ณ ห้อง I.C.U. ก่อนที่ผมจะถูกผ่าตัด
ผมฟังจากคำบอกเล่า ของคุณแม่ แฟน น้องๆ และญาติๆ ว่า
เมื่อทุกคนเห็นผม จะสงสารและร้องไห้ ภาวนาขอให้ผมไม่ตาย ให้การผ่าตัดสำเร็จ ถึงเดินไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมขอขยายความอีกนิดครับ ในอดีตที่ผ่านมา ผมเป็นเด็กดีในสายตาของผู้ใหญ่มาตลอด แต่ทุกคนจะทราบดีว่า ผมดื้อทางด้านความคิด มีความคิดเป็นของตัวเอง ว่ากล่าวตักเตือนได้ ให้ทำอะไรต้องมีเหตุผล ส่วนในเรื่องการเรียน ในระดับประถม-มัธยมต้นจะเรียนดี มัธยมปลาย-มหาวิทยาลัยจะปานกลาง สามารถเรียนจนจบได้ ไม่เป็นภาระให้คุณแม่ ในหมู่ญาติพี่น้อง จะรักใคร่ในตัวผมมาก เพราะช่วยเหลือทุกคนตลอด จึงทำให้ทุกคนเป็นห่วงมาก เมื่อทราบว่าผมประสบอุบัติเหตุ
ขณะนั้นทุกคนทราบแล้วว่า ถึงจะผ่าตัด รักษาร่างกายหายแล้ว ก็จะเดินไม่ได้แน่นอน ส่วนรายละเอียดอะไรที่มากกว่านี้ คงไม่ทราบ
ทุกคนเล่าว่า คุณหมอที่จะผ่าตัดคอผม อดีตท่านเคยเป็น ผ.อ.โรงพยาบาลประสาท (หมายถึงระบบประสาทนะครับ) ท่านมีความเชี่ยวชาญ แต่โดยปกติเวลาแพทย์จะเข้าผ่าตัด มักจะต้องมีแพทย์ที่ 2 คอยช่วยอยู่ใกล้ๆ ท่านรอหมอคนที่ 2 มา บ่ายวันเดียวกัน คุณหมอท่านที่ 2 ก็เข้ามาและแจ้งกับคุณแม่ผมว่า ต้องผ่าตัดด่วนทันที อย่ารอนาน ถ้ายิ่งรอนาน ผมอาจลุกนั่งไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะไขสันหลังจะเสียหายมากกว่านี้
จะต่างกับคุณหมอท่านแรกที่อยากให้ผม ลองถ่วงลูกตุ้ม เพื่อดึงกระดูกคอ ในห้อง I.C.U. ไปก่อน เพื่อรอดูอาการ ทั้ง 2 ท่านดูจะขัดแย้งกัน ผมว่าคงเป็นเพราะวัยที่ต่างกันด้วยครับ ท่านแรกอายุมากก็จะระมัดระวังมากกว่า ส่วนท่านที่ 2 หนุ่มกว่าเยอะ อาจจะตัดสินใจได้เร็วกว่า แต่สุดท้ายก็ต้องวัดกันที่ การตัดสินใจของคุณแม่ผมหล่ะครับ
" ผ่าเลยค่ะ "
จากนั้นครับ ก่อนการผ่าตัดก็ต้องตรวจร่างกายผมว่า พร้อมเข้าผ่าตัดไหม คุณหมอบอกแม่ผมว่าอวัยวะภายในผมพร้อมมาก เพราะผมไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทำให้การใช้ยาในระหว่างผ่าตัดไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรมาก
เมื่อทุกอย่างพร้อม เวลาผ่านมา 34 ชั่วโมงโดยประมาณ ผมได้รับการผ่าตัดคอ ที่โรงพยาบาลแห่งที่ 2 นี้ (และที่นี่เอง ที่ทำให้ผมต้อง...........)
ในระหว่างที่ผมอยู่ในห้องผ่าตัด ทุกคนก็ช่วยลุ้นให้การผ่าตัดสำเร็จ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ผมคิดว่าเธอน่าจะคิดมากกว่าคนอื่น คือเธอต้องการให้รอด แบบที่สมองไม่เป็นอะไรเลย ต้องไม่เสียหาย ความจำต้องเหมือนเดิม ความคิด ความอ่านต้องปกติ ทำไมเธอต้องคิดมากกว่าคนอื่น เพราะเธอรู้ว่า ถ้าผมคิดอ่าน ไม่เหมือนเดิม เกิดอาการทางสมองเนื่องจากอุติเหตุ ผมคงคิดมาก กระวนกระวาย เพราะผมบ้างาน แต่ถ้าสมองผมยังดีอยู่ ก็คงหาทางแก้ไขได้ และต้องทำงานได้แน่นอน
แน่นอนครับ เธอคือคนรัก หรือแฟนของผมเอง
หลังผ่าตัด ผมพักฟื้นอยูที่ห้อง I.C.U. อยู่ 1 สัปดาห์ ระหว่างนั้น
ผมรับรู้ได้มีคนมาเยี่ยมผมเป็นระยะๆ นอกจากญาติๆ แล้วคงเป็นเพื่อนๆ ในที่ทำงาน ในบรรดาคนที่มาเยี่ยมมีอยู่ท่านหนึ่ง ผมทราบจากโรงพยาบาลว่า คนคนนี้มาเยี่ยมผมทุกวันบ ขณะที่ผมอยู่ในห้อง I.C.U. เข้ามาดูและก็ออกไปนั่งสักพัก แล้วก้กลับ
อาจารย์ธีระ ศิระธนาพันธ์ ครับ ท่านเป็นหัวหน้าเก่าของผมเอง ครั้งที่ผมเคยทำงานที่
Berli Jucker ครั้งแรก แต่ครังนี้ท่านคุมอยู่อีกแผนกหนึ่ง
ผมได้เรียก วิศวกรรุ่นน้อง ของผมที่ทำงานรับเหมาให้ผมเข้ามาคุยเรื่องเงินค่าตอบแทน ว่าไม่ต้องห่วงผมเตรียมไว้ให้แล้ว และเยี่ยมไปในตัว
(ย้อนความนิดหน่อยครับ คือระหว่างที่ผมเป็นพนักงานประจำอยู่ ผมได้ทดลองรับงานนอกมาลองทำดู จากรุ่นพี่-รุ่นที่ 5 ของผมเอง ทำให้ ณ ขณะนั้นผมมีลูกน้องทั้งหมด 22 คน แล้วเหตุก็มาเกิดเอาตอนจะสิ้นเดือน ทุกคนก็คงจะกังวลใจ)
ถึงผมจะพึ่งออกจากห้องผ่าตัด และพักฟื้นอยู่ แต่ผมรู้เลยว่าผมรู้เรื่องทุกอย่าง เพียงแต่ช่วงวันแรกๆ ตายังปิดอยู่ จึงมองไม่ค่อยเห็น ถ้าเทียบกับตอนก่อนผ่าตัดแล้ว ผมรู้แต่ว่ามีคนมา แต่ผมไม่รู้อะไรเลย มันบอกไม่ถูก เบลอๆ ไม่รู้เรื่อง
มีเรื่องแปลกที่คุณหมอจะคอยระวัง สำหรับคนไข้ลักษณะอาการเหมือนผม คือการติดเชื้อที่ปอด จึงจำเป็นต้อง x-ray บ่อยๆ แต่ปรากฏว่า ขณะอยู่ในห้อง I.C.U. ผมไม่ติดเชื้อที่ปอดเลย ผมคิดว่าการที่ร่างกายผมขับเสลดออกมาเองไว้ที่กระพุ้งแก้มทุกเช้า เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมไม่ติดเชื้อที่ปอด รวมทั้งผมให้ความสำคัญเรื่องนี้ ผมจะไม่ฝืนตัวเอง เมื่อมีเสลดมา ผมจะคายออกทันที เพราะผมไม่มีเสียงเท่าไหร่ ตะโกนเรียกก็ไม่ไหว ทำให้เสื้อและตอผมเลอะเทอะทุกวัน
นางพยาบาลจะแปลกใจที่ทุกเช้า ผมสามารถคายเสลดสีเขียวเข้ม ก้อนใหญ่ออกมาได้ทุกวัน ทั้งๆที่ลักษณะของโรคผม ปอดคงไม่มีแรงสั่งเสลดออกมาได้อยู่แล้ว
แฟนผมสบายใจขึ้นครับ ที่เห็นผมคุยรู้เรื่อง แสดงว่าสิ่งที่เธอคาดหวัง เป็นไปตามนั้น แต่เธอยังไม่ได้บอกผมครับ เธอไปบอกผมอีกที ตอนผมอยู่ห้องพิเศษ
อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผมยังอยู่ห้อง I.C.U. คือข่าวพฤติกรรมของรุ่นพี่ผม ที่แม้แต่จะโทรมาเยี่ยมผมก็ไม่เคย มาเยี่ยมก็ไม่มา แล้วยังหักหลังผมด้วยการพยายามดึงลูกน้องผมไปทำงานกับเขา ซึ่งก็มีวิศวกรไปทำงานกับเขา 2 คน เพราะกังวลใจว่า ผมคงไปต่อไม่ได้ในเรื่องงาน เหลืออยู่คนเดียวชื่อ "โจ๊ก" กับช่างทั้งหมด สุดท้ายรุ่นพี่คนนี้ก็ทำกับผมได้ ด้วยการโกงเงินผมไป ประมาณ 580,000 บาท คือนอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังโกงอีกต่างหาก
แต่ตอนนี้ผมก็อโหสิกรรมให้แกไปแล้ว เพราะมื่อต้นเดือนเมษายน ปี 2549 แกป่วยตายด้วยโรคมะเร็งไปแล้ว
เรื่องสำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในห้อง I.C.U. ก็คงมีเท่านี้ ต่อไปคราวหน้าก็ไปที่ห้องพิเศษกัน รายละเอียดเยอะ เพราะผมอยู่ถึง 2 เดือนจนย้ายไปโรงพยาบาลที่ 3 คือโรงพยาบาลพญาไท 1
ผมอยากให้ทุกคนสังเกตุนะครับ โรงพยาบาลที่แรก และ 2 ผมจะไม่เอ่ยนาม แต่ทำไมแห่งที่ 3 ผมถึงกล้าบอกว่าเป็น " พญาไท 1 "
ก็เพราะผมจะ comment โรงพยาบาลแห่งที่ 2 นะสิครับ เพื่อเป็นอุทธาหรณ์ให้กับทุกคน
ขอบคุณครับ
ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 089-6910225
Tel.&Fax.: 02-9232724
email :
[email protected]