

และนึกภาพ "อริยบุคคล"ระดับต่างๆ  ท่านดูอิ่มเอิบ เบิกบานอยู่เสมอ เพราะท่านได้ปฏิบัติ"เข้าถึง"แล้วนี่เอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท