นพะ (นวะ) แปลว่า ๙ ...ดาวนพเคราะห์ ก็คือดาวทั้งเก้าดวงตามหลักทักษานั้นเอง ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า เทพนพเคราะห์... เพื่อไม่เป็นการเยินเย่อ ผู้เขียนจะสรุปกำลังของเทพนพเคราะห์ทั้งหมดในบันทึกนี้ ก่อนที่จะเล่าเรื่องกำเนิดของแต่ละเทพในบันทึกต่อๆ ไป...
สืบต่อจากครั้งก่อนๆ (ผู้ยังไม่เคยอ่านหรือต้องการทบทวนก็ ดู ระบบทักษากาลี น้ำคือบ่อเกิดแห่งชีวิต และ ธรรมชนะอธรรม ตามลำดับ) เทพเจ้าแต่ละดวงเกิดจากทิศใต้แล้วก็ดำเนินมาโดยการเวียนขวา ประจำตามทิศของตน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
ทิศอีสาน หรือตะวันออกเฉียงเหนือ มี พระอาทิตย์ สถิตอยู่ โดยดำเนินมาจากทิศใต้ ๖ ก้าวย่าง จึงมีกำลัง ๖ (บาปเคราะห์)
ทิศบูรพา หรือตะวันออก มี พระจันทร์ สถิตอยู่ โดยดำเนินมาทางทิศใต้ แล้วเวียนหนึ่งรอบก่อนที่จะมาสถิตอยู่ตามหลักศุภเคราะห์ ดังนั้น จึงมีกำลัง ๑๕ (๗+๘ = ๑๕)
ทิศอาคเณย์ หรือตะวันออกเฉียใต้ มี พระอังคาร สถิตอยู่ โดยดำเนินมาจากทิศใต้ ๘ ก้าวย่าง จึงมีกำลัง ๘ (บาปเคราะห์
ทิศทักษิณ หรือใต้ มี พระพุธ สถิตอยู่ โดยพระพุธนี้แม้จะกำเนิดทิศใต้ แต่ก็เวียนขวาหนึ่งรอบก่อนที่จะเวียนมาสถิตอยู่ตามหลักศุภเคราะห์ ดังนั้น จึงมีกำลัง ๑๗ (๙+๘ = ๑๗)
ทิศหรดี หรือตะวันตกเฉียงใต้ มี พระเสาร์ สถิตอยู่ โดยดำเนินมาทางทิศใต้แล้วเวียนขวาไปยังทิศอิสาน (เพื่อเข้าเฝ้าพระอาทิตย์) แล้วก็เวียนขวาต่อมาจนถึงทิศตะวันตกเฉียงใต้จึงสถิตอยู่ พระเสาร์นี้นับการดำเนินได้ ๑๐ ก้าวย่าง จึงมีกำลัง ๑๐ (บาปเคราะห์)
...... ประเด็นนี้ อาจมีผู้สงสัยว่า พระเสาร์กำเนิดทางทิศใต้แล้วเวียนขวามาประจำทิศตะวันตกเฉียงใต้เลยไม่ได้หรือ ? ... ผู้รู้ท่านอธิบายว่า พระเคราะห์ทุกดวง จะต้องผ่านไปยังพระอาทิตย์ทางทิศอิสานก่อนเพื่อรับพลัง... เพราะพระอาทิตย์เป็นผู้นำของดาวนพเคราะห์ทั้งหมด...
