ปฏิรูปมหาวิทยาลัยอังกฤษ กับปฏิรูปมหาวิทยาลัยไทย
วิจารณ์ พานิช
8 มิ.ย.48
คนทั่วไปคงจะไม่ทราบว่า ระบบมหาวิทยาลัยไทยกำลังจะถูกปฏิรูปใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ผ่านการออก พรบ. ของแต่ละมหาวิทยาลัย เพื่อออกนอกระบบราชการ
ตอนนี้มหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าที่กำลังจะเติบโตเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยเต็มรูปต่างก็มองไปที่ มจธ. (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) ที่ออกนอกระบบราชการ มี พรบ. ใหม่ที่เป็นอิสระดีมา 4 – 5 ปีแล้ว และมีการจัดระบบใหม่จนเกิดความก้าวหน้าอย่างน่าชื่นชม
แต่มหาวิทยาลัยที่ละล้าละลังในช่วง 4 – 5 ปีก่อน และกำลังอยู่ในขั้นตอนการผ่าน พรบ. ในรัฐสภากำลังอกกลัดหนอง เพราะอาจจะถูกจัดเข้าใน “พรบ. โหล” คือมีรูปแบบของการบริหาร เหมือน ๆ กันหมด
ในการพิจารณาร่าง พรบ. มหาวิทยาลัยรุ่นหลังนี้ มหาวิทยาลัยที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วทั้ง 3 วาระ และผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาแล้ว คือมหาวิทยาลัยบูรพา กระบวนการพิจารณาร่าง พรบ. ของมหาวิทยาลัยบูรพา เกิดแนวทางปรับปรุงแก้ไขร่างกฎหมายมหาวิทยาลัยนอกระบบราชการ 10 ประเด็นดังนี้
1. กำหนดสภาพของมหาวิทยาลัยให้ชัดเจนว่ายังเป็น “มหาวิทยาลัยของรัฐ”
2. กำหนดความผูกพันให้มหาวิทยาลัยต้องดำเนินการภายใต้กรอบการศึกษาของชาติ
3. กำหนดหน้าที่ให้รัฐบาลจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปแก่มหาวิทยาลัยอย่างมีหลักเกณฑ์และรับผิดชอบ ดูแลมิให้นิสิตนักศึกษาต้องรับภาระจ่ายค่าบำรุงและค่าธรรมเนียมจนเกินสมควร
4. กำหนดที่มาของกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิให้มาจากการสรรหาและเสนอชื่อโครงการระบบใหม่
5. กำหนดบทบาทของคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยให้สมบูรณ์ขึ้น และเพิ่มคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาของชุมชนในท้องถิ่น
6. กำหนดเพิ่มบทบาทของสภาบุคลากรมหาวิทยาลัย ให้ดูแลปัญหาการบริหารงานบุคคล และสิทธิประโยชน์ของบุคลากร
7. กำหนดให้การโอนสถานภาพของบุคลากรจากข้าราชการไปเป็นพนักงาน ต้องเป็นไปโดยสมัครใจอย่างแท้จริง และต้องปฏิบัติต่อบุคลกรทั้งสองประเภทนี้อย่างเสมอภาคด้วย
8. กำหนดอำนาจหน้าที่กำกับดูแลของรัฐมนตรีให้ชัดเจน
9. กำหนดให้การบัญชีของมหาวิทยาลัยต้องอยู่ภายใต้อำนาจตรวจสอบของ สตง.
