อาสาสมัครยามเช้ากับตึกศัลยกรรมเด็กโต ครั้งที่ 4


ดอกไม้ยังตื่นรับอรุณต่อแสงแดดในยามเช้า ความสุขสดใสของผู้คนก็สามารถเกิดได้เช่นกันในยามเช้าของวันนั้น
        ครั้งแรกแห่งการเดินทางไปเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาลตอนเช้า ฉันกำลังคิดว่าการทำกิจกรรมในตอนเช้านั้นจะเป็นเช่นไรนะ วันนี้เด็กค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่เด็กที่เห็นอยู่ก็จะเป็นเด็กเก่าแทบทั้งหมด เมื่อไปถึงฉันก็เข้าไปทักทายกับพี่ๆพยาบาลเป็นอย่างแรก ฉันยืนพูดคุยเรื่องกิจกรรมกับเหล่าเจ้าหน้าที่อยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ที่นี้เริ่มจะให้ความสนใจกับการมาจัดกิจกรรมของอาสาสมัครขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ ในเช้าวันนี้มีแต่ผู้คนยิ้มแย้ม แจ่มใส และอารมณ์ดีกันแทบทุกคน ทำให้บรรยากาศในตึกดูผ่อนคลายลง ไม่ค่อยตึงเครียดเหมือนช่วงบ่ายเท่าไหร่ กิจกรรมที่เตรียมไปก็มีอยู่หลายอย่างได้แก่ ระบายสีภาพ สื่อการเรียนรู้ และตุ๊กตาหุ่นนิ้ว
       พัฒนาการของน้องพลอย ครั้งแรกที่ฉันเจอน้องพลอย น้องพลอยจะไม่ค่อยมีแรง ตามแขนก็จะมีสายน้ำเกลือระโยงระยาง ที่จมูกก็มีสายสียบอยู่เช่นกัน จะนั่งทีก็ลำบากมากก้มตัวไม่ได้เลย เห็นแล้วรู้สึกอาการหนักเหมือนกัน แต่ก็ยังเป็นเด็กที่อารมณ์ดีและยิ้มเก่งอยู่เสมอ แม้กับคนแปลกหน้าอย่างฉัน พอมาเจอครั้งที่สอง น้องพลอยมีอาการค่อนข้างแย่กว่าเดิม ลุกขึ้นนั่งไม่ได้เลย น้องพลอยบอกว่าไม่มีแรงและมึนหัว จึงไม่สามารถทำกิจกรรมได้ จนฉันมาเจอน้องพลอยครั้งที่สาม ปรากฎว่าเห็นน้องพลอยเดินอยู่ข้างเตียง โดยเข็นเสาน้ำเกลือตามไปด้วย ฉันเดินเข้าไปทักทายและยินดีกับการที่น้องพลอยอาการดีขึ้นและสามารถลงจากเตียงได้แล้ว เพราะน้องพลอยเคยบอกฉันว่าตั้งแต่มาที่โรงพยาบาลยังไม่เคยได้ลงไปสัมผัสพื้นของโรงพยาบาลเลยและอยากลงจากเตียงมากๆ จนวันนี้ได้ลงจากเตียงมาสัมผัสพื้นได้เป็นครั้งแรก น้องพลอยบอกว่าดีใจมากที่หมออนุญาติให้ลงจากเตียงและสามารถกินข้าวได้แล้ว หลังจากที่อดข้าวมา 3 วัน จนมาถึงวันนี้น้องพลอยอาการดีขึ้นอย่างมาก ไม่ต้องมีสายระโยงระยางต่างๆคอยติดตัวแล้วด้วยและลงจากเตียงมานั่งทำกิจกรรมที่โต๊ะได้แล้ว ซึ่งน้องพลอยบอกฉันว่า อยากจะวิ่งเล่นเลย แต่พยาบาลห้ามไว้ บอกว่าถ้าวิ่งจะถูกผ่าตัดอีก ก็เลยไม่กล้าวิ่งเลย ฉันฟังแล้วก็ขำๆไปกับน้องพลอยด้วย น้องพลอยบอกว่ารอตัดไหมและดูอาการอีกนิดหน่อยก็สามารถกลับบ้านได้แล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีมากสำหรับน้องพลอย และฉันก็รู้สึกดีไปด้วยที่มีเด็กป่วยลดลงไปอีกหนึ่งคน
       น้องใบเฟิร์นกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง วันนี้น้องใบเฟิร์นค่อนข้างอารมณ์ดีกว่าครั้งที่แล้วทีฉันมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมพูดคุยกับอาสาสมัครหน้าใหม่อยู่เหมือนเดิม และบ่นหิวตลอดเวลา วันนี้ฉันก็เห็นแม่ของน้องเฟิร์นมานั่งเฝ้า แต่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตรงที่แม่น้องเฟิร์นมีการยิ้มแย้ม พูดคุยกับอาสาสมัครเป็นอย่างดี มีพูดการระบายความรู้สึกให้ฟัง ซึ่งฉันรู้สึกว่าเกิดการไว้วางใจมากขึ้น จากการที่เห็นอาสาสมัครมาทำกิจกรรมอยู่หลายครั้งแล้ว ระหว่างที่พูดคุยกันฉันก็ต้องงงไปเหมือนกัน เมื่อผู้ปกครองที่เข้าใจว่าเป็นแม่ของน้องเฟิร์นกัลบไม่ใช้แม่แท้ๆ แต่กลายเป็นป้าของน้องเฟิร์นต่างหาก ซึ่งป้าของน้องเฟิร์นที่ฉันคิดว่าเป็นแม่นั้นเล่าให้ฟังว่า แม่ของน้องเฟิร์นไม่ค่อยมีเวลา ป้าสงสารน้องเฟิร์นจึงมาคอยดูแล ป้าบอกว่าดูแลน้องเฟิร์นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เหมือนแม่คนหนึ่งนั่นแหละ เพราะน้องเฟิร์นก็เรียกป้าว่าแม่เหมือนกัน ซึ่งมันทำให้ฉันได้รู้เรื่องราวของน้องเฟิร์นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างและเข้าใจถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆว่ามีสาเหตุมาจากที่ไหน ฉันรู้สึกว่าฉันเริ่มจะพอจับจุดของน้องเฟิร์นได้บ้างเหมือนกัน ฉันจะพยายามพูดในเรื่องที่น้องเฟิร์นให้ความสนใจ เพราะเมื่อน้องเฟิร์นสนใจก็จะอารมณ์ดี ยอมพูดคุยด้วย โดยไม่แสดงท่าทีรำคาญหรือเอาแต่ใจ แต่ฉันก็คงต้องศึกษาน้องเฟิร์นไปเรื่อยๆจนกว่าจะสามารถทำให้น้องเฟิร์นอารมณ์ดีได้ตลอดเวลา
       "น้องป๊อป เด็กหญิงนักอ่าน" วันนี้ฉันเอาหนังสือที่เป็นสื่อความสุขอย่างหนึ่งไปให้น้องป๊อปไว้อ่านเล่นตอนเหงาๆ พอน้องป๊อปเห็นก็รีบคว้าไปดูทันที ซึ่งน้องป๊อปบอกว่าชอบมากเลยที่เอาหนังสือมาให้อ่าน และเพิ่งจะอ่านจบไปก่อนหน้าแล้วสองเล่ม ซึ่งตั้งแต่ฉันเจอน้องป๊อปครั้งแรกจนถึงวันนี้จะสังเกตได้ตลอดว่าบนเตียงของน้องป๊อปจะเต็มไปด้วยหนังสือต่างๆเต็มเตียงไปหมด แล้วยิ่งบวกับอุปกรณ์ระบายสีภาพแล้วด้วย ทำให้รู้ได้เลยว่าเด็กคนนี้เป็นรักการอ่านและชอบศิลปะด้วยเช่นกัน น้องป๊อปเคยบอกฉันว่าหนังสือช่วยทำให้ลืมความเจ็บปวดของโรคภัยได้เป็นบางครั้ง สิ่งที่ช่วยให้น้องป๊อปยังมีรอยยิ้มที่มุมแก้ม เสียงพูดเจื้อยแจ้วที่ฟังดูร่าเริงอยู่เสอม ก็คงเพราะมีทั้งหนังสือและศิลปะ คอยช่วยให้บรรเทาความทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจลงไปได้บ้างนั่นเอง แม่น้องป๊อปบอกว่าจะได้รู้แล้วว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ เพราะหมอนัดไปฟังผลตอนเที่ยงนี้แล้ว แต่ที่แม่น้องป๊อปเป็นกังวลมากก็คือเรื่องผ่าตัด เพราะถ้ารู้ผลตรวจแล้วว่าเป็นโรคอะไรก็อาจต้องทำการผ่าตัดและๆไม่รู้ว่าผ่าตัดแล้วผลจะออกมาเป็นยังไง จึงทำให้เป็นกังวล สำหรับความคิดของฉันอง คิดว่าน้องป๊อปน่าจะผ่านตรงนี้ไปได้เพราะได้รับกำลังใจที่ดีจากครอบครัวอย่างเต็มที่ และฉันสังเกตดูว่าน้องป๊อปเองก็ไม่ค่อยเป็นกังวลสักเท่าไหร่นัก สงสัยอาจเพราะกำลังเพลิดเพลินกับการระบายสีภาพอยู่ก็เป็นได้ วันนี้ฉันลองชวนให้น้องป๊อปมาลองเขียนไดอารี่ดู ซึ่งน้องป๊อปดูจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ในตอนแรก