ความสุขแบบเดิม ๆ ในทุ่งนาที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว


ผมไม่เคยรู้สึกเป็นทุกข์กับสภาพที่มอมแมม ของลูกชายทั้งสองเลยแม้แต่น้อย

มีหลายสิ่งกระตุ้นเตือนให้ผมไม่ลังเลที่จะเดินทางกลับบ้านในวันเสาร์ที่ผ่านมา  (24 มีนาคม)  ทั้งสัญญาลูกผู้ชายที่มีต่อเจ้าตัวเล็กทั้งสองซึ่งรอฉลองวันเกิดให้กับผม    ยิ่งกลางดึกของคืนวันศุกร์  ลูกชายคนโตส่งเสียงใสแจ๋วผ่านคลื่นโทรศัพท์มาอวยพรวันเกิดให้กับผม  ,  ผมยิ่งรู้สึกอยากกลับบ้าน ...  กลับไปหาพวกเขา - กลับไปหาใครหลาย ๆ คนที่นั่น และกลับไปหาวันเก่า ๆ  ที่ยังคงมีกลิ่นอายความเป็นปัจจุบันอย่างไม่รู้จบ  ซึ่งดูเหมือนพร่ำเรียกให้ผมกลับไปเยือนอยู่ตลอดเวลา

   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมไปถึงบ้านที่กาฬสินธุ์เวลาบ่าย 3  โมงเศษ ..  บ้านดูเงียบงันไม่น้อย  คุณแม่ในวัยแก่เฒ่านั่งเคี้ยวหมากอยู่หน้าบ้าน  คุณพ่อไปทอดถวาย ต้นเงิน  ในหมู่บ้านใกล้เคียง   ส่วนเจ้าตัวเล็กทั้งสองคนเป็น หนุ่มชุมชน  ตระเวนเที่ยวอยู่ตามครัวเรือนต่าง ๆ  </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ชั่วเวลาเพียงไม่ถึง 20  นาที  หลานสาวคนเก่งก็นำเจ้าแดนไทมาซบอกอุ่นของผม …  </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>เป็นไปดังที่คาดคิดไว้  สภาพของแกกลมกลืนเป็นเด็กชาวบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ   หน้าตามอมแมม  เลอะดำ  เสื้อกางเกงเต็มไปด้วยคราบไคลนานาชนิด  รวมถึง จุก  บนศีรษะก็ดูหม่นมัวด้วยฝุ่นอันเหนียวเหนอะ  จากนั้นเจ้าแผ่นดิน ลูกชายคนโตก็เดินข้ามถนนมาสมทบในสภาพที่ไม่ต่างกัน !    </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมไม่เคยรู้สึกเป็นทุกข์กับสภาพที่มอมแมม  ของลูกชายทั้งสองเลยแม้แต่น้อย (คนเมืองมักเรียกสภาพเช่นนี้ว่า สกปรก)  ไม่ใช่เพราะเกรงใจพ่อกับแม่ที่ไม่มีเวลาพอที่จะดูแลความสะอาดสะอ้านให้ได้   แต่เพราะผมเห็นว่านี่คือโอกาสอันดีที่เขาทั้งสองจะได้เที่ยวเล่นตาม จินตนาการของเด็ก อย่างเต็มที่และได้สัมผัสจริงกับดิน หิน ทราย  แมกไม้และต้นหญ้า  หลังจากที่ตลอด  4 เดือนที่ผ่านมาส่วนใหญ่ได้แต่วิ่งเล่นอยู่บนพื้นผิวคอนกรีต</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>ผมพาเจ้าแดนไทไปอาบน้ำอย่างเฮฮา… เขาเล่าให้ผมฟังหลายเรื่อง  เป็นต้นว่า  ช่วยเลี้ยงน้อง  ไปวัด  ส่วนน้องดินก็ไม่น้อยหน้าเบียดแทรกเรื่องเล่าหลากเรื่องให้ผมฟังอย่างคึกครื้น    </p><p></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ภายหลังจากที่น้องแดนหลับกลางวันอย่างว่าง่าย  ผมและน้องดินก็ออกมานั่ง โอนซา (ชิงช้า)  อย่างมีความสุข  เขาให้ผมไกวชิงช้าแรง ๆ  เพราะเขาบอกว่าอยากบินได้เหมือนนก  การได้นั่งชิงช้าที่โยนตัวขึ้นสูง ๆ  ใต้ร่มไม้เช่นนี้ช่วยให้เขารู้สึกได้ว่า กำลังบินได้เหมือนนก จริง ๆ  </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p></p><p>ชาวบ้านหลายคนสัญจรผ่านไปมาร้องทักผมอย่างอบอุ่น  มันช่วยย้ำให้ผมรู้สึกเสมอว่า ผมเป็นคนของที่นี่..!”  รวมถึงการร้องทักน้องดินในแบบแซว ๆ ว่า  มีอีพ่อแล้วน้อบักหล่าเอ้ย   </p><p>  </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เพราะผมเป็นคนของที่นี่ ….  ผมจึงเล่าให้ลูกฟังมานานแล้วว่า  ตนเองเติบโตมาจากท้องไร่ท้องนา  มีคุณปู่คุณย่าและพี่ป้าน้าอาเป็นชาวนาปลูกข้าวกันทั้งสิ้น  เรามีทุ่งนา  เรามีวัว  เรามีหนองน้ำ  เรามีไร่มันสำปะหลัง  เรามีเถียงนา  และสมัยเด็ก ๆ  พ่อเป็นเด็กเลี้ยงวัวมาก่อน รวมถึง เรามีที่นาของเราเอง  จำนวน 6  ไร่  นี่คือเรื่องเล่าที่ผมมักบอกกล่าวต่อลูกทั้งสองเสมอมา</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">และทุกครั้งที่น้องดินกลับบ้านที่กาฬสินธุ์ก็มักรบเร้าให้คุณปู่พาไปดูที่นาจำนวน 6  ไร่นั้นเสมอ  พร้อมทั้งกลับมาเล่าให้ผมฟังว่าที่นา ของเรา  เป็นยังไงบ้าง  เช่น  มีต้นมะพร้าว  แต่ไม่มีเถียงนา</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">น้องดินดูจะมีความสนอกสนใจเรื่องท้องไร่ท้องนามาตั้งแต่เล็ก ๆ  ผิดกับน้องแดนไทที่ไม่ใคร่สนใจในเรื่องเหล่านี้นัก  ก่อนหน้านี้ในวัยที่ยังไม่ถึง 5  ขวบ  น้องดินมักเที่ยวเล่นในทุ่งนา  ได้เป็นวัน ๆ  ร่างกายและแขนขาจึงมักเต็มไปด้วยผื่นแผลและรอยข่วน</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">วันนี้  -   