..... แนวคิดนี้เลียนแบบสังคมความเป็นอยู่ของคนเรา นั่นคือ เมื่อจะไปอยู่ที่ใด เราก็ต้องเข้าไปเฝ้าเจ้าบ้านเจ้าถิ่นก่อน เช่น ไปอยู่วัดก็ต้องเข้าพบท่านเจ้าอาวาสก่อน ข้าราชการทั่วไปก็ต้องเข้าพบหัวหน้าสูงสุดในสำนักงานของตน แม้แต่ฑูตก็ต้องเข้าเฝ้าพระราชาก่อน เป็นต้น
ทิศปัจฉิม หรือตะวันตก มี พระพฤหัส สถิตอยู่ โดยดำเนินมาจากทิศใต้แล้วก็เวียนขวาเข้าเฝ้าพระอาทิตย์ก่อนที่จะเวียนอีกหนึ่งรอบเพื่อเพิ่มกำลังตามหลักศุภเคราะห์ แล้วก็มาสถิตอยู่ในทิศตะวันตก ดังนั้น จึงมีกำลัง ๑๙ ( ๑๑+๘ = ๑๙)
ทิศพายัพ หรือตะวันตกเฉียงเหนือ มี พระราหู สถิตอยู่ โดยดำเนินมาจากทิศใต้แล้วก็เวียนขวาเข้าเฝ้าพระอาทิตย์ก่อนที่จะมาสถิตอยู่ยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พระราหูนี้ดำเนินมา ๑๒ ก้าวย่าง จึงมีกำลัง ๑๒ (บาปเคราะห์)
ทิศอุดร หรือเหนือ มี พระศุกร์ สถิตอยู่ โดยดำเนินมาจากทิศใต้แล้วก็เวียนขวาเข้าเฝ้าพระอาทิตย์ก่อนที่จะเวียนอีกหนึ่งรอบเพื่อเพิ่มกำลังตามหลักศุภเคราะห์ แล้วก็มาสถิตอยู่ในทิศเหนือ ดังนั้น จึงมีกำลัง ๒๑ (๑๓+๘ = ๒๑)
... เมื่อทั้ง ๘ ทิศ มีดาวพระเคราะห์ประจำแล้ว ย่อมมีพลังส่งถึงกันและกัน ด้วยพลังของพระเคราะห์เหล่านี้จึงก่อให้เกิดพระเคราะห์ดวงที่ ๙ คือ พระเกตุ ซึ่งสถิตอยู่ใน ท่ามกลาง หรือ ภายใน ทิศเหล่านี้ พระเกตุนี้เป็นวิญญาณธาตุ แผ่ไปถึงพระเคราะห์ทั้งหมด พระเกตุจึงมีกำลัง ๙ นั่นคือ ที่อยู่ของตัวเอง ๑ และทิศโดยรอบอีก ๘ จึงมีกำลัง ๙ (๑+๘ = ๙) ด้วยประการฉะนี้
อนึ่ง พระเกตุเป็นวิญญาณธาตุ ส่วนพระเคราะห์อื่นๆ เป็นดิน น้ำ ลม และไฟ แตกต่างกันไป ซึ่งผู้เขียนค่อยเล่าในตอนต่อไป...
กราบนมัสการพระคุณเจ้า
ขอบคุณนะค่ะที่นำมาให้ดู สงสัยราณีต้องลงใต้ตามหลักศุภเคราะห์ รู้สึกว่าช่วงนี้ดวงไม่ดีเลยค่ะ (พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก)ล้อเล่นค่ะ
บางครั้ง เพื่อนโทรมาคุยเรื่องหมอดู ฤกษ์ยาม.. อาตมาเบื่อเปิดคัมภีร์ ก็มักจะบอกไปว่า...
กึ ตารกา กริสฺสนฺติ ดวงดาวจักกระทำอะไรได้
ความเห็นส่วนตัว... คนเชื่อโหราศาสตร์คือคนที่ขาดความเชื่อมั่นใจตัวเอง... นั่นคือ ใช้โหราศาสตร์มาเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งในการพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจครั้งสุดท้าย
เจริญพร
โหราศาสตร์ ก็เป็นศาสตร์หนึ่งหรือวิชาหนึ่ง เหมือน เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ เกิดจากวิวัฒนาการของมนุษย์ ซึ่งวิชาโหราศาสตร์ ได้รวมวิชาดาราศาสตร์กับวิชาสถิติเข้าด้วยกัน ในต่างประเทศเปิดสอนในมหาวิทยาลัยและมีปริญญาบัตรให้
การที่เราไปดูแคลนศาสตร์อื่นๆ โดยที่ด่วนสรุปโดยไม่เคยเข้าไปดูว่าในศาสตร์นั้นเขาเรียนอะไร คนจบบริหารธุรกิจ ศาสตร์ด้านการบริหาร ยังบริหารองค์กรหรือประเทศเสียหายก็ยังมีไม่เพราะเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้องหรอกหรือ.... นักโหราศาสตร์อาจจะพยากรณ์ผิดพลาด หรือนักกฎหมาย ทนายความ ศาล ตัดสินคดีความในเรื่่องเดียวกันไปคนละทาง มันต่างกันตรงไหน.......ทุกสิ่งมีขาวมีดำ มีเชื่อมีไม่เชื่อ ถ้าถูกใจก็บอกว่าดี เมื่อไม่ถูกใจก็บอกไม่ดี