วันนี้ (23 มีนาคม 2550) ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่โชคดีได้มีโอกาสไปฟังบรรยาย เรื่อง การเขียนบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างประเทศ บรรยายโดยศาสตราจารย์อำนวย ถิฐาพันธ์ อาจารย์ประจำอยู่ที่งานบริการวิชาการและวิจัย คณะแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี อาจารย์เป็น 1 ใน 6 ของนักเรียนทุนโคลัมโบ ที่ศาสตราจารย์สตางค์ มงคลสุข ส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ และนักเรียนทุนเหล่านี้ถือเป็นเหล่ายอดฝีมือที่กลับมาและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศไทยในเวลาต่อมาในหลายๆด้าน ทั้งในแวดวงราชการและเอกชน
ผมก็เลยขอเริ่มต้นด้วยการนำสุนทรียวาจา จากที่ได้ฟังอาจารย์มาเล่าสู่กันฟังครับ ก่อนที่จะสรุปเรื่องราวจากการฟังอาจารย์มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง
1. ระบบในประเทศไทย ไม่ได้เอื้ออำนวยให้คนได้ตำแหน่งวิชาการ หากอยากได้ ต้องทำเอง ต้องช่วยตัวเอง ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในแวดวงการทำวิจัย ต่างก็เริ่มต้นด้วยตัวเอง ทำเองด้วยกันทั้งสิ้น สิ่งที่เราขาด หรือการมีลูกพี่ที่ดี ที่เก่ง หากเรามีลูกพี่ที่ดีแล้ว จะช่วยให้การพัฒนางานวิจัยและการเขียนผลงานวิจัยเผยแพร่เป็นไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งลูกพี่ในที่นี่ คือคนที่ให้คำปรึกษาทั้งในเรื่อง การออกแบบการวิจัย การให้คำปรึกษาด้านสถิติ การแนะนำด้านการเขียน การแก้ไขบทความ และแนวทางในการเขียนบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างประเทศที่มี Impact factor สูง ในความเห็นของอาจารย์อำนวย อาจารย์เชื่อว่าในประเทศไทย เรามีคนเก่งมากมาย แต่ในระบบราชการในมหาวิทยาลัย เราไม่ได้นำคนเก่งเหล่านี้มาใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ ยังปล่อยให้ต่างคนต่างทำ ไม่ช่วยเหลือกัน ทำให้ความก้าวหน้าทางวิชาการและการวิจัยเป็นไปได้อย่างล่าช้า
2. Research brings about the best of knowledge งานวิจัยนำมาซึ่งสุดยอดของความรู้ เป็นการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ การสอนหนังสือหรือการบรรยายเป็นเพียงการไปค้นคว้านำความรู้ที่คนอื่นได้ศึกษาไว้แล้ว เอามาสอนให้ฟัง ซึ่งถือเป็นความรู้เก่า อาจารย์ในมหาวิทยาลัยจึงจำเป็นต้องทำงานวิจัยเพื่อค้นหาองค์ความรู้ใหม่ แล้วสอนความรู้ใหม่ที่ตัวเองค้นพบ จึงจะเป็นอาจารย์ที่สมภาคภูมิ
3. มาตรฐานการทำงานของอาจารย์อำนวย ขณะที่เรียนอยู่ต่างประเทศ คือ ทำงานวันละ 16 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นการทำงานที่หนักมาก สิ่งที่ได้ตอบแทนการทำงานไม่ใช่ตัวเงิน แต่เป็นคำพูดที่ว่า You will be born academicly. หมายถึง หากเราทำงานวิจัยหนักขนาดนี้ สิ่งที่ตอบแทนการทำงานหนักก็คือ เราก็จะเกิดใหม่ในแวดวงวิชาการอย่างยั่งยืน
4. ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ค่าของอาจารย์อยู่ที่งานวิจัย อาจารย์ที่ไม่ทำงานวิจัย ถือเป็นผู้ที่มีคุณค่าน้อย แม้ว่าจะเป็นผู้สอนหรือผู้บรรยายที่ดี
5. If you are on the right tract but not moving, you will be run over by the next train. (Stephen R Covey) หากเราอยู่ในสถาบันการศึกษาที่ดีแล้วแต่เราเลือกที่จะอยู่เฉย (หมายถึงการที่เราได้มีโอกาสเป็นอาจารย์ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีมาก และอาจารย์ต้องทำวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ แต่เรายังเลือกที่จะไม่ทำวิจัย) สุดท้ายก็จะถูกแซงโดยเด็กรุ่นใหม่ ไฟแรง ที่มีความสามารถสูง
6. The research work has little value if it cannot be published. (Frank S Gonzalez) คนเราทำงานวิจัยมาแม้จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่หากไม่ตีพิมพ์เผยแพร่ ก็ถือว่างานวิจัยนั้นมีคุณค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ ผมเคยได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งในภาควิชาพยาธิวิทยา เคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่รับทุนมาทำวิจัย แล้วไม่ตีพิมพ์เผยแพร่ความรู้ที่ต้วเองค้นพบ นับว่าผิดจริยธรรม ดังนั้นเส้นทางสุดท้ายที่เป็นบทสรุปของการทำวิจัย ไม่ใช่การบรรยาย ไม่ใช่การทำโปสเตอร์ แต่เป็นการตีพิมพ์เผยแพร่ความรู้ของเราออกไปในวารสารวิชาการ
อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณไมโต
เห็นด้วยกับทุกข้อเลยค่ะ เพราะเจอกับตัวเองเหมือนกัน โดยเฉพาะข้อที่ 1 ค่ะ แต่ก็ต้องพยายามต่อไปค่ะ เพราะเห็นว่าประเทศไทยยังขาดการสร้างความรู้ (แล้วเผยแพร่) เป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่คนไทยเก่งไม่ต่างจากคนต่างชาติ ก็ต้องสู้กันต่อไปค่ะ