เย็นย่ำที่พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนตัวอ้อยอิ่งลับฟ้า  น้องดินชวนผมขับรถมอเตอร์ไซด์ลงไปทุ่งนาเพื่อไปดูที่นา ของเรา  พร้อมทั้งไปเอา วัวเข้าคอก  เพราะพี่ชายของผมทำธุระยังไม่เสร็จ  เลยต้องฝากงานเก่าแต่แปลกใหม่และไม่คุ้นนักให้ผมและลูกชายจัดการแทน</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>  <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมห่างเหินจากการงานเช่นนี้ไปนานร่วมสิบกว่าปี  พยายามหลับตานึกว่าต้องทำยังไงบ้าง  แต่เจ้าดินกลับพูดกับผมว่า  บ่เป็นหยังดอก  ดินมีแส้ไว้ตีวัวแล้ว  ..  ทำเอาผมหัวเราะและยิ้มอย่างสุขใจ</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เราสองพ่อลูกไม่รีบร้อนที่จะต้อนวัวเข้าคอก   แต่ปล่อยให้วัวจำนวน 6  ตัวแทะเล็มหญ้าต่อไปเรื่อย ๆ  ผมชี้ให้ลูกชายคนโตได้ดูอาณาเขตของที่นาทั้งหมดของปู่และย่า ..ชี้ให้ดูสระน้ำที่ถูกไถกลบ  ชี้ให้ดูต้นตาลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของเถียงนา  ชี้ให้ดูพื้นที่ ๆ ที่เคยเป็นแปลงผักสวนครัวที่ผมเคยรดน้ำและเก็บกลับไปบ้าน  ชี้ให้ดูต้นมะพร้าวที่ผมและพ่อช่วยกันปลูกเมื่อนานมาแล้ว…  </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมยังคงชี้ไปเรื่อย …  ชี้ให้ดูทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสภาพของวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง   ผมชี้ให้เขาดูเพราะรู้ว่าเขามีความสนอกสนใจที่จะรับรู้และซึมซับเรื่องเหล่านี้ไม่น้อยไปกว่าเรื่อง ทอมกับเจอร์รี่   การ์ตูนดังใน UBC  </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>    <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ลมทุ่งในยามเย็นยังคงไม่สิ้นเสน่ห์ไปจากอดีต   ผมและลูกแหงนมองฝูงนกเพียงไม่กี่ตัวที่บินตัดผ่านทุ่งนากลับไปยังรวงรัง  มองดูวัวแต่ละตัวทยอยเดินเข้าคอกโดยไม่ต้องไล่ต้อน  </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมเอาศีรษะตัวเองชนเล่นกับวัวน้อยตัวหนึ่ง  น้องดินส่งเสียงเชียร์อยู่ห่าง ๆ  แม่วัวตัวใหญ่ก็เพ่งมองสะบัดหูอยู่ใกล้ ๆ  ... มันเป็นเรื่องแปลกไม่น้อยที่วัวเหล่านี้คุ้นเคยกับผม ทั้งที่ผมเองก็ไม่เคยย่างกรายมาเลี้ยงพวกมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เบ้ ๆ …อ๊ะ ๆ   ผมส่งเสียงเรียกวัวให้ลูกได้ชมเป็นขวัญตา…ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเกินคาด  วัวน้อยวัวใหญ่เดินเชื่องเข้ามาหาผม  ส่วนน้องดินยืนยิ้มแป้นทึ่งความสามารถของคุณพ่อ  แต่ไม่วายถอยห่างออกไปและชี้นิ้วสั่งโน่นสั่งนี้ให้ผมจัดการต้อนวัวเข้าคอกให้เสร็จโดยเร็ว</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>   </p><p>ภายหลังการ  ปิดคอกวัว  เสร็จแล้ว  ลูกชายถามผมว่า  เฮ็ดจังได๋  วัวจังสิบ่ซน ฮึพ่อ (ชน)  เอามือให้มันเลีย  หรือบ่สั่น  กะเอามือจับนมมันให้ได้  แต่กะต้องระวังมันสิเตะ  ผมบอกกับเขาเช่นนั้น  </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>    </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมไม่รู้ว่าน้องดินจะเข้าใจในวิธีการเหล่านั้นแค่ไหน   แต่ผมก็รู้ว่าแกเชื่อและภูมิใจว่าพ่อของแกเคยเป็น  เด็กเลี้ยงวัวมาก่อน  และการที่แกชอบเลียนเสียงวัวมาตั้งแต่เด็ก ๆ  ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ถ่ายโยงจากตัวผมไปยังลูกก็เป็นได้</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>   </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">นั่นก็คือห้วงเวลาสั้น ๆ  ที่ผมมี ความสุขแบบเดิม  ในท้องทุ่งนาที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> 

หมายเลขบันทึก: 86417เขียนเมื่อ 25 มีนาคม 2007 20:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม 2012 17:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)
มีความสุขไปด้วยกับเรื่องราวที่เล่าค่ะ ขอบคุณจริงๆ เชื่อมั่นว่าเราจะได้หนุ่มน้อยที่รักแผ่นดิน รักชนบทเพิ่มขึ้นอีก 2 หน่อแน่นอนค่ะ

สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน

บันทึกนี้ยืนยันความเชื่อของเบิร์ดที่ว่า..เด็กๆจะมีความสุขเสมอเมื่อได้อยู่กับธรรมชาติ ภาพยืนยันชัดเจนว่าน้องดินและน้องแดน ( ชื่อน่ารักมากเลยค่ะ )มีความสุขล้นนัก..

สุขสันต์วันเกิดค่ะ ( เกิดวันเดียวกับเบิร์ดเลย 23 มี.ค. ..ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอคนเกิดวันเดียวกัน ดีใจจังค่ะ..) ขอให้มีความสุขกับครอบครัวที่น่ารัก และมีความสุขกับงานกับชีวิตที่ลงตัวตลอดไปนะคะ

เอ๊า...นึกขึ้นมาได้ตอนออกมาเรียบร้อยแล้วว่า ตั้งใจจะสุขสันต์วันเกิดย้อนหลังซะหน่อย อ่านเพลินจนลืมไปเลยค่ะ

สุขสันต์วันเกิดนะคะ ขอให้มีวันดีๆเรื่องดีๆเพื่อเป็นพลังให้ทำความดีต่อไปไม่สิ้นสุดค่ะ

ดีจังคะ ฉลองวันเกิดกับครอบครัว พร้อมหน้ากัน
ขอบคุณมากครับ
P

..ขอบคุณทั้งกำลังใจที่มีต่อบันทึก

และขอบคุณในคำอวยพรวันเกิดของผม

....

การได้กลับบ้าน  ถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

สุขสันต์วันเกิดค่ะ คุณแผ่นดิน....อ่านบันทึกนี้แล้วได้กลิ่นกองฟาง กลิ่นทุ่งนา กลิ่นต้นไม้ ใบหญ้า มีความสุขมากค่ะ...เมื่อยังเด็กๆ เคยไปอยู่บ้านนอกกับปู่และย่าในช่วงปิดเทอม เช่น น้องดิน และน้องแดน ความสุขนั้นยังคงมีมาจนถึงบัดนี้ค่ะ....

สวัสดีครับ คุณเบิร์ด

P

เป็นดังที่คุณเบิร์ดตั้งข้อสังเกตว่าเด็กจะมีความสุขมากให้ได้เที่ยวเล่นตามจินตนาการของตนเอง  โดยเฉพาะการได้อยู่ท่ามกลางวิถีธรรมชาติ  จะช่วยให้เด็กได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่ดี

สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะครับ...(ดีใจมากที่เกิดวันเดียวกัน)

ดีใจจริง ๆ ครับ

  • ได้ซึมชับบรรยากาศวิถีชีวิตที่อบอุ่นจริง ๆ
  • นี่แหละฝึกให้ลุกทั้งสองเป็น"นักกิจกรรมที่แข็งแกร่ง" ในอนาคต
  • แล้วจะตามเฝ้าดูเขาทั้งสองค่ะ

ได้สัมผัสบรรยายกาศ ที่งดงามตามธรรมชาติยิ่งนัก

ขอบคุณที่เหล่าสู่กันครับ 

เวรกรรม ผมพิมพ์ผิดครับ

เล่า มิใช่เหล่า ครับ

ขออภัยด้วยครับ อิอิ 

ทำไมไม่มีรูป หัวจุกละคะ   เอ๊หายไปไหนน้อ...  เมื่อไหร่จะกลับสารคามเนี่ย คิดฮอดเด้อ(หลานๆ)

นั่งนึกกะตัวเองมาตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา  ว่าช่วงนี้เหมือนจะมีวันสำคัญของคนสนิทสักคนนึง แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก  ลางสังหรณ์พี่แม่นเสมอ "น้องชาย" สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะ มีความสุขในทุกๆ วันกับชีวิตนะ   เจอแดนไท ก็ไม่เห็นว่าไรเลยนะ เอ เราก็โผล่หน้าต่างคุยกันนี่นา ตอนเช้าวันอาทิตย์น่ะ แต่ไม่เป็นไร  คำอวยพรจากร้อยพันคน ก็ไม่เท่า คนในครอบครัวของเราเองหรอก ซึ่งบุคคลที่สำคัญนั้นคือ พ่อแม่ และลูกรักสองพะนอ นั่นแหละ  อ้อ!!! อย่าลืมคนสำคัญอีกคนนะ แม้จะไม่ได้ดูแลเราตั้งแต่เกิด  แต่พอโตมาได้รับรู้เรื่องราวภายนอกในวัยหนุ่มสาว ก็คือ ภรรยา นะจ๊ะ  อย่าลืม ขอบคุณความมีน้ำใจที่เขามาช่วยดูแลเราต่อยอดจากความรักและความจริงใจที่พ่อแม่มีให้เรามิเสื่อมคลายล่ะ แม้จะเปรียบเทียบกันไม่ได้  แต่ก็อย่าลืม..ซะล่ะ..

(ยังอยากอุ้มน้องเพียงดาวนะ ...อิอิอิ.......)

สวัสดีครับ...

P

P
  • ขอบคุณในคำอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของผมนะครับ
  • และเช่นกัน  ขอให้ความสุขที่เกิดขึ้นจากคำพรที่ส่งมายังผม  มีต่อผู้ให้คำพรด้วยเช่นกัน
  • ขอให้มีพลังในการสร้างสรรค์งานเพื่อชีวิตและสังคมสืบไป  นะครับ
สวัสดีครับ อ.แป๋ว
P

ทุกครั้งที่ผมคิดถึงบ้าน  ก็อดคร่ำครวญถึงทุ่งนาป่าเขาไม่ได้  และบอกไม่ได้เช่นกันว่าสิ่งเหล่านั้นทำไมมีอิทธิพล หรือทรงอิทธิพลกับตัวเองมากมายถึงเพียงนี้

สภาพทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง  แต่เมื่อยืนอยู่ตรงนั้น  ภาพกลับแจ่มชัดในความทรงจำอย่างไม่น่าเชื่อ

มีความสุขกับสังคมของวันนี้แต่ก็ไม่มากหรือน้อยไปกว่าความสุขที่เกิดขึ้นในวัยเด็กของตนเอง....

ขอบพระคุณครับ....

สวัสดีครับ...พี่อัมพร
P
  • วันนี้ทั้งวันลงพื้นที่ประสานเรื่องโครงการเรียนรู้คุณธรรมนำชีวิตพอเพียง  ระยะทางไปกลับก็ร่วม 200 กม.  ฝ่าแดดร้อนและทุ่งแล้งโล่งจนล้าสายตา...พรุ่งนี้ไปอีกพื้นที่ครับ... เนื่องจาก มมส  ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานใน 2 พื้นที่
  • ผมมีความสุขมากที่ได้เที่ยวทุ่งกับลูกชาย  มันเป็นความสุขแบบเดิม ๆ ในสถานที่เดิม ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว...
  • ขอบพระคุณนะครับ...สำหรับคำอวยพรในวันคล้ายวันเกิด
  • มีความสุขเช่นกันนะครับ...

 

สวัสดีครับ...คุณตาหยู
P

.... ขออภัยครับที่มาตอบบันทึกช้าไปหน่อย  วันนี้ทั้งวันไปราชการต่างอำเภอ  กลับมาก็เขียนบันทึก....(ยากมาก เพราะเหนื่อนเกินจะเขียนอะไร)

....  ผมมีความทรงจำที่ผูกรัดอย่างแน่นหนากับชีวิตชนบทมาก  และคงแยกขาดออกจากกันไม่ได้  จึงมักพร่ำบ่นถึงเรื่องราวเหล่านี้เสมอ

.....

ขอบคุณนะครับ...กับการทักทายที่เต็มไปด้วยกำลังใจอันดียิ่ง

วันนี้ไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะครับ..น้องนุ้ย
P

...ไปราชการ ร้อนมาก...อิ่มมาก  เพราะชุมชนเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างเต็มที่

...............

น้องแดนไม่ยอมให้ถ่ายรูป  อีกทั้งแกนอนหลับเลยไม่ได้ไปเที่ยวทุ่งด้วยกัน...

นึกภาพเอาแล้วกันว่า  สภาพที่มอมแมมของน้องแดน จะเป็นเช่นไร......(เอ้า..นึก ๆๆๆๆๆ)

คุณแผ่นดินครับ

บันทึกน่าสนใจมากเลย ผมสงสัยว่าทำไม? ทำไมคุณแผ่นดินถึงสามารถกลับไปหารากเหง้าของตัวเองได้อย่างภูมิใจ  ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้ แค่จะอธิบายว่ารากเหง้าของเรามาจากไหนก็ยากเต็มทีแล้ว

ผมเดาเอาว่าการได้เดินทางไปไกลบ้าน ทำให้เห็นว่าบ้านเราสำคัญแค่ไหน ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วบ้านเราเป็นอย่างไร (เพราะเราเห็นที่ๆ ไม่ใช่บ้าน) ใ่ช่หรือเปล่าครับ?

แต่เชื่อแบบนี้แล้วก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหนุ่มสาวเดินทางจากบ้านมาแล้วไม่อยากกลับกัน  คิดว่าเชย คิดว่าล้าหลัง 

เรื่องแบบนี้ไม่ได้มีสอนในห้องเรียนครับ ถึงเอาไปสอนก็ไม่ได้ผล เพราะต้องเรียนรู้จากการใช้ชีวิต เหมือนอย่างที่คุณแผ่นดินใช้เวลากับลูกชายนั่นเลยครับ

สวัสดีครับ..คุณแว้บ

P

ผมแวะไปอ่านบันทึกคุณเรื่อย แต่ช่วงนี้เห็นเงียบไปพักใหญ่...

ผมรู้สึกว่าทุกครั้งที่ไกลจากบ้านก็ยิ่งย้ำเตือนความเป็นบ้านหรือรากเหง้าของตนเองแช่มชัดขึ้นทุกขณะจิต  ผมเคยทำงานกรุงเทพฯ  ได้รับเงินเดือนมากมายนัก  แต่ก็ทนต่อชีวิตเช่นนั้นไม่ได้  จึงลาออกมาเข้าสู่ระบบราชการที่ครั้งหนึ่งก็ปฏิเสธมาแล้วเช่นกัน

ผมจึงรักและกล้าพอที่จะบอกกับลูกให้รู้ว่า "ที่ตรงนี้"  เป็นที่ ๆ พ่อของเขาเติบโตมาเพื่อเป็น "พ่อของเขา" และไม่เคยอายที่จะบอกว่าเป็น "เด็กเลี้ยงวัว"  เป็น "เด็กบ้านนอกขอบชนบท"

.....