แต่ฉันพยายามอธิบายถึงการเขียนไดอารี่ให้น้องป๊อปฟัง น้องป๊อปจึงเริ่มสนใจ ฉันจึงสัญญาว่ามาคราวหน้าจะเอาสมุดจดไดอารี่มาฝากอย่างแน่นอน พอถึงเวลากลับฉันบอกน้องป๊อปว่าอย่าลืมอ่านหนังสือที่ฉันเอามาให้นะ เพราะมันเป็นเรื่องราวที่ดี อ่านแล้วคงมีความสุข น้องป๊อปบอกว่าอ่านแน่นอน แต่พี่อย่าลืมหนูก็แล้วกัน ฉันรู้สึกว่าเพียงคำสั้นๆแค่นิดเดียวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่กลับมีพลังมหาศาลเป็นอย่างมากสำหรับอาสาสมัครอย่างฉันเลยทีเดียว
       น้องมายด์กับคุณยายผู้ร่าเริง วันนี้น้องมายด์จะได้กลับบ้านแล้ว ฉันรู้สึกดีใจไปกับครอบครัวของน้องมายด์ไปด้วยที่น้องจะได้กลับบ้านซะที ยายน้องมายด์บอกว่าน้องมายด์ชอบวาดรูปมาก ถ้าโมโหหรืออารมณ์ไม่ดี พอได้วาดรูปก็จะหาย ฉันถามน้องมายด์ว่าดีใจมั้ยที่ได้กลับบ้านแล้ว น้องมายด์บอกว่าดีใจ และสิ่งแรกที่จะทำคือไปหาเพื่อนๆ เพื่อไปเล่นด้วยกัน น้องมายด์พูดไป ยิ้มไป ซึ่งปกติแล้วน้องมายด์จะไม่ค่อยพูดและยิ้มให้คนอื่นเท่าไหร่ เพราะน้องมายด์จะพูดไม่ค่อยชัดนัก แต่มาครั้งนี้น้องมายด์ยิ้มและพูดคุยกับฉันเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีมากสำหรับฉัน ฉันบอกน้องมายด์ว่ากลับบ้านแล้วอย่าลืมฉันน่ะ น้องมายด์พยักหน้าแทนคำตอบและยิ้มให้ คุณยายน้องมายด์จึงชวนฉันไปเที่ยวบ้านน้องมายด์และให้เบอร์โทรศัพท์ เพื่อไว้ติดต่อกัน เพราะบ้านของน้องมายด์อยู่ที่ประตูน้ำแค่นี้เอง ซึ่งไม่ไกลจากที่ทำงานของฉันมากนัก คุณยายให้ฉันไปบ้านเพื่อไปเอาภาพที่น้องมายด์วาดให้ ยายบอกจะเลี้ยงข้าวฉันด้วย ยายน้องมายด์บอกว่ายายชอบอะไรที่เป็นตัวเลข ซึ่งยายหมายถึงการเล่นหวยนั่นเอง คุณยายพูดไปหัวเราะไป ซึ่งเวลายายหัวเราะจะน่ารักมาก เพราะเวลายายยิ้มฟันจะแดงหมดเลย เพราะยายเคี้ยวหมากอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ยายน้องมายด์จะพูดคุยอย่างร่าเริงและสนุกสนานเสมอ และดูเป็นคนรักหลานมาก ทำให้เวลาใครได้คุยกับคุณยายแล้วก็จะมีแต่ความสนุกสนานไปด้วย
       สิ่งที่ฉันสังเกตได้สำหรับวันนี้คือ การเปลี่ยนแปลงของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะดูมีความเป็นกันเองมากขึ้น ยิ้มแย้มทักทาย และเหมือนจะเปิดรับอาสาสมัครมากขึ้นด้วย ซึ่งอีกหน่อยฉันคงได้เข้าไปทำกิจกรรมในห้องสันทนาการอย่างแน่นอน เพราะเจ้าหน้าที่เริ่มเปิดทางให้ฉันบ้างแล้ว ส่วนผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดี และร่วมพุดคุยกับอาสาสมัครมากขึ้น โดยส่วนตัวฉันคิดว่าอาจเป็นเพราะอากาศยามเช้าทำให้ทุกคนในตึกมีความสดใสและกระปรี่กระเปร่า เกิดความเบิกบานไม่ง่วงนอน จึงทำให้วิสัยทัศน์ในการมองดีขึ้นด้วย ผิดกับตอนบ่ายที่ทุกคนดูจะตึงเครียดเพราะเด็กบางคนต้องได้รับการผ่าตัด และความง่วงนอนก็เริ่มเข้ามาบดบังการมองวิสัยทัศน์ต่างๆไปนั่นเอง
 
หมายเลขบันทึก: 91467เขียนเมื่อ 20 เมษายน 2007 17:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท