พอกล่าวถึงเรื่องหวานๆ ถึงแม้จะหวานเพียงด้านนอกก็ตาม หลายท่านอาจจะนึกถึงผลไม้สุก หรือไม่อาจจะนึกถึงพืชผักที่มีผลนะครับ แต่นั่นไม่ใช่คำตอบที่เราจะกล่าวถึงด้วยประการทั้งปวง ...หากแต่ว่าเป็นความข่มขื่นของปราชญ์ชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน ในการอบรมเกษตรกรเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กว่า 40 ศูนย์ทั่วประเทศ
เริ่มแรกเดิมทีการทำการเกษตรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงนั้น หลายหน่วยงานก็เห็นพ้องต้องกันว่ากลุ่มที่ทำเพื่ออยู่เพื่อกินตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่เห็นเป็นรูปธรรมน่าจะเป็นกลุ่ม หรือเครือข่ายที่เรียกว่า "ปราชญ์ชาวบ้าน" เพราะได้ทำการผลิตในแนวนี้มานาน น่าจะเป็นแบบอย่างที่ดี และเห็นควรให้มีการถ่ายทอดให้เกษตรกรรายอื่นๆ ที่มีความสนใจเพื่อจะได้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อไป เนื่องจากกระทรวงเกษตรได้ทำทุกวิถีทางแล้วจนกระทั่งถึงทางตัน ไม่รู้ว่าจะหากลวิธีอย่างไรจึงจะขยายผลต่อไปได้การอบรมเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณกลางเดือนมีนาคม
2550 ที่ผ่านมา ทำให้ทุกฝ่ายลงมือลงแรงกันอย่างแข็งขัน แต่ครั้นเมื่อเริ่มดำเนินการก็ต้องสะดุดกับตออันเบ่อเร่อ นั่นก็คือ ระเบียบการเงินการคลังที่ละเอียดยิบ มิหนำซ้ำการจัดซื้อจัดหาวัสดุที่ใช้ในการฝึกอบรมหยุมหยิมเหมือนกับเด็กเล่นขายของ จะขอถัวจ่ายก็ไม่ได้ ติดพันกันไปทั้งหมด นี่คือชาวบ้านนะครับ แต่ถามว่าชาวบ้านอย่างเราทำได้ไหมครับ ก็คงไม่เกินความสามารถหรอกครับเพียงแต่ว่ามันทำให้เสียเวลาในการทำงาน แทนที่จะได้มีเวลา และพลังที่จะไปคิดในสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อไป จึงต้องมาเสียเวลาอยู่กับเอกสารเป็นอย่างมาก
ซึ่งไม่เหมือนกับเจตนารมณ์ที่ต้องการให้เกิดในครั้งแรก ปราชญ์ชาวบ้านจึงเกิดอาการที่กระวนกระวาย และกังวลใจ ในการทำงาน จึงเกิดความขมขื่นตามมามากมาย คือ
ความขมขื่นจากการถูกหลอก เสมือนว่าถูกหรอกให้ฝึกอบรม แต่ไม่อำนวยความสะดวกและยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งไม่ทราบว่ากระทรวงมีแผนอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ ทำไมไม่หันหน้าช่วยกันผลักดันเพื่อให้เกิดเศรษฐกิจพอเพียงให้สมเจตนารมณ์ของผู้นำประเทศ เพื่อจะได้ถวายในหลวงของเรา
ความขมขื่นจากการถูกบีบ กระทรวงต้องการผลงานเลิศเรอ แต่เอาระเบียบมาบีบปราชญ์ชาวบ้านให้เดินตามวัฒนธรรมราชการ ซึ่งมันผิดกับวิถีการทำงานของปราชญ์ชาวบ้าน สุดท้ายจึงเกิดความเบื่อหน่าย
ความขมขื่นจากการประเมิน หลังจากที่มีการอบรมเสร็จกระทรวงเกษตรก็จะได้มีการประเมิน " น้ำลาย " (การอบรมที่ไม่มีอะติดไม้ติดมือหลังการอบรม) ของปราชญ์ชาวบ้านว่าชาวบ้านเอาไปทำจริงหรือไม่ ถามว่าเรากลัวการประเมินหรือไม่ คำตอบก็คือว่า " ไม่ " ยิ่งเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำไปที่จะได้เห็นของจริง ที่ปราชญ์ชาวบ้านมีแต่น้ำลายเพียงอย่างเดียว กับวัฒนธรรมของราชการที่จ้างคนมารับความรู้ (เบี้ยเลี้ยง) แถมมีเงินก้นถุงอีกต่างหาก (ทุนให้เปล่าไปดำเนินการ) จึงเกิดความข่มขื่นอย่างยิ่งกับวัฒนธรรมเดิมๆความข่มขื่นจากการวางยา เป็นการวางยาที่แนบเนียนอย่างยิ่งกับการทดสอบหนูนา ของภาครัฐเพื่อจะได้บเหลี่ยมปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อที่จะได้ไม่แข็งข้อกับภาครัฐอีกต่อไป
<p>"ใช่หรือไม่"? ผู้รู้ช่วยด้วยครับ</p><p>นี่จึงเป็นบทพิสูจน์ที่ปราชญ์ชาวบ้านจะต้องรวมพลังในการที่จะตอบคำถามให้มีพลัง จากการที่ถูกวางยาโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นหนูนาในการทดลองยา สำหรับการคลำทางตามวิถีที่ควรจะเป็นอันจะนำไปสู่ความพอเพียง</p>
ขอบคุณครับ
อุทัย อันพิมพ์
</font><p>8 เมษายน 2550 </p>
อาจารย์ ครับ
ขอบคุณมากครับอาจารย์ศิริพงษ์
ก็คงเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะเติมพลังในการทำงานเพื่อเสริมความแกร่ง หรือดับก็ไม่รู้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามการทำงานเพื่อสังคม และชุมชน ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป
การรวมพลังในการเสริมสร้างศักยภาพในการทำงานเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่เราต้องรวมกันอย่างเหนียวแน่นเหมือนข้าวเหนียวครับ หรือยิ่งกว่านั้นให้เหมือนแป้งข้าวเหนียวโดนน้ำร้อนก็ยิ่งดีครับ เพราะการทำงานจะได้มีพลัง แต่หากรวมแค่การเป็นข้าวเจ้าสุก (ข้าวสวย)ก็เห็นทีจะแย่ครับ
ขอบคุณครับ
สู้ต่อไปนะครับ ขอเป็นกำลังใจ