The Sleeping Gypsy ภาคสอง: โลกแห่งความฝัน


แต่ในโลกของความฝัน สิ่งที่เราเห็นนั้น จะพร่ามัว ดูเลือนรางหรือมีนัยผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เหมือนเวลาที่ตื่นจากฝัน หรือบางครั้งความฝันของเราก็มักจะแปลกประหลาดเกินความเป็นจริงไปหมด



 
 

The Sleeping Gypsy

         ฟังดูชื่อค่อนข้างโรแมนติกหวานแหววดี ทำให้นึกถึงหนังการ์ตูนที่คุ้นๆหู คือ The Sleeping Beauty หรือเจ้าหญิงนิทรา อะไรทำนองนั้น

         แต่พอมาดูรูปจริงๆเข้า หลายคนกับบ่นพึมพัม เสียงคล้ายหมีกินผึ้งว่า ดูแล้วงง..งง ไม่ค่อยจะรู้เรื่องหรือเข้าใจดี จนสามารถบรรยายได้คล่องแคล่วเหมือนกับรูปก่อนๆ

         ครับ อันที่จริงเป็นเจตนาของผม ที่จะค่อยๆนำเสนอผลงานศิลปะที่มีลักษณะเนื้อหาและรูปแบบที่แตกต่างกัน เพื่อที่ผู้ชมจะได้เรียนรู้และเกิดความซึมซาบลิ้มรสงานศิลปะแต่ละยุคสมัยให้เกิดสุนทรียารมณ์ที่แตกต่างกัน

        งานศิลปะของ Andrew Wyeth ที่ผมเคยนำเสนอแต่แรกนั้น เป็นผลงานประเภทเหมือนจริง Realistic ที่อาศัยความเป็นจริงของธรรมชาตินำไปสู่แก่นของเนื้อหาภายในใจของจิตรกร เมื่อเราดูงานศิลปะประเภทนี้ จึงเข้าใจและเกิดการรู้เรื่องได้ง่าย เพราะคุ้นเคยกับความเป็นจริงด้วยตาเห็นมาก่อน

        เรียกได้ว่า มีประสบการณ์เดียวกันหรือเกิดประสบการณ์ร่วม

        ที่กล่าวว่า รู้เรื่องนั้น หมายถึงความคุ้นเคยของผู้ชม ที่เกิดขึ้นเวลาดูงานศิลปะต้องพยายามค้นหาเรื่อง” (subject matter) ให้เข้าใจให้ได้ว่า มันเป็นเรื่องอะไร เช่น เป็นคนใช่ไหม? กำลังทำอะไร? ทำไมจึงทำอย่างนั้น? เป็นต้น

         เหมือนเด็กอายุ 5 ขวบที่ชอบถามพ่อแม่ว่า นั่นตัวอาไรคับ?เวลาพบเห็นอะไรที่แปลกหูแปลกตา พอตอบไปแล้วอธิบายอย่างดีนึกว่าจะจบหมดคำถาม แต่ก็มักจะมีคำถามเพิ่มอยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อตอบว่า

          ตัวนั้นเรียกว่าแมวลูก ก็จะเจอคำถามใหม่ว่า

       
  แล้ว...ทำมายต้องชื่อแมวล่ะ?และทำมายตัวนั้นไม่เรียกว่าแมว?และ....และ...และ...

            จนบางทีคุณพ่อคุณแม่จนมุม ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ต้องทำเป็นดุไล่ให้ไปนอนซะอย่างนั้น

            ภาพบางภาพก็ดูเอาเรื่องได้ เพราะมีเรื่องให้ดูและศิลปินก็เน้นเรื่องราวของภาพ ที่เป็นเนื้อเรื่อง คือให้เรื่องราวนำไปสู่เนื้อหา(Content) แต่ภาพบางภาพบางประเภท อาจเน้นรูปแบบไม่เน้นเรื่องราวเท่าใดนัก เช่นงานศิลปะประเภทนามธรรม (Abstract Art) เป็นต้น

           ภาพบางประเภท ก็เน้นทั้งสองอย่าง ทั้งเรื่องราวและรูปแบบ

            อย่างภาพ  The Sleeping Gypsy นี้เป็นต้น ภาพนี้ออกแนวกึ่งๆสองโลก คือโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งความฝัน

            ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ได้แก่สิ่งที่เรารู้จักดี เห็นได้ชัดเจน ไม่มีข้อสงสัย เช่นรูปทรงของคน สัตว์หรือสิ่งของ เช่นยิปซีในภาพ สิงโต แมนดาลิน โถใส่น้ำ และภูมิทัศน์

            แต่ในโลกของความฝัน สิ่งที่เราเห็นนั้น อาจจะพร่ามัว ดูเลือนรางหรือมีนัยผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เหมือนเวลาที่ตื่นจากฝัน เรามักจะจำความฝันนั้นได้ไม่ชัดเจน เมื่อจะเล่าให้ใครฟังได้ไม่ละเอียดนัก หรือบางครั้งความฝันของเราก็มักจะแปลกประหลาดเกินความเป็นจริงไปหมด จนไม่สามารถบรรยายหรือเล่าออกมาให้ฟังได้ชัดเจน

            ความรู้สึกดังกล่าวนี้ จะปรากฏออกมาในงานศิลปะที่เรียกว่า ศิลปะเหนือจริง Surrealistic คำว่าเหนือจริงในที่นี้หมายถึง เหนือจากความเป็นจริงในธรรมชาติ อาจจะเป็นเรื่องราวหรือเป็นรูปทรงที่เห็นได้ในงานศิลปะชิ้นนั้นๆ

            ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายกลับมาดูภาพนี้ใหม่ ด้วยสายตาและมุมมองใหม่ที่เข้าใจโลกทั้งสองใบที่ซ้อนกันอยู่ภายในใจของเรา


 

         เอาล่ะ อาจารย์จะเริ่มบรรยายให้ฟังก่อน...เชิญล้อมวงเข้ามาและหลับตาฟัง
        
         ณ ราตรีหนึ่ง คืนวันเพ็ญที่มีจันทร์ทอแสงเย็นตากระจ่างฟ้า

         ยิบซีนางหนึ่ง ในอาภรณ์สีสดใสแบบสตรีชาวอารเบี้ยน  นางร่อนเร่พเนจรใช้ชีวิตเยี่ยงคนที่ไร้บ้าน เป็นอนาคาริก ถือคติความสุขใจที่เกิดจากการมีอิสรภาพ ปลอดจากสิ่งร้อยรัดทั้งปวง แสวงหาสุขทางใจรื่นรมย์จากการที่ได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่จากผู้คนและสถานที่ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง

         สิ่งที่นำมาแลกเปลี่ยนเป็นอาหารและเครื่องดื่มเพื่อประทังชีวิตของนาง คือศิลปะการเล่นดนตรี ขับร้องเพลงและร่ายรำ หรือการทำนายทายทักในเรื่องของโชคชะตาราศี ที่เป็นศิลปวิทยาการอันเลื่องชื่อในหมูชาวยิบซี

         บางครั้ง นางก็จับกลุ่มเดินทางเป็นคาราวานน้อยๆกับชนชาวยิบซีบางกลุ่ม และในบางครั้งนางก็พึงใจที่จะแยกตัวออกไปแสวงหากลุ่มใหม่ที่มีแนวทางและความคิดเห็นที่ตรงกัน โลกนี้ยังมีพื้นแผ่นดินที่กว้างใหญ่และท้องฟ้ายังมีอาณาเขตไพศาลยิ่งนัก เกินกว่าชีวิตหนึ่งจะรอนแรมไปได้

         คืนเพ็ญนี้ ท่ามกลางทะเลทรายอันไพศาล นางแยกตัวออกมาจากหมู่ประสงค์จะอยู่ตามลำพัง คะนึงถึงชีวิตและความสุขที่ผ่านมา และเตรียมตัวที่จะเดินทางต่อไป จะใกล้หรือไกลปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตที่จะลิขิต

         นางแค่ดื่มไวน์ที่บรรจุในภาชนะดินเผาที่ขอมาจากหมู่บ้านทางผ่าน เมื่อดื่มหมดแล้วก็ใช้เป็นที่บรรจุน้ำดื่มไว้ประทังความกระหายกลางทาง เมื่อเมื่อยล้าเต็มที่นางจึงทรุดกายลงนั่งที่เนินทรายแห่งหนึ่งแสดงความประสงค์จะพักแรม ณ ที่แห่งนี้ นางปูผ้าที่ติดตัวอยู่เสมอลงบนผืนทรายเพื่อเก็บความอบอุ่นแห่งวันวารไว้พึ่งพิงในคืนที่เยือกเย็นนี้

        ความเปลี่ยวอ้างว้างของทะเลทรายในยามค่ำคืนทำให้นางรู้สึกแปลกๆขึ้นมาในใจ แสงจันทร์ในคืนเพ็ญนั้นเล่า ช่างเปล่งแสงกระจ่างงามนวลตา ลบความดำอันมืดมิดของรัตติกาลให้กลายเป็นแสงสีน้ำเงินอันกว้างใหญ่ ดูประหนึ่งเป็นผ้าห่มสีน้ำเงินเข้มแผ่ความนุ่มนวลมาปกคลุมทั่วท้องทุ่งทะเลทราย เหมือนอ้อมอกอันอบอุ่นและนุ่มของมารดาที่โอบอุ้มเอาราตรีนี้ไว้ในอ้อมแขน

         นางทอดสายตาไปรอบๆดูแสงสีเหลืองทองอบอุ่นอันงามตาฉาบทาไปทั่วท้องทะเลทราย ทำให้สีน้ำตาลของเม็ดทรายอันไร้ค่ากลายเป็นทรายสีทอง เปล่งแสงสีสะท้อนวิบวับเท่าที่แสงนวลจันทร์จะส่องไปถึง ทิวเขาที่อยู่ลิบๆนั้นก็แลดูมลัง มเลืองขึ้นมาในความมืดและแสงสีของจันทร์ทำให้ความแข็งของภูผานั้นกลับดูนุ่มเหมือนถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีนวลของไข่มุก

         นางสัมผัสถึงความเย็นของสายลมแรงที่พัดมาต้องกายเป็นระยะๆ ที่ทำเสียงหวีดหวิวประหนึ่งเสียงขลุ่ยอันไพเราะ ทำให้นางอดใจไว้ไม่ได้ต้องเผลอใจร้องออกมาเป็นท่วงทำนองเบาๆในลำคอและโยกตัวตามทำนอง

        ใจนางเริ่มเคลิบเคลิ้มด้วยอารมณ์อ่อนไหว ด้วยอำนาจของมนต์เสน่ห์อันลึกลับของทะเลทราย ทำให้นางหยิบแมนโดลินคู่กายมาบรรเลงเพลงท่วงทำนองใหม่ที่สอดรับกับเสียงลมและแสงจันทร์

          พลัน ทั่วท้องทะเลทรายดูเหมือนมีชีวิต แสงมืดมิดของราตรีมลายไปทันใดเมื่อเสียงเส้นสายแห่งแมนโดลินเปล่งความดัง สายลมเริ่มพัดมาเป็นจังหวะ ความลึกลับแห่งท้องทุ่ง นางยิบซี ดวงดารา และจันทร์กระจ่างฟ้า มลายกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

  <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 45pt" class="MsoNormal">นานเท่านาน เวลาผ่านไปเพียงใดนางไม่รู้สึก นางรู้แต่ว่าไม่สามารถประคองหนังตาที่เริ่มหนักอึ้งไว้ได้อีกต่อไป นางวางแมนโดลินไว้ข้างกาย ทอดกายนอนลงบนผ้าที่ปูไว้ สอดมือข้างซ้ายงอพับไว้กับอกสร้างไออุ่นและฟังเสียงเต้นของหัวใจที่ยังบรรเลงเพลงอยู่ไม่คลาย มือข้างขวาของนางเลื่อนมากุมไม้นำทางตามสัญชาตญาณของนักรอนแรม ตาทั้งสองของนางปิดสนิทลง ปากอ้าออกมาเล็กน้อยช่วยระบายลมหายใจในทรวงอก อกของนางกระเพื่อมขึ้นและลง ทำให้จังหวะของลมหายใจของนางผสานกับความลึกลับแห่งราตรีเป็นจังหวะเดียวกันอย่างประหลาด

</p>

            แสงสว่างของจันทร์เพ็ญอ่อนแสงลง เมื่อราตรีดำเนินไป นางเข้าสู่ภวังค์แห่งนิทรารมย์และเกิดความฝันอันแปลกประหลาดที่ไม่เคยฝันมาก่อน

           ในฝันนั้น นางมองเห็นตนเองนอนหลับอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ แสงสีนวลทองของจันทร์เพ็ญสร้างประกายสีทองลงบนผิวกายสีดำนิลของนาง สร้างความแปลกตาให้เกิดรูปลักษณ์ใหม่แก่นาง...............................................................................
………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………

          
อืมมม...เอาอย่างนี้ดีกว่า เชิญนักเรียนศิลปะทั้งหลาย บรรยายแต่งเติมกันต่อ ดีไหมเอ่ย? จะได้ฝึกปรือวิทยายุทธ์ดูภาพไป ฝึกเขียนไป เพื่อเกิดสุนทรียารมณ์ในใจ

           ขนมยังมีอยู่...และไม้บรรทัดยังคงรอ...

           บอกข่าวดี อาจารย์ให้เด็กเอาไม้บรรทัดไปชุบกอฮอล์ทำความสะอาดแล้ว...เด็กวิ่งมาบอกว่ากอฮอล์หมดเลยเอาไปชุบ VSOP แทน :)

         
เอาก็เอา เนาะ

หมายเลขบันทึก: 87563เขียนเมื่อ 30 มีนาคม 2007 15:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (61)

โอย...กำลังอ่านเพลินๆอาจารย์เล่นหักมุมจบให้เขียนต่อดื้อๆเลย

ต้องขอเวลาหน่อยนะคะ

จันทร์กระจ่างฟ้า นภาประดับด้วยดาว โลกสวยราว เนรมิตรประมวลเมืองแมน..... เพลงชื่ออะไร จำไม่ได้แล้วครับอาจารย์ แต่คาดว่าอาจารย์คงทราบเพราะเป็นเพลงร่วมสมัยของอาจารย์แน่ๆ

  วันนี้ไม่ขอส่งการบ้านนะครับ เพราะเริ่มมีขนงอกยาวตามตัวครับ อิอิ อีกอย่างครับ เขียนไปก็สู้อาจารย์ไม่ได้หรอกครับ

 ขอบคุณครับ

หนูนา...

กลับมาเขียนต่อไวไวนะ ไม่งั้นอาจารย์ไม่เขียนเรื่องใหม่ด้วย

นักลงทุนเงินน้อย

กลับมาเข้าห้องเรียนซะดีดี...แม้มีข้อหาว่าอาจารย์แก่

แต่จะยกโทษให้ ไม่ตีดอกเพราะอยากอ่านกลอนสำนวนดีของเธอ

เห็นเริ่มแปลงกายเป็นสิงห์โตแล้วนี่...เอาหน่อยเหอะ เนาะ...เนาะ

โอ้โห...อย่างนี้ เขาถึงเรียกว่าปรมาจารย์ด้านศิลปะ อ่านช่างเล่าได้เป็นเรื่องเป็นราว เห็นภาพพจน์และจินตนาการ ... จากภาพๆ เดียว ทำให้เห็นเกือบจะทั้งชีวิตของยิปซีสาวเลยค่ะ....

สงสัยค่ะ...ว่าทราบเรื่องราวได้อย่างไร...หรือเป็นการจินตนาการส่วนบุคคล แล้วจะทำอย่างไร นักเรียน (พวกหนู) จึงจะทำได้อย่างนี้บ้าง....นักเรียนขี้สงสัยค่ะ....อิอิอิ

ส่วนต่อเดิมขอเป็นการบ้านนะค่ะ.....

เอ? หนู Paew จอมขยัน

อาจารย์พึ่งแว่บไปเยี่ยมที่บันทึกหนูมา กลับมาต๊กกะใจ เห็นหนูที่นี้แล้ว

เรื่องราวที่หนูอ่านน่ะ เกิดจากการชมภาพแล้วบวกประสบการณ์ของเราที่รู้จักสิ่งที่เห็นในภาพและบวกกับจินตนาการ

อาจารย์เป็นคนประเภทเคลิบเคลิ้มไปง่ายๆกับสิ่งที่เห็น คิดฝันเอา...แต่อาศัยพื้นฐานข้อมูลจริงนะครับต้องศึกษาชีวิตและผลงานเขามาพอสมควร

หนูต้องเก่งกว่าอาจารย์แน่ๆ ขยันออกอย่างนี้

อาจารย์ครับ

อ่านแล้วอินจริงๆ เป็นมุมมองใหม่ที่ไม่คิดมาก่อนครับเป็นความฝันของยิบซีนี่เอง

ขอตัวไปแต่งต่อก่อนครับ...เผื่อจะได้เก่งเหมือนอาจารย์ แห่ะ...แห่ะ รู้สึกเริ่มจะมีเหาที่หัวแล้ว

อ้าว?.......ฝันเหรอ?

อย่างนี้เมื่อไหร่จาดูภาพเป็น ฮิฮิ

เด็กแพทย์ก็มองเป็นเรื่องสิงโตมากินยิบซีแน่ๆเลย

แต่อ่านเรื่องที่อาจารย์บรรยายก็อินไปด้วย สำนวนหวือหวาโรแมนติกจัง

อยากเป็นยิบซีแฮะ...ไม่อยากเรียนหมอแล้ว

เข้ามาปูเสื่อนั่งรอฟังต่อครับ แบบว่าจิตนาการไม่ถึงจริงๆ ครับ ชอบมากๆ ครับ 
อยากฟังว่าเจ้าสิงห์โตมาทำอะไรน้อ หรือมาดมๆ พอได้กลินปลาหมึกย่างที่นางยิปซีอารเบียนขบเคี้ยวก่อนนอนแล้วรู้สึกตุๆ ยังไงชอบกล จึงค่อยๆ ย่องจากไป ?

สนใจVsopชุปไม้บันทัด..แฮะๆขอทดลองเรียนต่อนะคะ...ในฝันนางยิปซีมิได้คิดว่าตนนั้นหลับสนิทอยู่ในความฝันหากแต่เพียงจะเคลิ้มใกล้จะหลับมิหลับแหล่..แล้วนางยิปซีก็พลันต้องทำเป็นนอนแน่นิ่งตัวแข็งให้สนิทดั่งซากศพหรือคนตายด้วยนางเห็นและได้กลิ่นสาปสางของราชสีห์เจ้าป่าที่รอนแรมอยู่ท่ามกลางขุนเขาและท้องทะเลทรายเฉกเช่นกัน

..ยิ่งเมื่อยามราชสีห์เดินย่างก้าวเข้ามาใกล้..สายลมที่พัดมาถูกต้องตัวนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนจากไอแดดที่คลายคืนจากผืนดินหากแต่เย็นเฉียบและบาดลึกในผิวกายเพราะกลิ่นอายแห่งนักล่าผู้มาเยือนนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น.นางรู้สึกได้ถึงสายลมแรงด้านทิศเหนือที่ทำให้ขนของสิงโตลู่ชันขึ้นเกือบปกคลุมต้นคอด้านหน้าของมันเลยทีเดียว...นางรู้สึกลังเลใจและวูปหนึ่งนั้นก็มีความคิดโทษตนเองที่ประมาทแยกตนเองออกมาห่างจากกลุ่มที่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อนหน้านี้..แต่นางไม่สามารถทำอะไรได้แล้วในขณะนี้นอกเสียจากการทำเป็นแกล้งหลับแน่นิ่งเผื่อสิงโตจะได้ไม่รีบเร่งตะปบหรือขบกัดให้นางต้องได้รับความเจ็บปวด

..เดชะบุญอีกอย่างของนางที่ราชสีห์ตัวนี้มันคงเพิ่งกินอาหารจากที่อื่นมาแล้ว,ไม่ได้อดโซจนต้องรีบตะกรุมตะกรามขบกัดเหยื่อ(ก็คือตัวนาง)มันจึงใช้เวลาและสายตาพร้อมทั้งกลิ่นสัมผัสอันเฉียบคมสังเกตถึงสิ่งที่อยู่รอบกายที่ตั้งอยู่ของนางยิปซี สิงโตตัวนี้มาตามเสียงเรียกของแมนโลดินที่นางยิปซีได้บรรเลงและขับกล่อมเมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านพ้นมา....เมื่อนางยิปซีซึ่งถือว่าตนเองเป็นเหมือนดังนางเสือแห่งท้องทะเลทรายและราชสีห์แห่งท้องทะเลทรายตัวจริงได้มาอยู่ใกล้กัน...เจ้าราชสีห์นี่ไม่รู้จักว่าแมนโลดินที่ส่งเสียงขับกล่อมและเชื้อเชิญให้มันมาเยือนถึงที่พักของนางยิปซีนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไรมันจึงไม่สนใจหรือคาบออกมาศึกษาเครื่องดนตรีนั้น...หากแต่ราชสีห์กำลังให้ความสนใจในกลิ่นประหลาดสองอย่าง..

..นอกเหนือจากกลิ่นกายตัวของสาวยิปซีแล้วก็ยังมีอีกกลิ่นหนึ่งเป็นน้ำสีขุ่นๆอยู่ในคนโทข้างกายของนางยิปซี..เจ้าราชสีห์จึงพยายามค่อยเมียงมองและคิดหาตัดสินใจว่าจะทดลองชิมสิ่งใดก่อนดีระหว่างซากยิปซี(ซึ่งตอนนี้ถือว่าเป็นของตายสำหรับสิงโตไปเสียแล้ว)หรือสิ่งที่อยู่คนโทซึ่งมันไม่เคยรู้จักรสชาดของสิ่งนั้นมาก่อนเลย...สิงโตจะตัดสินใจอย่างไรก็ไม่มีใครรู้แม้กระทั่งตัวของนางยิปซีทั้งนี้เพราะนางรู้สึกกลัวและไม่กล้าเสี่ยงที่จะอดทนรอภัยจากราชสีห์ในฝันนั้นได้อีกต่อไปนางจึงผวาตื่นขึ้นและค้างคาความฝังใจไว้แต่เพียงเท่านี้....เอิ๊ก....

.. ดูภาพแล้วเล่าต่อจนจบได้นี่เป็นเพราะเหล้าองุ่นของนางยิปซีผสมผสานกับVsopชุบไม้บันทัดของอาจารย์แท้ๆเทียว..(เอ๊ะ หรือว่าไม้บันทึกเคลือบVsopดี.)

..ขอจบแบบเมาๆอย่างนี้ล่ะค่ะ

ตามมาอ่านแล้วค่ะ : )

ตอนนี้กำลังเขียน method chapter  ของวิทยานิพนธ์อยู่ ต้องเขียนถึงจุดยืน และ มุมมองของตัวเองเรื่อง realism เรื่อง objectivity เรื่องวิธีการได้มาซึ่งความรู้

ู้ยังเขียนไม่จบเลยค่ะ พอมาพักอ่าน blog อ. แล้วทำให้คิดอะไรได้เพิ่ม เป็นการ confirm ว่าคนเราไม่ได้ต้องการแค่ "objective truth" เท่านั้น ไม่ได้ต้องการรู้แค่ว่า ร่างกายเราทำงานยังไง เชื้อโรคทำงานอย่างไร ธรรมชาติมันทำงานยังไง 

ประโยชน์จากความรู้แบบอื่นๆมีมากมายเหลือเกิน (เช่น การถ่ายทอดประสบการณ์ การสื่อสารมุมมองและความรู้สึกของคนที่ต่างกัน จินตนาการผ่านศิลปะ)

ขอบคุณอ.มากๆค่ะ และจะรอการบ้านชิ้นต่อไปนะคะ 

หนู seangja แต่งมาเป็นคนแรก

        ออกสำนวนหมัดเมาไปหน่อยทั้งๆที่ยังไม่ได้คาบไม้บรรทัดของอาจารย์ ...จะให้คาบต่อก็กลัวเมามากไปกว่านี้ ฮะ ฮะ

       แต่งมาทั้งหมด 4 พารากราฟ เริ่มต้นด้วยนางฝันว่ายังไม่หลับ พลันได้กลิ่นสิงห์โต

       เดชะบุญที่สิงห์โตตัวนั้นมันกินอาหารอิ่มมาจากที่อื่นเสียก่อน(สันนิษฐานว่า...คงกินหนูเข้าไปแล้วอิ่มมากเพราะสังเกตดูจากรูปหนูคงมีsize พอประมาณให้สิงห์โตอิ่มได้สักสองอาทิตย์ ฮะ ฮะ)

       เฉลยว่าสิงหฺโตมาเพราะเสียงแมนโดลินและฉงนกับกลิ่นสองกลิ่น คือกลิ่นตัวของยิบซีกับกลิ่นไวน์(ลงท้ายสิงห์โตเมาจนได้)

      ขอชมว่า...พล็อตดี จินตนาการก็ดี สำนวนดีมากครับ

      การชมงานศิลปะ ต้องอาศัยจินตนาการและความคิดฝัน

      คนทำงานศิลปะคือนักเล่าเรื่อง สามารถบรรยายให้คนเชื่อตามไปได้

     ฝึกบ่อยๆจะยิ่งเมา... เอ้ย! ยิ่งเก่งครับ :)

     

สวัสดีหนูมัท

         อาจารย์ตามไปดูที่บันทึกหลายครั้ง ขยันเขียนมากและมีแง่คิดดีๆที่หลากหลาย

        เรื่อง objective และ subjective เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และทักษะชีวิตด้วย ซึ่งรวมโลกทั้งสองด้านไว้ด้วยกัน เช่น กายกับใจ เรากับเขา ความจริงกับความฝัน ผิดกับถูก

       แน่นอน ยังมีเรื่องของมิติของทิฏฐิ คือการเข้าใจตนเองและผู้อื่นรวมอยู่ด้วย

       ขอบคุณหนูมัทด้วย ขอให้ประสบความสำเร็จในการศึกษาและในชีวิตส่วนตัว

        

ตามมาอ่านครั้งแรกค่ะ เพื่อนแนะนำมาเพราะเห็นว่าชอบงานศิลปะ

อ่านบันทึกของอาจารย์แล้วไม่ผิดหวัง ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ด้วยคนค่ะ

ยังไม่อาจหาญแต่งต่อ ขอศึกษางานอาจารย์ให้หมดเสียก่อน

ชอบใจสำนวนอารมณ์ขันมาก อ่านแล้วได้แง่คิดดีๆและพลอยยิ้มไปกับมุขเด็ดๆของสมาชิกลูกศิษย์ด้วยค่ะ :)  "____"

ยามอาทิตย์ลับไปไกลไม่ส่องแสง  ดวงจันทร์แรมจึงสว่างนภาใส

มองเห็นดาวพราวระยับอยู่ไกลไกล  ลมสบายพัดโชยชื่นรื่นอุรา

ในนภาอันมืดมิดจิตสังหรณ์  ตัวอาวรณ์ถึงวันเก่าเล่าความหลัง

ใจดวงน้อยยังคอยเฝ้าไม่เว้นวัน  แต่หนหลังยังจำได้ไม่ลืมเลือน

ยามเหนื่อยนักเธอหนุนตกได้พักผ่อน  ยามแม้นอนยังงามนักรักอกอุ่น

ยามเธอยิ้มแย้มพราวพรายฉายการุณ  ยามเธอหนุนอกอ้ารับอารีย์

แม้ยามนี้ตัวไกลแต่ใกล้จิต  คนึงคิดถึงแต่เธออยู่หวั่นหวั่น

เกรงว่าเธอรอนแรมจากยิ่งนานวัน  หัวใจนั้นยังรักมั่นเช่นเดิมใย

   อาจารย์ครับ อันนี้เป็นจิตนาการความรู้สึกของคนรักของหญฺงสาวยิปซีที่อยู่ที่บ้าน กำลังคิดถึงแฟนที่เดินทางไปไกล รอให้เธอที่กำลังนอนกับสิงห์โตอยู่ข้างบนโน้น ว่าให้กลับมาทำกับข้าวได้แล้ว หิวๆๆๆ

   ขำขำนะ อาจารย์อย่าคิดมาก  ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ คุณภิชา

ยินดีต้อนรับ ตามกติกา หากอ่านบันทึกเกินสามครั้ง ต้องถือว่าร่วมวงแจมได้เลย...

เวลาและวารีไม่ยินดีจะคอยใคร

ความดีนั้นให้รีบทำ...