ขอบคุณมากครับ...และถูกแล้วครับที่คุณแว้บสะท้อนไว้ว่า  การได้เดินทางไปไกลบ้าน ทำให้เห็นว่าบ้านเราสำคัญแค่ไหน

กำลังอยู่ในช่วงวุ่นๆน่ะครับ  รับงานเพิ่มมามาก เหมือนเป็นช่วงเก็บข้อมูล แต่ไม่มีเวลาได้หยุดคิด ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพักครับ

ขอบคุณที่ถามถึงนะครับ แล้วผมจะแวะมาเรื่อยๆครับ 

อ่านแล้วก็ชวนคิดถึง อดีตอีกเช่นเคย จะว่าไปแล้วน้ำแดงเองก็ถือว่าเป็นเด็กเลี้ยงวัวขนานแท้คนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเท่าที่จำได้คือเป็นเด็กเลี้ยงวัว ไม่ใช่สิ ก่อนที่จะแปลผันมาเป็นเด็กเลี้ยงวัว ก่อนหน้าเลี้ยงควาย ซึ่งควายตอนแรกจำได้ว่า มีตัวเมีย 2 ตัว เลี้ยงจนกระทั้งออกลูกออกหลานมาจนได้ 6 ตัว ชีวิตวัยเด็กของน้ำแดงจึงผูกพันกับวัวกลับควายมาก ชื่อของมันแต่ล่ะตัวมันก็จะมีชื่อเรียกของมันไปต่างๆกัน ต่อมา พ่อได้ซื้อวัวมาเพิ่มอีหนึ่งตัว และได้เลี้ยงด้วยกันกับวัว จะว่าไปแล้วชื่อมันก็ตลกดี มันชื่อว่า อบต. สาเหตุที่มันชื่อนี้ก็เพราะว่าเป็นวัวที่พ่อซื้อวัวที่ อบต.จะเอามาฆ่าแต่พ่อซื่อต่อมาเลี้ยงค่ะก็เลยได้ชื่อนี้ค่ะวัวตัวนี้มันเชื่องค่ะเวลาไปเลี้ยงมันก็จะเล็มหญ้ากินไกล้ๆกับควายแต่มันจะกลับบ้านก่อนทุกที และน่าทึ่งก็คือตอนแรกมันก็รอให้เราไล่ต้อนเข้าไปปกติ แต่ต่อมามันเคยชิน มันกลับบ้านเองแทบทุกวันจนชาวบ้านแซวว่ามันมีธุระมันรีบกลับก่อนแล้วหรอในช่วงที่ไล่ต้อนวัวกลับคอก และมันยังเป็นวัวตัวแรกที่พ่อซื้อมาเลี้ยงด้วยค่ะ

และแล้วเวลาที่น่าเศร้าใจก็มาถึงเมื่อวันหนึ่งที่พ่อเกิ่นพูดกลับครอบครัวว่าจะขายควายยกคอก คือขายทุกตัว ด้วยที่เราเลี้ยงมันมานานกว่าสี่ ห้า ปี ก็เกิดความผูกพันเสียดาย สงสาร ไม่อยากขาย แต่ก็ด้วยความจำเป็นหลายอย่างที่ต้องขาย เชื่อไหมค่ะว่าวันที่น้ำแดงไปเลี้ยงมันเป็นวันสุดท้ายแทบจะร้องไห้แล้วบอกกับผู้เป็นแม่ว่าถ้าจำเป็นจะขายก็ขายไม่ต้องบอก และไม่ต้องเล่าให้ฟัง เพราะไม่อยากรับรู้  จบกระทั้งทุกวันนี้น้ำแดงยังจำหน้าตาควายของน้ำแดงได้ ทุกตัว ใครว่าวัวควายหน้าตามันเหมือนกัน น้ำแดงขอบอกเลยนะค่ะว่ามันไม่ใช่เลยมันก็เหมือนกับคน หน้าตามันไม่เหมือนกัน อาจจะมีเค้าของพ่อกับแม่มันบ้างก็ว่ากันไป หลังจากนั้นมาก็เลี้ยงเจ้า อบต.จนถึงทุกวันนี้และที่บ้านมีวัวทั้งหมด 6 ตัว และที่ชอมมากที่สุดคือชื่อของมันจะมาตามความฮิตของล่ะครในช่วงนั้นและปัจจุบันวัวตัวที่เกิดมาตัวล่าสุดรู้สึกจะชื่อว่า อะไรก็ไม่แน่ใจ รู้แต่เพียงว่าตั้งตามชื่อนางเอกหนังจีน ตอนเย็นคนหนูอาไรซักอย่างไม่แน่ใจเพราะน้ำแดงไม่ได้ดูละคร ตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กของน้ำแดงก็เลี้ยงวัวเลี้ยงความมาตลอดจนเรียนจบ ม. 6 และปัจจุบันเรียนอยู่ปี3ก็ยังเลี้ยงอยู่บ้างในเวลากลับบ้าน จึงเป็นที่มาที่ว่าคนแก่แถวบ้านแซวกันประจำเวลากลับบ้านว่าขายวัวส่งควายเรียน แต่น้ำแดงก็มีความสุขกับคำเหล่านี้เพราะไม่ได้ถือว่าเป็นการดูถูกแต่เป็นการพูดเพราะความเอ็นดูเสียมากว่า ซึ่งด้วยความที่เขาเห็นเราเป็นเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งตอนเด็กน้ำแดงก็ไม่ต่างจากเด็กชบนททั่วๆไปเล่นกับดินกับโคลน กับควาย มีความสุขกับเพื่อนๆเด็กเลี้ยงควายด้วยกัน ขอบคุณบันทึกพี่พนัสมากที่ทำให้อ่านแล้วหวนคิดถึงอดีตสมัยเด็ก จนถึงปัจจุบัน คิดแล้วก็เขียนออกมา ก็เศร้าบ้าง แอบยิ้มนิดๆบ้าง มีความสุขอีกแบบหนึ่งในช่วงการฝึกงานที่ยังไม่มีอะไรทำค่ะ อิ อิ

สวัสดีครับ คุณแว้บ..// ท่ามกลางวีถีอันเร่งรีบและบีบรัดด้วยการงานอันหลากหลาย ยังไงก็ขอให้มีพลังกาย พลังใจและสติแห่งการรังสรรค์งานและสังคมสืบไปนะครับ /// ผมเป็นกำลังใจให้เสมอ , ..โชคดีครับ

สวัสดีครับ ..กุ้งน้ำแดง

ไม่บอกไม่รู้เลยนะว่าเราเป็นเด็กบ้านนอกบ้านนา  เติบโตและเริงเล่นอยู่กับท้องทุ่ง

พี่เองก็เคยจำภาพที่วัวถูกต้อนขึ้นรถบรรทุกได้อย่างไม่ลางเลือน  ช่วงนั้นทางบ้านมีความจำเป็นต้องขายวัวออกไปเพื่อนำเงินมาแก้ปัญหาภายในครอบครัว   เรายืนมองน้ำตาแทบไหลพราก  ขณะที่วัวทุกตัวก็เดินขึ้นรถอย่างว่านอนสอนง่าย  ราวกับกำลังรู้ว่า  บัดนี้  เจ้าของกำลังเดือดร้อนและมันก็ยินดีที่จะช่วยเหลือเจ้าของอย่างไม่อิดออด

ครอบครัวของพี่เลี้ยงวัวหลายตัว  ไม่ขายให้กับพ่อค้าโรงฆ่าสัตว์  ในอดีตจึงเป็นครอบครัวที่มีวัวจำนวนมาก  และพี่ก็เป็นเลี้ยงวัวไปโดยปริยาย

วิถีชีวิตบ้านนอก  ได้ย้ำเตือนให้ชีวิตไม่ต้องทะเยอทะยานเกินตัวเท่าไหร่นัก  แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงให้เราเฉื่อยชาต่อโลกและชีวิต

....

ขอบใจที่แวะมาแลกเปลี่ยนและบอกเล่าเรื่องราวที่เราไม่อาจนั่งคุยกันได้ ...

และขอให้กุ้งน้ำแดง...  เป็นความภูมิใจของคนในครอบครัวสืบไป .

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท