สำนึกว่า ความอดทนของตัวเองน้อยลงไปหน่อยแล้วนะ สมาธิสั้นลง โกรธง่ายขึ้น โทษโน่นโทษนี่ หงุดหงิดง่ายขึ้น เวลามีสิ่งมากระทบ จิตก็ตกง่าย จิตใจของเรา ไม่เข้มแข็งเหมือนเคย วูบที่ได้คิดคือเราต้องเริ่มที่พัฒนาจิตของเราให้มากกว่านี้แล้วนะ...
จัดการความรู้ตนเอง เกี่ยวกับเรื่อง การพัฒนาจิต
-
เนื้อหาของงานเขียนนี้ กล่าวถึงว่า คนเรานั้นประกอบไปด้วยจิตซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วนคือจิตสำนึก ซึ่งเป็นจิตที่ตื่น อยู่ของคนเราและได้รับการปรุงแต่งแล้วตามกระบวนการที่ได้เรียนรู้มา เป็นส่วนที่รับรู้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเรา เป็นเรื่องของเหตุผล ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และอีกส่วนหนึ่งคือจิตใต้สำนึกเป็นจิตที่ไม่ปรุงแต่ง จะโดดเด่นในขณะที่หลับ ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ นอกจากนี้ยังมีความสามารถพิเศษคือ กำหนด ความฝัน ภาพนิมิตร การดลใจ แรงสังหรณ์ พลังผลักดันต่างๆ ในส่วนของจิตใต้สำนึกนั้น มันจะมีลักษณะพิเศษคือ สามารถคล้อยตามการชี้นำต่างๆ ที่กระทำหรือบอกต่อมัน เพราะว่ามันเป็นจิตที่ปราศจากการปรุงแต่ง มันจึงไม่สงสัยหรือคิดใคร่ครวญหาเหตุผลว่าสิ่งที่บอกมันนั้นดีหรือเลว เป็นไปได้ยากหรือง่าย มันจึงเชื่อลูกเดียว เราสามารถนำจิตส่วนนี้มาใช้ประโยชน์ได้คือ เราสามารถจะสั่งจิตใต้สำนึกให้ทำอะไรก็ได้ ซึ่ง เราต้องรู้อีกว่า ช่วงที่กำลังตื่นอยู่นั่นจิดสำนึกจะมีพลังอำนาจมากกว่าจิตใต้สำนึก แต่ในทางกลับกัน จิตใต้สำนึกจะส่งอิทธิพลและมีพลังอำนาจมากที่สุดก็ตอนก่อนนอนในช่วงที่กำลังจะหลับ เราจึงใช้ช่วงเวลา และโอกาสนี้ในการสั่ง หรือชี้นำให้จิตใต้สำนึกให้ทำตามคำสั่งได้อย่างวง่ายดาย ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างเรื่องการสะกดจิต เขากล่าวว่าผู้สะกดจิตก็ใช้วิธีการนี้เช่นกันในการชี้นำต่อจิตใต้สำนึกของผู้ถูกสะกดจิต จึงถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามอิทธิพลของผู้ชี้นำนั่นเอง
-
ผู้เขียนบอกว่าในขณะที่เราตื่นอยู่นั้น ให้ลองสังเกตุดูว่าจะมีความคิดที่ตรงกันข้ามเป็นคู่ๆนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นตลอดเวลา นั่นเพราะการทำงานของจิตทั้งสองนั่นเอง จิตฝ่ายไหนที่แข็งกว่าก็จะชนะไป ทำให้เรียนรู้ว่าเราจึงสามารถนำการทำงานของจิตทั้งสองนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เป็นอย่างดีทีเดียว โดยการสร้างนิสัยในการคิดแต่เรื่องที่ดีงามเท่านั้น...เช่นก่อนนอนจะหลับลองพูดในใจว่า เราจะกระทำแต่ความดี และสิ่งที่เป็นสิริมงคลเท่านั้น...เมื่อเราพูดบ่อยๆทุกวันมันก็จะซึมลึกลงสู่จิตใต้สำนึก...มันจึงยากที่เราจะไปทำเรื่องไม่ดีในยามตื่นได้ เพราะทันทีที่ความคิดไม่ดีแล่นเข้า จิตใต้สำนึกที่เราฝึกไว้แล้วจะมีความไวในการแสดงอำนาจของมันและเป็นอำนาจที่เหนือกว่าซึ่งจะชนะเสมอ จะเห็นได้ว่าจิตใต้สำนึกของคนเราจะยอมรับแต่สิ่งที่เด่นกว่า แข็งแกร่งกว่าและมีพลังมากกว่า ระหว่างความคิดสองชนิดที่ตรงข้ามกัน” ทำให้นู๋ทิมต้องการที่จะลองมาฝึกจิตใต้สำนึกกับการชี้นำให้มันคิดแต่สิ่งดีๆทำแต่สิ่งดีๆดีกว่า และนี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ นอกจากนี้สิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้มีดังนี้
• ได้ข้อคิดในการนำมาใช้กับการทำงาน ทางการแพทย์ยังได้ใช้ประโยชน์จากความรู้เรื่องธรรมชาติของจิตในเชิงชี้นำเช่น ตัวอย่างการใช้ “พลาซิโบ” หรือยาหลอกรักษาผู้ป่วยและบอกว่าเป็นยาที่ดีรักษาให้หายขาดได้ โดย ตัวผู้ทำการรักษาเป็นผู้ชี้นำให้จิตของคนไข้คล้อยตามก็จะเกิดความเชื่อและความศรัทธา จิตก็จะจำและนำไปใช้ ซึ่งพลาซิโบ เป็นภาษาลาตินที่แปลว่าการปลอบประโลม และที่สำคัญคือตัวผู้ทำการรักษาคือ พลาซิโบที่สำคัญทีเดียวที่ออกฤทธิ์แรงยิ่งกว่ายาชนิดใดๆเสียอีก ที่จะทำให้ผู้ป่วยเกิดความเชื่อความศรัทธาว่าสามารถรักษาให้หายได้ อย่าทำให้เกิดความลังเล แล้วความเชื่อ ความศรัทธาจะตามมา….
• มีแนวคิดเกี่ยวกับการมองสิ่งต่างๆรอบๆตัวในทางบวก.....ไม่ตั้งตัวเป็นอริกับโลกและสิ่งรอบๆตัวเรา ไม่โทษสิ่งนอกตัว หรือโลกภายนอก เปลี่ยนตัวเองไปสู่คนใหม่ที่ดีกว่าเดิม แล้วโลกจะดีขึ้นเอง โดยสอดคล้องกับคำสอนของพุทธศาสนาที่สอนว่า ให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว เป็นการประยุกต์ใช้จิตใต้สำนึกที่แท้จริง ดังนั้นถ้าเราเป็นอริต่อโลก รู้สึกขุ่นใจกับความไม่เข้าท่าของเรื่องราวบางอย่างในสังคม ให้หันหลังกับความคิดนี้เสีย อย่าต่อต้านสังคมจนเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายเลย
• รู้จักตั้งเป้าประสงค์ของการดำเนินชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่ง ความสุข สุขภาพที่ดี ความร่ำรวย ความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรม และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ซึ่งเราสามารถได้มาด้วยความชอบธรรมโดยไม่ไปเบียดเบียนใคร ถือเป็นจิตใจของคนที่ยิ่งใหญ่ เราสามารถเชื่อ เลือกได้ ปรับแต่ง ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ โดยการใช้อานุภาพอันมหาศาลของจิตในเชิงบวกซึ่งสามารถทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้โดยไม่มีใครได้รับความเดือดร้อนเลย
• ทำให้รู้ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น นั้นเป็นเรื่องไม่ยาก .....ในการใช้กฎแห่งจิตจะได้ผลดีเยี่ยมเมื่อเกิดความเชื่อย่างเต็มเปี่ยม เช่นเดียวกันถ้าเราตอกย้ำประโยคนี้บ่อยๆ มันก็จะมาอยู่ในใจเราเอง เช่นเดียวกันกับการที่จะนำไประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นๆ เราต้องสร้างสิ่งที่เราต้องการให้อยู่ในจิตสำนึกของเราเสียก่อน
• เรียนรู้ว่าเรานั้นมีความสามารถที่สร้างขึ้นมาได้ด้วยจิตของเราเอง..... จงระวังคำพูดเอาไว้ คำพูดมักสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะภายในจิตใจ เช่นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง มักจะออกตัวว่าไม่เก่ง ทำไม่ได้ ไม่กล้าฯลฯซึ่งเป็นคำพูดเชิงลบ คนที่เข้าใจกฎแห่งจิตจะไม่พูดคำพูดเชิงลบนี้พร่ำเพรื่อ ซึ่งคำพูดเหล่านี้จะโยงไปถึงจิตใต้สำนึกของเราด้วย คำว่า “สามารถ”เป็นคำที่มีค่ามากที่สุด ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้ประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาได้ ฉะนั้นเราควรระมัดระวังคำพูดของเราเสมอ
• ทำให้สำนึกว่ามีอีกหลากหลายที่เราจะต้องทำต่อไป.......ระหว่างเรื่องที่เราสามารถทำ ได้ และเรื่องที่ทำไปแล้ว กฎของจิตเป็นกฎของความเชื่อ คนที่เขาพูดว่าเขาสามารถทำได้ เขาก็จะสามารถทำได้ไปเรื่อยๆ และถ้าบอกว่าไม่สามารถทำได้ ก็จะทำไม่ได้ไปเรื่อยๆเช่นกัน เรื่องที่เราสามารถทำได้นั้นยังมีอีกมากมายมหาศาลส่วนเรื่องที่ทำไปแล้วนั้นมีเพียงน้อยนิดเท่านั้น สิ่งที่เรายังไม่ได้ทำให้รีบทำซะโดยการปรึกษากับจิตใจโดยด่วน วางแผนร่วมกับมันว่าจะทำอะไรบ้างกำหนดระยะเวลาไว้ด้วยจะได้รู้ว่าสำเร็จตามระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ เราสามารถศึกษาจิตใตตนเอง สำรวจจิตใตตนเองคุยกับมันสอนสิ่งดีๆให้กับมัน สิ่งดีๆก็จะเกิดกับตัวเราเอง
• เรียนรู้เพื่อไม่ให้กลัวการเปลี่ยนแปลง......ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่แน่นอนเพราะมันจะเกิดขึ้นแน่ๆ ต้องรู้จักฉลาดนำการเปลี่ยนแปลงไปใช้ในด้านบวก รู้จักสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในตัวเรา เหตุผลที่คนเราไม่อยากเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เพราะ
– กลัวโดยไม่มีเหตุผลกลัวว่าจะแย่ไปกว่าเดิม
– เพราะไม่รู้จักการใช้พลังจิตที่มีค่ามหาศาลให้เป็นประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ ก่อนนอนลองพูดว่า พร้อมเสมอสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นและวาดหวังว่าจะเกิดสิ่งดีๆขึ้นเสมอ
-
สิ่งที่ได้เกินความคาดหวังจากหนังสือเล่มนี้
-
หลังอ่านหนังสือเล่มนี้จบได้อะไรมากมายค่ะ คุ้มค่ากับการที่ต้องอดหลับอดนอนเพื่อที่จะอ่านหนังสือนี้ให้จบ และเหมือนมีพลังผลักดันให้เราเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มากขึ้น เริ่มและต้องการเรียนรู้และพัฒนาจิตของเราให้มากขึ้นค่ะ....เกินความคาดหวังจริงๆค่ะ...
-
สำนึกว่า ความอดทนของตัวเองน้อยลงไปหน่อยแล้วนะ สมาธิสั้นลง โกรธง่ายขึ้น โทษโน่นโทษนี่ หงุดหงิดง่ายขึ้น เวลามีสิ่งมากระทบ จิตก็ตกง่าย จิตใจของเรา ไม่เข้มแข็งเหมือนเคย วูบที่ได้คิดคือเราต้องเริ่มที่พัฒนาจิตของเราให้มากกว่านี้แล้วนะ...
-
บทส่งท้าย .....บทสรุปที่ได้เพื่อนำไปพัฒนาตน “ทุกอย่างต้องมี และถูกสร้างมาในจิตก่อน ก่อนที่จะทำให้ให้ปรากฎขึ้นจริงภายหลัง จิตเป็นขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ของเรา กฎแห่งจิตนั้นคือกฎแห่งความเชื่อ ซึ่งจะก่อขึ้นเป็นความศรัทธา คัดสรรสิ่งที่จะเชื่อ เรียนรู้ และฉลาดที่จะชี้นำจิตใต้สำนึกในสิ่งที่ดีๆ และเป็นสิริมงคล ปรับแต่ง ให้จิตได้คล้อยตาม จดจำและนำไปใช้ จึงจะทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่พัฒนาจิตแห่งตนแล้ว และความสุข สุขภาพที่ดี ความร่ำรวย ความสำเร็จ ทั้งหลายก็จะตามมา บอกจิตว่าไมต้องกลัวความเปลี่ยนแปลง ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น และยังมีอีกหลากหลายที่เราจะต้องทำต่อไป มองโลกในแง่ดีไม่โทษสิ่งต่างๆ ให้ดูที่ตัวเราและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่คนใหม่ที่ดีกว่าเดิม แล้วโลก สิ่งต่างๆรอบตัวเราก็จะดีขึ้นเอง”