10. กำหนดการได้มาของสภามหาวิทยาลัยและผู้บริหารตามระบบใหม่ให้เป็นไปโดยสมเหตุสมผล
ปัญหาที่เกิดขึ้นมี 3 ประการใหญ่ ๆ
1) การมองว่ามหาวิทยาลัยต้องทำหน้าที่เหมือน ๆ กันหมด มีโครงสร้างการบริหาร การ
กำกับดูแล เหมือน ๆ กันหมด หรือจะให้มีความแตกต่างกัน
2) การกำหนดรายละเอียดในข้อ 4 ให้มีแนวทางเดียวกัน
3) สาระและอำนาจของรัฐมนตรี ตามข้อ 8
เข้าใจว่าจะมีกลุ่มมหาวิทยาลัยที่กำลังพัฒนาไปเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยเต็มรูปแบบ เจรจาต่อรอง
โครงสร้าง พรบ. ที่แตกต่างออกไป เพื่อให้สามารถพัฒนาไปเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยได้
ถ้าการเจรจานี้ไม่ประสบผลสำเร็จ ระบบมหาวิทยาลัยไทยก็จะมีอาการ “ถอยหลัง” ครั้งใหญ่
เป้าหมายของการออกนอกระบบราชการคือ ความเป็นอิสระ (แต่รับผิดชอบต่อสังคม) แต่ขณะนี้มีความเสี่ยงสูงมากที่รัฐมนตรีจะมีอำนาจสั่งการต่อมหาวิทยาลัยเพิ่มสูงขึ้น
ทีนี้หันมาดูที่อังกฤษบ้าง กำลังเกิดเหตุใหญ่ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยดีที่สุดอันดับ 5 ของโลกตามการจัดลำดับระบบหนึ่งและอันดับ 8 ตามอีกระบบหนึ่ง โดยที่มีเค้าว่าอันดับจะตกลงไปเรื่อย ๆ ถ้าปล่อยให้ระบบการบริหารงานยังเป็นไปอย่างปัจจุบัน
นิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ ฉบับวันที่ 21 – 27 พ.ค.48 ลงบทวิเคราะห์ที่หน้า 14 และหน้า 55 – 56 เรื่องความขัดแย้งใหญ่โตระหว่างคณาจารย์กับอธิการบดี (Vice – Chancellor) จากการที่อธิการบดีเสนอ “ยกเครื่อง” ระบบบริหารมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ 2 เรื่องคือ
(1) รวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจด้านนโยบายและการบริหาร
(2) แก้ไขระบบการบริหารงานบุคคลเกี่ยวกับอาจารย์ ให้อัตราเงินเดือนสัมพันธ์กับผลงาน (performance)
เหตุผลที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็เพราะระบบบริหารของอ็อกซฟอร์ดอยู่ในสภาพ “ไม่
เป็นระบบ” ต่างคนต่างทำ ต่างวิทยาลัยต่างก็มีอิสระสูงมาก ขาด synergy ระหว่างกัน และทำให้ทั้งมหาวิทยาลัยมีปัญหาการเงิน รายละเอียดมีมาก หาอ่านกันเอาเองนะครับ
ระบบของมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดเป็นระบบที่เรียกว่า college system ใช้มาตั้งแต่ คศ.1249 คือสมัยสุโขทัย
อำนาจตัดสินใจว่าจะปฏิรูประบบตามข้อเสนอของอธิการบดีหรือไม่ อยู่ที่สภาคณาจารย์ ที่เขาเรียกว่า Don’s Parliament ซึ่งได้โหวตไม่รับข้อเสนอที่ 2 ไปแล้ว ส่วนข้อเสนอที่ 1 อยู่ระหว่างการโต้กันอย่างเผ็ดร้อนและจะพิจารณาใหม่ในเดือน พ.ย.48
การเปลี่ยนแปลงระบบแบบถอนรากถอนโคนก็ยากอย่างนี้แหละ
สงสัยอาจเป็นเพราะทั้งระบบของไทยและระบบของอังกฤษ เป็นระบบที่ไม่เรียนรู้ (Non – Learning Systems) ทั้งคู่ จึงกลายเป็นระบบที่ล้าหลังอย่างที่เป็นอยู่
มหาวิทยาลัยเป็นระบบที่ไม่เรียนรู้ เป็นเรื่องแปลกแต่จริง
วิจารณ์ พานิช
21 พ.ค. 48
<p> </p> <p class="MsoNormal"> </p><p> </p>