"ฟังในสิ่งที่เขาไม่ได้พูด" เป็นประโยคที่ผมเคยได้ยินครั้งหนึ่งจากการฝึกอบรมของปรมาจารย์ท่านหนึ่ง และได้ยินเป็นครั้งที่สองตอนผมเรียนปริญญาโทจิตวิทยาอุตสาหกรรมครับ...
ฟังดูแล้วเหมือนจะง่ายแต่ยากนะครับ ในคำพูดแต่ละประโยคที่เราได้ยินนั้น มันมักจะสะท้อนนัยสำคัญบางอย่างไว้เสมอ ซึ่งหลาย ๆ คนก็มักจะไม่บอกมาตรง ๆ จากประโยคที่เขาพูด เป็นหน้าที่ของผู้ฟังครับที่จะต้องวิเคราะห์นัยนั้นให้ออก เพื่อที่จะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดได้ลึกซึ้ง...
ในคลาสนั้นอาจารย์บอกว่า "ฟังในสิ่งที่เขาไม่ได้พูด" เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่นักจิตวิทยาควรมี ผมฟังแล้วก็คิดตาม เห็นด้วยมากครับ ผมว่าคอนเซ็ปของการเรียนจิตวิทยาคือการเรียนรู้ที่จะเข้าใจตนเองและผู้อื่น...
ซึ่งถ้าเราไม่สามารถสะท้อนสิ่งที่เขาคิดผ่านทางคำพูดที่เขาพูดได้ เราก็จะไม่สามารถเข้าใจเขาได้เลย แล้วเราจะช่วยหาทางออกหรือช่วยผู้อื่นแก้ปัญหาได้อย่างไร...
ลองพยายามฟังในสิ่งที่เขาไม่ได้พูดดูสิครับ แล้วเราจะเข้าใจเขาได้มากขึ้นครับ...
น่าสนใจจริงๆ ครับ .......การฟังในสิ่งที่เขาไม่ได้พูด.....คงจะหมายถึงการได้ยินเสียงจากใจที่อยู่ข้างในนะครับ ถ้าเป็นชาวพุทธคงต้องบอกว่าต้องมีอิทธิบาท 4 นะครับ น่าจะทำให้เข้าใจบุคคลอื่นได้ดี
อนุโมทนาครับ
ถึง Mr.Direct
ผมว่าคงต้องใช้ทักษะการสังเกตเข้าช่วย ดูอากับกิริยาท่าทาง แววตา คงจะช่วยฟังในส่งที่เขาไม่ได้พูดได้ มั้งครับ
กัมปนาท
ขอบคุณครับ คุณพลเดช...
ใช่แล้วครับฟังให้ได้ยินสิ่งที่อยู่ในใจเขา ไม่ใช่แค่สิ่งที่เขาพูด...
การใช้หลักอิทธิบาท 4 ก็ทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น...
ขอบคุณมากครับ...
ครับ คุณแจ็ค ...
แน่นอนครับ การสังเกต แววตา สีหน้า ท่าทาง ช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้นครับ...
ขอบคุณมากครับ...
สิ่งที่เขาไม่ได้พูด
คือ อวัจนภาษา หรือเปล่าครับ
ผมเห็นด้วยนะครับ สิ่งที่พูดเป็นเพียงเสี้ยวของตัวตนที่ระบายออกมา แต่ข้างในลึกยังมีอีก เหมือน ภูเขาน้ำแข็ง
ผมเองเป็นคนที่ชอบสังเกตครับ ดังนั้น น้ำเสียง ท่าทางของบุคคลที่อยู่รอบข้าง ผมเก็บมาวิเคราะห์ และลองสรุปด้วยเหตุผลดูว่าเขาคิดอะไร และเขากำลังจะบอกอะไร
ทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ลดความขัดแย้งน้อยลงครับ
ทั้งหมดที่ คุณเอก บอกมาก็ใช่ครับ...
คุณเอกเป็นมืออาชีพเรื่องนี้อยู่แล้วนี่ครับ...
ขอบคุณมากครับ...
มืออาชีพ นี่ขนาดไหนครับ...
ผมเป็นมือใหม่หัดเรียนรู้ครับ ผม :)
เรื่องของการอ่านคนครับนะครับ เราต้องอ่านคนให้ออกครับ...
อย่าง คุณเอก เจอผู้คนมากหน้าหลายตาเป็นความจำเป็นครับที่ต้องรู้ให้เท่าทันทุกคนครับ...
ขอบคุณครับ...
ครับ
จำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อเข้าใจตัวเองก่อน และเข้าใจคนอื่น ด้วยมุมที่คนอื่นเป็น
หลายหลาก...มากสำหรับผู้คนที่พบครับ สิ่งที่เหมือนกัน(ส่วนใหญ่) คือ การต้องการให้คนอื่นยอมรับ หากตามทฤษฎีของมาสโลว์ก็ตามนั้นเลย
การเข้าใจผู้อื่น protect ตัวเองด้วยครับ เพราะสิ่งกระทบที่รับเข้ามีมากมายเสียจน เรารับมันไม่ไหว เพียงแค่ใจเราอคติ
ผมก็ฝึกฝนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
มีทั้งเอกดำ และเอกขาวในตนตัว
สวัสดีค่ะคุณ Direct
มาร่วม " ฟังในสิ่งที่เขาไม่ได้พูด " ด้วยคนค่ะ..ซึ่งต้องฟังดีๆ..พราะบางคนเค้า " กระซิบในใจ " ..อิ อิ
ครับ...คุณเบิร์ด ...
ถ้าเขากระซิบในใจ อย่างนี้คงต้องใช้ใจฟังแล้วหล่ะครับ...
ขอบคุณครับ...
ครับ...น้องมะปรางค์เปรี้ยว ...
การใช้ความรู้สึกสังเกตพฤติกรรมขณะที่เขาพูดก็ช่วยให้เราเห็นสิ่งที่เขาไม่ได้พูดครับ...
ขอบคุณมากครับสำหรับมุมมองเพิ่มเติม...
เอาใจเขามาใส่ใจเราด้วยน่าจะดีนะครับ
แต่เอาใจเราไปใส่ใจเค้า ทำไงดีน้า? อิอิ
ใช่ครับ...นักลงทุนเงินน้อย ...
เอาใจเขามาใส่ใจเราอาจจะทำง่ายหน่อย แต่เอาใจเราไปใส่ใจเขานี่ เขาต้องยอมเปิดใจก่อนครับ...
ขอบคุณมากครับ...
ครับ อ.อาลัม ...
เห็นด้วยกับอาจารย์ครับ ทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถสะท้อนสิ่งที่เขาคิด เขารู้สึก แต่ไม่ได้พูดได้ครับ...
ขอบคุณมากครับ...
สวัสดีครับ
ปัญหาอาจมาจากการที่คนเราพูดไม่ตรงกับใจครับ(เขาว่ามีมารยาทในการพูด) ตรงข้ามกับคำฝรั่งว่า “Say what you mean, and mean what you say”
เราก็เลยต้องมีวิชาเพิ่ม...วิชาคำนาณใจ ครับ เป็นวิชาของจอมยุทธ
ครับ...คุณเอกชน ...
เห็นด้วยครับและบางทีเพราะมารยาททางสังคมนี่แหละจึงทำให้คนเราเข้าใจอะไรไม่ตรงกันครับ...
"วิชาคำนวณใจ" เป็นวิชาที่ผมชอบครับ...
งั้นผมก็คงเป็นหนึ่งในเหล่าจอมยุทธเหมือนกัน...
ขอบคุณมากครับ...