ดีใจจังครับ คุณ นักลงทุนเงินน้อย

    กลับมาพร้อมกลอนอันไพเราะ บรรยายถึงนางยิบซีระลึกถึงความหลัง (แสดงว่าแก่แล้ว) หวลระลึกถึงคนที่นางรัก ไพเราะไม่เบาครับ

     เป็นนิราศยิบซีหรือกำศรวลยิบซี

    ว่าแต่ คุณนักลงทุนเงินน้อย  อาศัยกลอนนี้ส่งไปถึงใครรึปล่าว?...

อัศวินควบม้าตะบึงมาบนผืนทราย

อาชาผงะหงายกับเรื่องราวที่แลเห็น

เจ้าป่ามาข้ามถิ่นหวังลองลิ้มคนเป็นๆ

ย่องดอดเข้าลอบเร้นนาสิกสูดอิสตรี

 

อัศวินก็ชูดาบแล้วแกว่งกราดหวังโรมรัน

ตะลึงพิศนางแย้มฟันราวจะยั่วพยัคฆี

หรือภาพเป็นเพียงฝันอัศจรรย์ในราตรี

ด้วยหวังปราบไพรีจึงถูกจิตเข้าครอบงำ

 

อัศวินก็ลดดาบแล้วก้มกราบลงพื้นพลัน

ธรรมชาติแสดงเดชให้รู้เภทและจดจำ

สิ่งเห็นไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นมิใช่มัน

หลอนจิตกับภาพนั้นก็คือหลอนด้วยตัวเอง

 

 

 

อิอิ.....

 

 

 

 

 

 

คุณไร้นามครับ

ต้องขอโทษที่ตอบช้า เพราะวุ่นอยู่กับการเตรียมงานรับพระราชทานปริญญาบัตรในปีนี้ ต้องเป็นประธานหลายงานเลยไม่มีเวลาเข้ามาดูบันทึกครับ

ฮะ ฮะ อ่านกลอนคุณแล้วสนุก เริ่มโดยมีอัศวิน(?)ขี่ม้าเข้ามาเห็นเหตุการณ์...สงสัยเอาหลายเรื่องมาปะติดกัน

แต่ผูกเรื่องผูกกลอนได้ดีมาก กลายเป็นจิตใต้สำนึกเพราะ...

สิ่งเห็น ไม่ใช่เป็น สิ่งที่เป็น มิใช่มัน

หลอนจิต กับภาพนั้น ก็คือหลอนด้วยตัวเอง

สำคัญ สำคัญ... เข้าใจคิดครับ

 

 

 

 คุณหมอมาโนชครับ

     ต้องขอโทษจริงๆที่ผมคิดว่าได้ตอบคุณหมอไปแล้วนา? สงสัยมีเหตุขัดข้องทางเทคนิคแน่ๆ... จึงหายไป

     อย่าเข้ามาปูเสื่อนั่งรอฟังต่อครับอย่างเดียวเลยครับ แบบว่าจิตนาการไม่ถึงจริงๆก็จะถึงได้นาครับ มีเคล็ดลับอยู่ 2 อย่าง คือ

1.ฟังบ่อยๆ 2.เขียนบ่อยๆครับ

     เอาแบบที่คุณหมอเขียนว่า เจ้าสิงห์โตมาทำอะไร...มาดมๆ พอได้กลิ่นปลาหมึกย่างที่นางยิปซีอารเบียนขบเคี้ยวก่อนนอนแล้ว...ค่อยๆ ย่องจากไป แนวนี้ก็ดีครับ หักมุมแบบ existanism ก็เข้าท่าดีนะครับ

           ยิบซีสาวรำพึงอยากนอนหนอ

           เอนกายรอถูกหนอขอสักตื่น

            นอนหนอ นอนหนอ ไปอีกคืน

            ไม่ต้องฝืน ขืนตาหลับ นับแกะไป(แกะตัวที่1 แกะตัวที่สอง...)

         จันทร์นวลผ่องส่องสว่างกลางหุบเหว

          เห็นองเอวคอดกิ่วกลางวิวเขา

          พยัคฆ์เจ้าป่ามาดอมดมกลิ่นสาวเจ้า

          เราจะกินขาหรือหัวมัวแต่งง

            เฮ๊ยเจ้าสิงห์อ้วนพีอย่ากินคน            

            อาหารเจ้าล้นเหลือเนื้อในป่า

            ตื่นเถิดบังอรนอนในพนา

            ราชสีห์จะงาบขาเจ้าอยู่แล้ว(ตื่นเร็วๆๆๆ)

"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

     หมดเวลาแล้วเจ้าคะ  ตื่นขึ้นมาพอดี โอฝันว่าแต่งกลอนไปสามวันสามคืนได้มาแค่เนี้ยเอง  ไม่รุ่งๆๆๆ  สิงโตขอไปนอนเอ๊ยไปกินก่อนนะคะ  ใครชอบกลอนจะให้แต๊ะเอียก็ยินดีรับค่ะ  โฮกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

                       

            

                           

ฮา ฮา ฮา ฮ้า......อ่านกลอนของคุณหมอ

หนูขำกลิ้งยิ่งกว่าดูลิงกะหมาเสียอีก

สนุกมากค่ะ น่าจะแต่งตั้งแต่ต้นเรื่องแบบอาจารย์เลยค่ะ อาจารย์จะให้เกรดเท่าไรค่ะ

สวัสดีครับหมอนิด

กลอนแจ๋วมาก ไม่น่าเชื่อว่าแต่งตั้งนานเนาะ

หมอทำให้อาจารย์แปลกใจว่า ตอนเรียนมา สายวิทย์หรือสายสิญญ์ เพราะแต่งกลอนเก่งเหลือเกิน(จะแก้)...โดยเฉพาะตอนจบวกมาเรื่องกินจนได้

จะกินขาหรือหัวมัวแต่งง

อาจารย์จึงสรุปให้ว่า...

หมอบรรจงลงมาเปิดตู้เย็นเอย

ฮิฮิ...ขำอีกตอนบรรยายว่า เห็น(นางยิบซี)องเอวคอดกิ่ว ทำให้ต้องกลับไปดูว่ากิ่วตรงไหน สงสัยเอามาตรฐานเอวหมอมาวัดแน่ๆ ฮะ ฮะ...

แซวแค่นี้พอก่อน...เดี๋ยวตอนไปพิษณุโลก กลัวหมอจับวัดพุงอาจารย์แก้แค้นบ้าง กัว กัว

หนูนา!

มัวแต่ขำกลิ้งเป็นลิงอยู่นั่นแหละ

ค้างการบ้านตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่จะส่ง!

คูณหมอได้เกรดดี... ขนาดเอวห้าสิบยังดูเป็นยี่สิบสองเลย ทายเอาเองว่าจะได้เกรดเท่าไร?

หนูแวะมา สารภาพ ว่าสิ้นคิด

จิตลิขิต ขีดเขียน เพียรไม่ไหว

อุตสาห์แต่ง ตั้งแต่แรก เริ่มก่อนใคร

เหตุไฉน กลอนเรามั่ว ซั่วเกินคน

 

พิศดูรูป นางยิบซี สิงห์ผยอง

ได้แต่มอง สนเท่ห์ เล่ห์เหตุผล

สิงห์โตนั้น พลันท่าทาง ครางชอบกล

เหมือนโดนมนต์ ดมนาง กลางจันทร์เพ็ญ

แห่ะ แห่ะ...สรุปจบลงเพียงเท่านี้ค่ะ อ้าปากเตรียมรอคาบไม้อย่างผู้รู้ชะตากรรมแล้วค่ะ

       เปิดตูเย็น ไม่เห็นขา(หมู)หาแต่เค๊ก

       อยากจะเสก เค๊กทั้งหลาย ให้หายวับ

        อย่าช้าต๋อย สอยมันมา หามีดสับ

         หมดไปสักสามสิบสี่งับพอดับหิว

    ระลึกได้ ไอ๊หยา ตามใจปาก

    ต้องกำหนด ความอยาก จากใจฉัน

    อร่อยหนอ หอมหนอ ก็ไม่ทัน

    โธ่เวรกรรม เอวฉัน มันไม่มี(อีกแล้ว)

         เอวเท่าไหร่ ไม่ได้วัด จัดว่าคอด(ถ้าเทียบกับเอว 60 นะคะ ฮะฮะฮ่า)

         กำลังใจ มีตลอด ปอดไม่แหก

         ยุคนี่สิเห็นผิดฮิตของแปลก

         เสื้อผ้ารัดอาจขาดแควกแตกต่างไป

 

       .....................................................................

   สิงโตคาบเค๊กชักมัน  อืม กลอนนี่ก็สนุกดีนะคะ เดี่ยวนี้ยังมีสอนเด็กๆให้แต่งกลอนกันอยู่หรือเปล่านะ

หนูนา มัวแต่ดมน้ำหอมจากนางยิบซีอยู่เหรอคะ ไม่ยอมเปิดบลอกสักที หมอจะหมดพุงเขียนบลอกแล้ว มาแตะมือเปลี่ยนตัวกันเร็ว หมอจะคาบไม้บรรทัดต่อจะได้ไม่ต้องกินเค๊ก 

    มาสายสิญญ์ด้วยเหรอคะ เอเรียนจบมาต้องเฉพาะทางหมอผอสระอีแหงๆ เอาสายสิญญ์มัดเอวจะช่วยให้เอวคอดกิ่วได้ไหมคะ ถ้าเกิดยุคนางวีนัส เอว50 นี่คงจัดว่างามแน่ๆเลยค่ะ

 

         

อาจารย์ พิชัยครับ

  • แหะ แหะ มาสายอีกตามเคย แถมมาถึงอาจารย์เฉลยไปข้อสอบไปแล้ว
  • อย่างนี้โดนทำโทษยังไงครับ
  • ผมขอสารภาพว่า ไม่ค่อยจะชอบภาพแนวนี้ครับ ดูแล้วไม่สมส่วน ดูแขนเขาสิ หายไปข้าง ไหล่่ตุงๆ เหมือนแอบแขนไว้ แถมนอนกำไม้เท้าไว้อีก กลัวหกล้มเวลาฝัน
  • แต่กัดฟันดูต่อ
  • แว๊บต่อมา.. ความฝัน
  • แว๊บต่อมา..นรสิงห์ หนังโทรทัศน์ที่เพิ่งจบไปครับ  

สวัสดีค่ะ ยังทำการบ้านไม่เสร็จเลยค่ะ แถมยังแอบหนีเที่ยวอีก วันนี้มาที่บ้านครูบาสุทธินันท์ พบปะกับชาวบล็อก ที่มาจากใต้ เหนือ กลางและอิสานค่ะ ประมา20 กว่าคนค่ะ งานนี้ถือว่าเป็น ชาวบล็อก สิงห์เหนือ เสือใต้ ปะทะเสือสิงห์ กลาง และอิสานค่ะ... ตอนแรก เสือสาวจากเมืองสองแคว ปอบหยิบสีชมพู (อ.ลูกหว้า และ อ.ราณี) ว่าจะมาด้วย แต่ติดงานพระราชทานปริญญาบัตร เลยผิดหวังกันไปค่ะ ไว้รอบหน้าเราจะบุกพิษณุโลกบ้างค่ะ....

ตอบหนูนาและหมอนิด พร้อมๆกันเพราะฝืดเรื่องกลอน จะได้ไม่ต้องแต่งให้ลำบากมาก

ออกข้อสอบ ตอบกลอน ของลูกศิษย์

เพราะหมอนิด คิดไป ไกลเกินฝัน

กินแต่เค็ก แอบปลื้ม ลืมหมอฟัน

กินทุกวัน จนพุงปลิ้น สิ้นความงาม

โถ!ปลอบใจ ตนเอง ว่ายังสวย

ก็เพราะรวย ตรงพุง เกินเสกสรรค์

เอวห้าสิบ ยิบซีว่า ไม่สำคัญ

สู้นอนฝัน มันระเบิด เปิดความจริง

ในฝันนั้น หนูเห็น สิงห์ผยอง

ด้อมด้อมมอง ชอบดู ยิบซีสาว

ดมตรงเอว เอ๊ะ!ทำไม กลิ่นคล้ายลาว

โถยังสาว คราวแม่ แย่ตรงพุง

สิงห์กลับใจ ไม่กิน คิดสงสาร

เห็นท้องมาน มันเปลว เสียวสยอง

กลิ่นก็แปลก แผกไป ไม่ชวนลอง

เหมือนคนท้อง ร้องว่า ข้าไม่กิน

เอ? ทำไมแต่งไปแต่งมา วนเวียนอยู่กับเรื่องกินกับเรื่องพุงของหมอนี่ละ สงสัยเป็นเพราะผีเค็กเข้าสิงแน่ๆ

คุณหมอเติมศักดิ์ ครับ

ยินดีด้วยกับการได้เป็นหนึ่งในจตุรพลังและ bloger หน้าใหม่ ดูหยาดยิ้มกว่าเพื่อนเลยครับ

มาสายดีกว่าไม่มาเลย...เคยเป็นสุภาษิตของใครก็จำไม่ได้แล้ว อยากทำโทษเหมือนกันแต่กลัวแฟนๆ(คลับ)ของหมอมาบ้อมผมเข้าให้

ไม่ชอบรูปแนวนี้ไม่เป็นไรครับ จะมีอีกหลายแนวมาให้ชมภายหลังครับ

 

หนูPaew

ดีใจที่เห็นหน้าแป๋วแหววยิ้มหวานโผล่มาอีก

แฮ่ม!การบ้านก็ยังไม่เสร็จ แถมยังแอบหนีเที่ยว อย่างงี้ต้องปรับเป็นขนมพื้นบ้านของครูบาสักสองกล่อง

อาจารย์จะไปพิษณุโลกเหมือนกัน ประมาณสิ้น 22-28 เมษ อาจเจอกันนะ

P

เดินทางจากบ้านครูบามาแล้วค่ะ แต่แวะที่มหาสารคาม หาน้องสาวเขาบอกจะไปส่งที่บ้านขอนแก่นค่ะ

ขนมที่ทำทานที่บ้านครูบาคือข้าวเหนียวมะม่วงค่ะ...ขอบอก อร่อยมากๆ ค่ะ

อาจารย์ขา...ของกินทุกอย่างที่บ้านครูบาไม่มีวางพื้นค่ะ วางบนโต๊ะหมดเลย เลยหาของฝากไม่ได้ค่ะ...อิอิอิ

หนู Paew

       อาจารย์ว่า นอกจากหมอนิดที่จบมาทางสายสิญญ์แล้ว คงต้องรวมหนู Paew อีกคนที่จบมาทางสายนี้ เพราะเข้าใจแตกฉานเรื่องการใช้ภาษาไทยจนเล่นคำได้ดี....ฮึ่ม! ระวังจะถูกย้อนรอยบ้าง

สรุปว่าฝัน...แต่ฝันอย่างไรอยากอ่านรายละเอียดครับ เพราะจินตนาการเองไปไม่ถึงแน่ๆ อยากให้อาจารย์หรือสมาชิกช่วยบรรยายให้เห็นภาพหน่อยครับ

มาตอบข้อสอบค่ะอาจารย์ ไม่รู้ว่าปิดรับหรือยัง  แต่จะขอตอบค่ะ

กลางทะเลทราย.......ค่ำคืนหนาวเหน็บ

ยิปซีหลับไหล.........สิงโตออกหากิน.

( เลียนแบบ  บทกวีของไฮกุ  ค่ะ)

ปล.อาจมีผู้คัดค้านว่า  กลางทะเลทรายจะไปหนาวอะไร  กลางคืนหนาวมากค่ะ

 เคยไปนอนกลางทะเลทรายที่อิยิปต์ เมื่อปีก่อน  หนาวมาก...ก...ก

 

คุณอนุชิต

  สรุปว่าฝันครับ และสรุปว่าอยากให้นักเรียนลองจินตนาการเขียนดูนะครับ...คุณครูกำลังเหลาไม้เรียวคอยหวดก้นเด็กดื้อและขี้เกียจอยู่...ฮึ่ม ฮึ่ม!

สวัสดีครับ คุณหมอสุริยา

   ยังไม่ปิดครับ ที่ตอบเข้ามาก็ยังน้อยอยู่...

   ยังรอ...ยังรอ คอยอยู่ทุกลมหายใจ

   ฮะฮ้า เขียนมาเป็นกวีไฮกุ

กลางทะเลทราย

ค่ำคืนหนาวเหน็บ

ยิปซีหลับไหล

สิงโตออกหากิน

 

    อืมมมม...ขอตัวนั่งซึมซาบก่อน จะแต่งแข่งไฮกุบ้าง มี key word เป็นตัวสีแดง

    กลางทะเลทราย

    คืนจันทรเพ็ญ เหน็บหนาว

    ดาวดารดาษ

    ยิบซีหลับไหลและความฝันประหลาด

    สิงห์โตฉกาจโดดเดี่ยวเช่นกัน.

   อืมมม! เข้าท่า (ชมตัวเองกะหมอ) ในโลกนี้มีกวีไฮกุที่ยิ่งใหญ่อยู่สองคนเท่านั้น เป็นใครก็น่าจะรู้นะ

        ดาวเกลื่อนฟ้า    จันทร์ช่วยส่องทาง

        ให้เห็นความหวาดกลัว   ในใจคน

 

เข้ามาไฮกุมั่งค่ะ  หลังจากอ่านกลอนของท่านอาจารย์แล้วลูกศิษย์ก็ขำกลิ้งไปหลายตลบ นี่ยังไม่หายขำหนอเลยค่ะ แล้วก็ไปเปิบทุเรียนต่ออีกรอบ  กำลังทำน้ำหนักค่ะ ท่านอาจารย์  

ฮะฮ้า...หมอนิด

เข้ามาแข่งไฮกุ

สงสัยว่า กลอนไฮกุอันเปรื่องปราญ์ของผมกับหมอสุริยา ฟังแล้วขำกลิ้งตรงไหน?

ออกจะ กินลึกจับใจ

แนวธรรมชาติออกอย่างนั้น

บางคนฟังแล้ว...บรรลุซาโตริ ฉับพลันเลยก็มี

เห็นนั่งทำตาซึมอยู่ที่ต้นมะขามสนามหลวงก็หลายคน

แต่กลอนไฮกุของหมอก็เข้าที

หมายถึงไม้ทีเขียนแบบนะ...คือตรงแน่วดี

อืมมม...

 ดาวเกลื่อนฟ้า    จันทร์ช่วยส่องทาง

ให้เห็นความหวาดกลัว   ในใจคน

...ลองแต่งต่อดูบ้าง

ดาวเกลื่อนฟ้า 

ความกลัวจับใจ

เปิดตู้เย็นทีไร

เจอแต่ความว่างเปล่า

    อาจารย์ขา หมอขอนอกเรื่องนิดนึงนะคะ  เวลาอาจารย์เกิดเวทนาทางกายมากๆตอนที่ไอเป้นชุดนั่นหนะค่ะ  อาจารย์กำหนดยังไงคะ

    เนื่องจากตอนนี้คุณน้าของหมอกำลังเกิดเวทนาแบบเดียวกับอาจารย์เลยค่ะ แต่น้ายังไม่เคยเข้าปฏิบัติเลยสักครั้ง 

เข้ามาอ่านคลายเครียดค่ะอาจารย์ ลูกศิษย์อาจารย์เก่งๆทั้งนั้นเลยนะคะ อ่านแล้วก็ขำๆ เพลินๆดีจังค่ะ

นู๋ไปจาริกบุญที่ลาวมาเมื่อ6-8เมย.ที่ผ่านมา เอาบุญมาฝากอาจารย์ด้วยค่ะ

หมอนิดครับ

 การกำหนดเวทนา โดยเฉพาะเรื่องของทุกข์เวทนานั้นมีวิธีกำหนดหลายอย่างครับ เช่น

  1. กำหนดอาการเวทนาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าที่เป็นปัจจุบันอารมณ์ คือ อาการไอ อาการแน่น เจ็บคอ เจ็บหน้าอก ซี่โครง หรือตัวสั่น กำหนดรู้ตามอาการนั้นๆ
  2. เมื่อใจรู้สึกเป็นทุกข์ เกิดหงุดหงิด มีโทสะเข้ามา ก็กำหนดที่จิต....หงุดหงิดหนอๆๆๆๆๆ รำคาญหนอไป จนกว่าอารมณ์นั้นจะคลายหายไป
  3. เมื่อจิตเกิดปรุงแต่ง คิดโน่นคิดนี่ เกี่ยวกับสุขภาพ ก็กำหนดที่ที่ความคิด(ธรรมารมณ์)    คิดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆ วุ่นวายหนอ (คิดมากเกินไปแล้วหนอ เดี๋ยวแก่หนอ) อย่างนี้เป็นต้น จิตที่คิดฟุ้งเพราะเวทนาก็จะหายไป
  4. หากจิตยังฟุ้งซ่านเป็นทุกข์อยู่เกี่ยวกับอาการของตนเอง ก็กำหนดจิตว่านี่แค่เป็นหนังตัวอย่างเท่านั้น ควรฝึกการเจริญสติในทุกข์เวทนาเพื่อเป็นวัดซีนเป็นภูมิคุ้นกันในอนาคต
  5. ดังนั้น การเจ็บป่วย จึงเป็นการฝึกสติได้เป็นอย่างดี หากเรารู้เท่าทัน และเป็นการฝึกที่มีคุณค่าแก่ชีวิตอย่างยิ่ง เพราะไม่ช้าวันใดวันหนึ่งเราต้องเจอกับทุกข์เวทนาในยามเจ็บป่วยใกล้ตาย ซึ่งทุกข์เวทนาจะรุนแรงกว่านี้มาก

แต่หากน้าของหมอยังไม่เคยเข้าปฏิบัติ ก็จะยากลำบากหน่อย เพราะไม่รู้วิธีกำหนดคืออะไร สงสัยต้องพามาเข้างวดนี้แล้วกระมัง

การกำหนดทุกข์เวทนาง่ายกว่า การกำหนดสุขเวทนา เพราะเราไม่รู้สึกและรู้เท่าทันในอารมณ์สุข...รู้เพยงอย่างเดียวว่า เอาอีกๆๆๆๆ

เหมือนตอนเปิดตู้เย็นนั่นแหละ ยังเผลอสติกำหนดว่าเปิดหนอๆๆๆ กินหนอๆๆๆๆอร่อยหนอๆๆๆๆๆอยู่ร่ำไปฮะ ฮะ

    สวัสดีครับ คุณพัชรา

    ใช่ครับ เก่งๆทั้งนั้นรวมทั้งคุณพัชราด้วยครับ

    อ่านแล้วคลายเครียดนะครับ

    ส่วนผมนั้น บางทีอ่านแล้วก็เครียดครับ เพราะลูกศิษย์บางคนคิดแนวพิสดาร ต้องหาวิธีการมาตอบโต้ครับ

    เครียด....จน.......กินข้าว

    ..เครียด.....จน.....กินก๋วยเตี๋ยว

    ...จน......อ้วนเหมือนหมู.... อยู่แล้วครับ ฮิ ฮิ

    อ้อ! ขอบพระคุณครับที่เอาบุญมาฝากและขอร่วมอนุโมทนาในกุศลที่ทำแล้วด้วยนะครับ

    อย่าลืมทำจิตให้ตั้งมั่นในกุศลทั้ง 3 กาล คือ

    1. เกิดจิตกุศลก่อนทำกุศล
    2. เกิดจิตกุศลขณะทำกุศล
    3. เกิดจิตกุศลภายหลังจากทำกุศลแล้ว

    ผมจึงอนุโมทนาในส่วนที่เป็นข้อ 3 ของอาจารย์ครับ

    ขอส่งการบ้าน ตอนที่สองครับอาจารย์

    หลังจากยิปซีสาวตื่นขึ้นมาแล้วรู้ตัวว่า โอ้ที่แท้...แค่ฝันไป เลยเกิดเรื่องต่อไปดังนี้ครับ.-

    รู้สึกตัวงัวเงียระเหี่ยจิต (เมาไวน์ด้วยละ)       เพราะเราคิดหาคู่อยู่ห่างหน

    ครั้นหลับแล้วฝันไปไม่รู้ตน                   ฝันชอบกล(ต้อง)ค้นตำรามาทายทัก

    อันนารีหลับฝันถึงเจ้าป่า                     คำท่านว่าจะได้คู่ผู้สูงศักดิ์

    เป็นชายแท้อาจ-องหล่อยิ่งนัก                 เป็นคู่รักคู่แท้แน่นิรันดร์

    นี่ตัวเราไร้คู่อยู่ตลอด                         ต้องนอนกอดขวดไวน์ได้แต่ฝัน

    จากนี้ไปต้องนอนนับอีกกี่วัน                จะรอฝันบรรเจิดเกิดเป็นจริง

    ในตำราของยิบซี (ผมว่าคล้ายใบทำนายเซียมซี) บอกว่าเป็นชายแท้ด้วยครับอาจารย์ สงสัยว่าพวกกระเทียมนี่สมัยโน้นก็คงมีใม่น้อยน้อยนะครับ

    สิงโตสงสัย

    ยิบซีหลับไหล

    พระจันทร์หัวเราะ

    ใจโปร่งโล่งเย็น

     

    ฟ้านิ่งงัน

    ทรายกระด้าง

    ลมร่าเริง

    จินตนาการบรรเจิด

     

     

    ....อิอิ......กลอนกาว่าอะหยังบ่าฮู้แล้วเจ้า อาจ๋าน...

     

     

    สวัสดี ทุกท่านครับ

         ต้องขออภัย หายไปนานถึง ๑ อาทิตย์ เพราะหลบไปปลีกวิเวกตอนสงกรานต์กับครอบครัว ปิดมือถือและงดการสื่อสารทุกชนิด

        ได้แต่  กิน...แล้ว....นอน....เข้าห้องน้ำ...แล้ว ....กินอีก...

        จนรู้ว่า"ตัวกินนอน" นั้นควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

        เอาบุญและพรมาฝากด้วยครับ ในวาระสงกรานต์วันปีใหม่ไทยเรานี้ ขอให้ท่านผู้อ่านบล็อก gotoknow  ทุกท่าน จงสมบูรณ์ด้วยพรชัยสี่ประการ และความสุขสวัสดิ์พิพัฒน์บูลย์พูนผล ด้วยความแจ่มใส(หัวเราะ)และสุขสดชื่น(อิ่มเอิบ)ตามควรแก่ธรรมที่พึงมีเทอญ

     

    สาธุ...ขอขอบพระคุณอาจารย์ สำหรับพรปีใหม่ไทยปีนี้ค่ะ

     

    ชาตรี อิสรชีววัฒน์
    ในฐานะนักดนตรีร่อนแร่ นางนี้คงท่องเที่ยวมาจนเหน็ดเหนื่อย แต่ก็แปลกที่ทำไมนางถึงเดินทางเพียงคนเดียว ที่สำคัญหลับลึก หรือไม่อย่างนั้นก็กำลังฝั้นเสียจนไม่ทราบว่าอันตรายกำลังรองอยุ่ข้างหน้า แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนกับว่าสิงโตตัวนี้ช่าง ไม่สนใจกับเหยื่อ อีกทั้งดูมันสงบเหลือเกิน หรือว่ามันกินอิ่ม มาแล้วก็ไม่ทราบ รูปภาพรูปนี้ เน้นลายทางเสียเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นหมอน เส้นผม หรือเสื้อผ้าจนดูเหมือนใช้ลายเส้นนั้นหลอกตา ถึงแม้ว่า จะเป็นลายทาง แต่ก็ทำให้เห็นถึงส่วนเน้น เว้า ปูด โป่งได้ เช่น ตรง ช่วงอกด้านซ้าย ที่อยู่ใกล้กีต้าร์ที่ดูเหมือนปูดโป่ง เสมือนกับเอามือซุกไปเก็บไว้ในอกเพื่อความอบอุ่น หรือส่วนเว้าของเอวและหัวเข่าที่โผล่ขึ้นมา แต่ที่ข้าพเจ้าชอบมากคือหมอน ทำให้ดูแล้วเหมือนหมอนยุบลงไปตามรอยศรีษะจริง ๆ เสื้อผ้าของนางยิปซีผู้นี้ ช่างดูโดดเด่นเมื่อตัดกับสีที่ให้กับสิงโต ที่ถูกให้แสงบนตัวแบบทึบ ๆ รวมถึงตัดกับทะเลทรายที่แห้งแล้ง เสียเหลือเกิน ส่วนที่ข้าพเจ้าชอบมากที่สุดในรูปคือ ท้องฟ้าและพระจันทร์ ท้องฟ้าดูสดใสมีดาวระยิบระยับ อยู่บนท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆ แต่ดวงจันทร์นี้สิดูเหมือนมีการระบายสีให้เห็นเหมือนกับว่า พระจันทร์ที่กำลังส่องแสงให้นั้น กำลังยิ้มอยู่อย่างน่ารัก พร้อมดวงตาโต ๆ ในดวงจันทร์ อย่างไรก็ตามรูปที่ Rousseau วาดนี้ ดูเน้นที่การให้สีมากว่า ความสมจริง ดูรูปร่างทุกสิ่งทุกอย่างในรูปมันแบนเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นคนโทน้ำ กีต้าร์ และภูเขา
    ในภาพที่เห็น จะปรากฎท้องฟ้าสีเทาหม่น ๆ ของค่ำคืน และพระจันทร์ซึ่งมองแล้วแสงที่ส่องไม่นวลตา เลื่อนลงมาด้านล่างรายล้อมด้วยแนวเขาเป็นส่วนประกอบ ใกล้เข้ามายังจุดเด่นของภาพจะเห็นสิงห์โต 1 ตัว ถัดจากนั้นก็มียิปซีนอนถือไม้เท้าหรือกระบองอยู่ข้าง ๆ มีเครื่องดนตรีและคนโทน้ำ 1 ใบ การให้สีของภาพจะออกแนวสีเย็น เพราะสังเกตุจากเสื้อผ้าของยิปซี ซึ่งปกติเป็นคนผิวดำ มักต้องใส่เสื้อผ้าสีสดใสหรือโดดเด่นกว่าสีผิว เพื่อให้ดูกลมกลืนกับความมืดจะให้สีเทาออกแนวอ่อนไม่เข้มจึงดูแล้วไม่โหดร้ายจนเกินไป ในภาพการมาของสิงห์โตก็ยังเกร็ง ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้เท่าที่ควร สังเกตจากระยะของความห่างยังมากอยู่ ถ้าเป็นในลักษณะของสัตว์ที่เห็นและเข้าใกล้แล้วจะมีท่าที่ต่างจากนี้ เพราะถ้าเป็นสังเกตุการณ์สัญชาตญาณจะหมอบดูท่าทีก่อนและเมื่อดูแล้วว่าเหยื่อไม่มีตื่นตกใจก็จะเร่งฝีเท้า กระโจนเข้าหาเยื่อ แต่เท่าที่เห็นในภาพนี้ เหมือนว่ามันกำลังเสาะหาหรือตามกลิ่นหรืออาจะได้กินอาหารมาแล้ว เพียงแต่แวะมาดูถึงคราวต่อไป ในส่วนของยิปซีที่นอนอยู่ อาจจะด้วยความอ่อนเพลีย และเหน็ดเหนื่อยจากการร่อนเร่พเนจรเหมือนวณิพกพเนจรบ้านเราที่เที่ยวเล่นดนตรีไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อนำเสนอความสามารถที่มีอยู่เลี้ยงปากท้อง อาจจะเป็นการสื่อให้เห็นถึงคนและสัตว์ที่ต้องอยู่ในสถานที่เดียวกัน และกำลังเสาะหาสิ่งเดียวกันเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง ท่ามกลางทะเลทรายอันกว้างไกล
    แน่งน้อย เหมาะประสิทธิ์
    ยามดึกของคืนวันหนึ่งที่เงียบสงัด มีสิงโตแก่ตัวผู้ตัวหนึ่งกำลังเดินอยู่ท่ามกลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีจุดหมายปลายทางอย่างสิ้นหวัง แหงนมองดูพระจันทร์ที่สาดแสงลงมาสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ มีดวงดาวเล็ก ๆ ส่องประกายระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บและลมแรง แต่ก็ไม่ทำให้สิงโตแก่ตัวนั้นรู้สึกสะทกสะท้านกับความเงียบและความหนาว สิงโตแก่มุ่งหน้าเดินไปอย่างช้า ๆ ครุ่นคิดอยู่ในใจรำพึงกับตัวเอง ทำไมหนอจึงต้องมาเดินอย่างโดดเดี่ยว เดียวดายอยู่ตัวเดียวในขณะนี้ มองไปข้างหน้าไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งที่เคลื่อนไหวเลย คิดแล้วใจก็สงบขึ้น ต่างกับตอนกลางวัน ที่อารมณ์ที่ร้อนรุ่ม แข่งกับความร้อนของแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงพื้นทะเลทราย จากนั้นก็ก้าวเดินต่อไป ระหว่างเดินนั้นในใจก็หวนถึงอดีตที่เคยเป็นหัวหน้าหรือจ่าฝูงที่มีแต่ความยิ่งใหญ่ มีความสามารถล่าเหยื่อมาเป็นอาหารเป็นประจำและคอยปกป้องภัยอันตรายให้กับลูก ๆ ได้รับความอบอุ่นตลอดมา จนกระทั่งเวลาผ่านไปนาน ๆ เข้า สิงโตหนุ่มกลับกลายเป็นสิงโตแก่ ๆ ตัวหนึ่ง ไม่สามารถจะทำเหมือนเคยได้ จึงถูกสิงโตหนุ่มตัวใหญ่วัยเจริญพันธุ์ มีพละกำลังมากกว่าแย่งเป็นจ่าฝูงแทน จนถูกขับไล่ออกจาฝูงอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย จากนั้น ก็ก้าวเดินต่อไปอย่างเชื่องช้า พลันสายตาก็มองเห็นวัตถุชนิดหนึ่งที่ไม่เคลื่อนไหว ไม่ไกลจากสายตา หยุดนิ่งสักครู่ จึงย่องเข้าไปใกล้ จ้องมองดู จึงรู้ว่าเป็นมนุย์ เป็นผู้ชายนิโกร ผิวสีดำ นอนห่มผ้าและมีเครื่องดนตรีอยู่ใกล้ ตัว นอนหลับสนิท ไม่เคลื่อนไหวตัว และมีลมหายใจอยู่ สิงโตแก่รำพึงกับตัวเองว่า ชายผู้นี้เป็นมนุษย์อันประเสริฐกว่าตนหลายร้อยเท่า ทำไม่ถึงไร้ที่อยู่ เร่ร่อน พเนจร ไม่มีญาตพี่น้อง โดดเดี่ยวเดียวดาย ในทะเลทราย เช่นนี้เป็นสัตว์ จะกังวลไปทำไม จึงปล่อยจิตว่างอย่างสงบมีสติเห็นข้อเท็จจริงในสัจธรรมแห่งชีวิต จากนั้นก็เดินจากไป ดังธรรมของท่านพุทธทาสภิขุ ที่ว่า "แสงกลางวัน นั้นทำให้ ไม่เห็นดาว เป็นความมือ สีขาว มันเบ่งจ้า แสงกลางคืน เห็นดาวพร่าง กระจ่างตา เพราะเห็นว่า "แสงบ้า" หลบหน้าไป แม้กระนั้น ก็ไม่แรง เท่าแสงธรรม ที่สีขาว ไม่ดำ เป็นแสงใส เป็นแสงแห่ง ความว่าง กระจ่างใจ จึงส่องให้ เห็นนิพาน อย่างคร้านมอง เมื่อจิตว่าง ก็กระจ่าง ธรรมจักษุ เห็นทะลุ เกินไกล ในธรรมผอง ทั้งเกินกว้าง เกินลึก เกินตรึงตรอง เชิญท่านลอง สืบแสวง แสงว่างดู
    สำหรับแง่คิดของข้าพเจ้าจากภาพนั้น ข้าพเจ้ามองภาพในลักษณะความแตกต่างระหว่าความแพ้ และชนะ มนุษย์เรามักคุ้นเคยกับการแพ้และชนะที่มีเหตุการณ์แวดล้อมภายนอกเป็นตัวกำหนด ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นทุกสิ่งมีสองด้านเสมอ ไม่ลบก็บวก ไม่เสียก็ได้ แพ้หรือชนะก็เช่นเดียวกัน องค์ประกอบของภาพคือสิงโต กับมนุษย์ซึ่งมีความเข้มแข็งและมีพลังแห่งชีวิตทัดเทียมกันในสภาวะแวดล้อมเดียวกัน คือกลางทะเลทรายอันเงียบสงัดหรือมืดมน มนุษย์รวบรวมสิ่งที่ตนคิดว่ามีค่า คือกีต้าร์ ไม้เท้า และคนโฑน้ำมาวางไว้ข้างตัว แล้วนอนรอความตายเพื่อหวังจะนำพาเอาสิ่งเหล่านั้นติดไปในภพหน้า เช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่างชาวอียิปต์โบราณหรือลูกหลานคนเชื้อสายจีน ที่พยายามฝังทรัพย์สมบัติไปพร้อมกับซากศพของบรรพบุรุษมนุษย์ท้อแท้ต่อการก้าวต่อไปและได้ตัดสินชีวิตของตนจากสภาพแวดล้อม โดยไม่ได้ออกเดินทางต่อสู้ แตกต่างและตรงกันข้ามกับสิงโต สิงโตยังสามารถจะยืนหยัดและพร้อมจะเดินต่อไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะมองดูมนุษย์ด้วยความสงสารและเห็นใจในฐานะผู้ร่วมชะตากรรม คิดพยายามหาหนทาง เพื่อช่วยเหลือผู้ร่วมชะตากรรม สิงโตไม่มีสิ่งมีค่าที่ต้องดูแลและต้องพยายามรักษาเพื่อจะเอาคิดตัวไปด้วยในยามไม่มีลมหายใจ สิงโตมีเพียงแต่วันนี้และวันพรุ่งนี้ ความแตกต่างของมนุษย์กับสิงโตก็คือ มนุษย์เสาะแสวงหาสิ่งที่มีค่าเพียงหวังว่าจะนำติดตัวไปใช้ในภาพหน้าได้ แต่สิงโตพยายามเสาะแสวงหาทุกสรรพสิ่งรวมทั้งสร้างกำลังใจเพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดในวันนี้และวันพรุ่งนี้ แล้วใครเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ? การเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มีผลกระทบจากภายนอกมากเท่ากับการแพ้หรือชนะที่ตัวของตนเองเป็นผู้กำหนด การเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะนั้น มนุษย์ทุกคนไม่อาจหลีกพ้นได้ แต่บุคคลนั้นเลือกที่จะเป็นผู้ชนะ ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยปัจจัยอื่นมากและสำคัญเท่ากับถูกกำหนดจากปัจจัยที่ความคิด วิธีคิดของตนเอง เพราะเพียงแต่มีวิธีคิดที่ถูกต้องเท่านั้นก็สามารถพลิกชีวิตให้เปลี่ยนสภาพจากผู้แพ้เป็นผู้ชนะได้ ผู้แพ้ ยอมแพ้เสียตั้งแต่ก่อนการต่อสู้ คาดการณ์แต่สิ่งที่เลวร้าย ขาดศรัทธาในตนเองและยังไม่ยอมเชื่อ เมื่อผู้อื่นให้กำลังใจเขาอีกด้วย ผู้ชนะ มองโลกด้วยสายตาแห่งความหวัง แม้จะผ่านความล้มเหลวเท่าใดมาก็ตาม ก็ยังกล้าพอที่จะหวัง และเข้าแข็งพอที่จะให้กำลังใจแก่ผู้อื่น
    จิราภรณ์ เจริญพิทยา
    ผู้หญิงผิวดำ (นิโกร) แต่งชุดกระโปรงยาว แขนสั้น สีสดใส นอนตะแคงหลับอยู่ในบรรกาศกลางคืน สังเกตดูจากพระจันทร์ เต็มดวง กลางทะเลทราย ข้างกายมีไม้เท้า ซึ่งหญิงสาวใช้มือจับไว้ มีไวโอลีน, คนโฑใส่น้ำ วางอยู่ข้าง ๆ ที่ผู้หญิงคนนี้นอนอยู่ มีสิงโตตัวใหญ่ ยืนทะมึงมองดูเหยื่อคือหญิงที่นอนหลับ อยู่ข้าง ๆ จะสังเกตเห็นขนที่คอของสิงโตตัวนี้ ตั้งลู่ลมอยู่ จึงพอจะประมาณได้ว่า บรรยากาศตอนนั้นน่าจะเป็นกลางคืนที่มีลมกำลังพัดอยู่เอื้อย ๆ จากการดูภาพและประมวลทั้งหมด น่าจะเป็นภาพผู้หญิงนิโกร ที่มีความสามารถในการเล่นดนตรี กำลังนอนหลับอยู่กลางทะเลทราย ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบเหงาและวังเวง แต่ก็เป็นบรรยากาศที่ โรแมนติกพอสมควร พระจันทร์เต็มดวงและสายลมพัดเอื้อย ๆ ชวนให้เพ้อฟันและจินตนาการต่าง ๆ ได้ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นวนิพก พาเนจร (ทำให้นึกถึงเพลง ๆ หนึ่งขึ้นมา) เล่นดนตรีเพื่อแลกกับเงิน ผู้หญิงคนนี้คงจะกำลังเดินทางกลับบ้าน ผ่านทะเลทรายอย่างโดดเดี่ยว สังเกตหญิงได้เตรียมน้ำมาสำหรับดื่มแก้กระหาย และเตรียมไม้เท้าติดตัวมาเพื่อเป็นประโยชน์ อาจจะเอาไว้เป็นอาวุธ หรือเป็นเครื่องทุ่นแรงเวลาเดินไปเป็นอย่างดี การที่เหนื่อยมาทั้งวัน ทำให้เพลีย อาจจะล้มตัวลงนอนเล่นจนกระทั้งเพลอหลับไป โดยหารู้ไม่ว่ามีสัตว์ที่ดุร้ายคือสิงโตตัวใหญ่ กำลังเดินผ่านมา เพื่อเจอเหยื่อก็จ้องที่จะทำร้าย แต่สัญชาติญาณของสัตว์จะไม่ทำร้ายคนที่นอนนิ่ง ๆ คล้ายคนตาย จึงเป็นโชคดีของหญิงสายที่กำลังนอนหลับของเธอนั้น ทำให้รอดพ้นจากพยันตราย ที่จะมาถึงตัวได้อย่างหวุดหวิด ถ้าเธอไม่หลับ ชีวิตของเธอก็จะสิ้นสุดในคืนนั้นได้ ทำให้ข้อคิดอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นว่าคนเราถ้าไม่ถึงที่ตาย ก็จะทำให้รอดพ้นได้ดังปฏิหาร เฉกเช่นหญิงสายคนนี้ เธอกำลังชอบหลับอย่างมีความสุขท่วมท้นแต่หารู้ไม่ว่าถ้าเธอตื่นขึ้นมา เจอสภาพแบบนี้ (มีสิงโตตัวใหญ่ยื่นจ้องดูอยู่) เธอจะทำอย่างไร? เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยันตรายมาถึงตัวแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้าเป็นคุณล่ะ จะคิดอย่างไร จะทำอย่างไร นึกแล้ว .... เสียวมาก) หลับไม่ตื่นมาเห็นซะก็จะดีกว่าใช่ไหม ??????
    สุนทร คุโณปการพันธ์
    อณิพกยิปซี นายหนึ่งเดินทางเร่ร่อนมาจากแดนไกล ไร้จุดหมาย มีไม้เท้า กีต้าร์ คนโฑน้ำ ดูเหมือนเป็นเครื่องมือหากิน เพื่อประทังชีวิต พลบค้ำแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ก็ล้มตัวลงนอนเพื่อพักผ่อน บนพื้นดินท่ามกลางของแสงดวงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เขาคงจะหลับไปแล้ว โดยไม่รู้สึกว่ามีราชสีห์ตัวใหญ่เดินทางมาใกล้ ๆ ตัวเอง ราชสีห์ตัวใหญ่นั้นมันเห็นวนิพกยิปซีนอนนิ่ง ๆ มันคงคิดว่านี้คืออะไร ใช้เหยื่อของมันหรือเปล่า ยิปซีนี้คงจะใช้คดีที่ราชสีห์ ไม่ได้ทำร้ายเอา แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเขาตื่นขึ้นมาแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

    สวัสดีครับคุณโมทย์ ศิษย์รักนักกลอนชาวพิษณุโลก

    แต่งต่อเป็นกลอน แจ๋วจริงๆ แต่แต่งให้ยิบซีฝันว่า...นางไร้คู่จึงฝังใจประหวัดถึง กลายเป็นสิงห์เจ้าป่านั้นหมายถึงชายแท้ใช่ชายเทียม...อืมมมม

     ถือว่ามีจินตนาการสูง

    สวัสดีครับคุณจันทร์รัตน์

    หายไปนานพอควรนะครับ แต่ทำการบ้านเป็นกลอนเปล่า...เอ?...รึว่าเป็น...กลอนเป่า...รึว่าเป็นไฮกุ...

    แต่สนุกดีครับ...เอาอีกนะครับ

    สาธุสวัสดีปีใหม่เมืองครับ...หนูเอ๋

    พอรู้ว่า อาจารย์บอกว่า สนุก เอาอีก เลยเกิดความอยากโม้...อิอิ

    เอาอีกจินตนาการ(แบบดิบๆ)

     

    สิงโตตาโพลนกลิ่นเลือด

    ยิบซีตาตื่นกลิ่นสาบสาง

    คนดูตาโตไม่ได้กลิ่น

    คนเขียนตาตั้งกลิ่นไม้บรรทัด(อันนั้น)

     

    ฟ้าจะมืดก็ไม่ได้ พระจันทร์ไม่อนุญาต

    ทรายจะฟุ้งก็ไม่ได้ ลมไม่ยอมช่วย

    อากาศจะร้อนหรือเป็นก็ไม่ได้ คนดูไม่อยู่ด้วยในภาพ

    ไม้บรรทัดจะอยู่ในปากก็ไม่ได้ อาจารย์ยื่นมือผ่านเนตมาไม่ถึง

     

    แต่ใจไปรับรู้ทุกเรื่องได้ เพราะเจ้าตัวยินยอม

     

    แฮ่ๆๆๆ

     

     

    ฮ่า ฮ่า สนุกกว่าเล่นสาดน้ำสงกรานต์เสียอีก

    กลอนดิบของคุณจันทร์รัตน์ ผมเอามาหมักเสียหน่อยก็สุกแล้ว เพราะอากาศมันร้อนด้วยน่ะ

    อ่านจบจะอนุญาตหรือไม่? ก็ตาม

    อาจารย์ทำมือยาวไปตั้งท่าอยู่หน้าบ้านเตรียมไม้บรรทัดรออยู่แล้ว

    ฮึ่ม!ฮึ่ม!

    แฮะๆ อาจารย์คะ กำลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนค่ะ

    ยิ่งไปอ่านภาคจบของอาจารย์...โอ้โฮ....สุดยอดของเคล็ดวิชาเลยค่ะ....

    จินตนาการฝัน ผลักดันสู่บรรทัดใหม่

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท