ใครก็ตามที่มีวันและวัยอยู่ในรุ่นเดียวกับผมและเคยไปออกค่ายอาสาพัฒนาในสมัยที่เคยเป็นหนุ่มสาวนักแสวงหาในรั้วมหาวิทยาลัย ผมเชื่อว่าจะคุ้นเคยกับ “เสียงนกหวีด” เป็นยิ่งนัก เพราะนกหวีด คือ สัญญาณเสียงของการเริ่มต้นชีวิตในค่าย รวมถึงเสียงสัญญาณการหยุดพักจากการงานแห่งชีวิต หรืออื่น ๆ อีกจิปาถะ
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ในเรื่องสั้น “เหมือนอย่างไม่เคย” ของอาจารย์ วิทยากร เชียงกูล ก็สะท้อนภาพชีวิตชาวค่ายที่สัมพันธ์และเกี่ยวโยงกับเสียงนกหวีดอย่างแจ่มชัด ดังว่า…</p><p> “ตอนเที่ยงเธอได้ยินเสียงนกหวีดและเห็นพวกเขาวางมือจากงานเดินกลับที่พักกันเป็นกลุ่ม….เช้าวันรุ่งขึ้น ทองม้วนไม่ได้ยินเสียงนกหวีดเหมือนเคย เธอรู้สึกว่าบางอย่างที่เคยยึดไว้ได้สูญหายไปเสียแล้ว….” </p><p> </p><p>ระยะหลังที่ผมมีโอกาสคลุกคลีเข้าออกค่ายอาสาพัฒนาอยู่อย่างไม่ว่างเว้น ผมสัมผัสเห็นความเปลี่ยนแปลงและการเปลี่ยนถ่ายวัฒนธรรมชาวค่ายอยู่หลายประการ แต่ที่ผมฉุกคิดอยู่เรื่อยมาก็คือ “การจากไปของเสียงนกหวีด” โดยมี “เสียงอันกระหึ่มของเครื่องไฟ เครื่องเสียงที่เคลื่อนขยับเข้ามาทำหน้าที่แทนนกหวีดอย่างสนิทแน่น !” </p><p>แน่นอนครับมันเป็นวิถีการเปลี่ยนถ่ายของรูปแบบที่คล้อยไปตามยุคสมัยทางสังคม แต่อย่างไรสำหรับ “คนหัวเก่าอายุแก่” อย่างผมก็อดรำพึงถึง “เสียงนกหวีด” ไม่ได้ </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมเคยได้พูดคุยกับนิสิตในมุมของการบอกเล่าและแลกเปลี่ยนมานักต่อนัก , ผมเคยอธิบายให้ฟังว่านกหวีดคือ “เสียงสัญญาณแห่งชีวิตและการงานของชาวค่าย” มันเป็นเสียงแห่งการปลุกให้ตื่น, กำชับให้มากินข้าว, บอกกล่าวให้มาประชุมและเล่นรอบกองไฟ, ฯลฯ </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>เสียงนกหวีด เป็นเช่นเดียวกับเสียงระฆังในโรงเรียนที่คอยทำหน้าที่ของการเคารพธงชาติ, เปลี่ยนชั่วโมงเรียน, พักเที่ยง และเลิกเรียนกลับบ้าน </p><p>แต่ตอนนี้ผมแทบไม่พบว่าในค่ายอาสาของนิสิตมีนกหวีดเป็นเครื่องสัญญาณกำกับการงานและชีวิตของพวกเขาแล้ว สิ่งที่กระโดดเข้ามาทำหน้าที่แทนก็คือความมหึมาและก้องกระหึ่มของเครื่องไฟที่เร้าใจและเร้าพลังกว่าเป็นไหน ๆ หนำซ้ำยังมีคุณประโยชน์เบ็ดเตล็ดกว่านกหวีด </p><p> </p><p></p><p>ผมเห็นชาวค่ายใช้เครื่องไฟหรือเครื่องเสียงอย่างรื่นเริงบันเทิงใจ บางทีเปิดเพลงให้ชาวค่ายได้ฟังอย่างคึกครื้น บางครั้งก็ใช้ไมโครโฟนประกาศชี้แจงและนัดหมายประชุม หรือแม้แต่เรียกระดมชาวค่ายมากินข้าวกินปลาก็ล้วนหนีไม่พ้นการอาศัยเครื่องไฟเป็นเครื่องมือของการสื่อสารแทบทั้งสิ้น </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ตกดึก, กิจกรรมรอบกองไฟระหว่างชาวค่ายกับชาวบ้านจากที่เคยตีกลองร้องเพลงด้วยปากเปล่าก็มีเครื่องเสียงเข้ามาเป็นอุปกรณ์บันเทิงอย่างลงตัว สร้างความคึกคัก คึกครื้น และตื่นตัวอย่างน่าอัศจรรย์ใจ !</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมเคยถามนิสิตเสมอว่าเครื่องไฟเหล่านี้ได้มาอย่างไร ? ใครนำมาให้ ? หรือจำเป็นแค่ไหนที่ต้องใช้เครื่องไฟอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ? </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p></p><p>เหตุที่ต้องไต่ถามเช่นนั้น เพราะเกรงว่าการที่เครื่องเสียงเหล่านั้นต้องติดตั้งอยู่ในค่ายเป็นเวลาหลายคืนหลายวันเช่นนี้ ย่อมหมายถึง “ค่าใช้จ่าย” ที่ใครสักคนต้องแบกรับหรือจ่ายไปอย่างไม่จำเป็น และหากชำรุดเสียหายขึ้นมาก็ยิ่งเพิ่มภาระมากขึ้นเท่าตัว หรือถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ควรใช้ในห้วงยามที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น …. </p><p> </p><p>ผมอยากให้นิสิตเรียนรู้วัฒนธรรมการใช้เครื่องไฟ - เครื่องเสียงของชุมชนบ้าง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในเทศกาล หรือวันพิเศษของชุมชนทั้งงานบุญงานทาน งานมงคล หรือแม้แต่งานไม่มงคลก็ด้วยเช่นกัน </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">การได้มีโอกาสเที่ยวท่องในค่ายต่าง ๆ ในช่วงนี้ ด้วยความที่ผมมีพื้นเพชีวิตเป็นคนบ้านนอกขอบชนบท เมื่อสัญจรมาพบเครื่องเสียงชุดใหญ่ตั้งแช่อยู่ในพื้นที่การออกค่ายและกระหึ่มเสียงทำหน้าที่เบ็ดเตล็ดแทน “เสียงนกหวีด” เช่นนี้ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะสะท้อนรำลึกถึงบรรยากาศของเสียงนกหวีดเมื่อครั้งที่ตนเองเคยเป็นชาวค่ายเมื่อหลายปีที่แล้ว </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงห้วงชีวิตและบรรยากาศที่ตนเองเคยวิ่งเล่นในครัวเรือน – เฮือนงานแต่งงานที่สนุกเร้าใจ หรือแม้แต่ชวนเศร้าสลดหดหู่ในครัวเรือน - เฮือนงานศพ ตลอดจนงานบุญกฐินและผ้าป่าที่ขับเสียงอันดังด้วยเครื่องไฟ, เครื่องเสียงชุดใหญ่ </p><p> </p><p> </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">แด่ นกหวีด ..เสียงคุ้นเคยของชาวค่ายที่กำลังเลือนหายไป</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">21 มีนา 50</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">พิธีมอบค่าย , ปลูกต้นกล้วย</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">สกลนคร</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>
สวัสดีครับ
ก่อนอื่นอาจจะต้องบอกเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งคือ
"วัฒนธรรมใดที่อยู่นิ่ง ๆ หมายความว่า วัฒนธรรมนั้นได้ตายแล้ว"
ผมในฐานะที่ก็เคยได้เป็นผู้นำค่ายอาสามาก่อน แต่ไม่ทัน "นกหวีด" ผมอาจจะอยู่ในยุคถัดมาคือ "โทรโข่ง" เครื่องให้ความบันเทิงก็เป็น"กลอง" และเรื่อยมาจนถึงยุค "เครื่องไฟ" ที่ใช้ทุก ๆ อย่าง
ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่แผ่นดินได้รับคำตอบของเรื่องค่าใช้จ่ายของเครื่องไฟว่าอย่างไร
แต่สำหรับค่ายที่ผมทำนั้น "ไม่มีค่าใช้จ่าย" หรือไม่ก็เป็นเพียงการตอบแทนของชุมชน เป็นบางครั้งที่ชุมชนพอจะหาได้ ในบางแห่งที่หมู่บ้านที่ออกค่ายไม่มี ก็ใช้เท่าที่มี(คือ ไม่มี)
ผมยังจำได้ว่า ในตอนที่ได้ร่วมค่ายอาสาใหม่ ๆ ไปยังหมู่บ้านหนึ่งที่มีเพียงรถไฟร์วิลเท่านั้นที่ไปได้ และมีเพียงรถเข้าตำบลเพียงวันละสองครั้ง(ยังจำได้ดีเลย) ต้องเข้าไปเตรียมค่ายอยู่สามวันก่อนที่ค่ายจริงๆ จะเริ่มขึ้น(ค่ายหลัง ๆ ก็สบายขึ้น....เหนื่อยแล้ว...)
ในค่ายที่นั่น ไม่มีอะไรที่คนเมืองเรามี แต่เขามีสิ่งที่คนเมืองต้องการนั่นก็คือ ธรรมชาติ น้ำใจ การช่วยเหลือกัน การแบ่งปัน สุขภาพจิตที่ดี ฯลฯ
ท้ายที่สุด เราคงรั้งเหตุการณ์เหล่านั้นไว้ให้เหมือนเดิมไม่ได้(แต่อยากให้ใจคนเราเหมือนเดิม)
ขอบคุณครับ สำหรับบันทึกที่ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวแบบนี้อีกที
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
นั่งคิดถึงตอนออกค่ายเมื่อ 27 ปีที่แล้ว ( แก่พอตัวอิ อิ ) จำได้ว้ใช้นกหวีดเป็นสัญญาณเรียกค่ายเหมือนกันค่ะ และใช้กีต้าร์ เมาท์ออร์แกน ไมโครโฟน กลองเป็นเครื่องมือในการให้ความบันเทิงชนิดต่างๆ..
วันวาร..ที่ผ่านเลย ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ( คนแก่มักจะคร่ำครวญถึงความหลัง ) ..ในตอนนี้เวลาเบิร์ดจัดค่ายเด็กที่ ชร.ก็ยังใช้นกหวีดอยู่ค่ะ ได้ผลชะงัดแถมไม่ต้องเหนื่อยมากด้วย..
ตอนนี้ชาวค่ายใช้ไมโครโฟนแทนนกหวีดเกือบทั้งนั้น...และมีเครื่องเสียงที่ชาวบ้านจัดมาไว้ให้นิสิตได้ใช้ทั้งเพื่อความบันเทิง, สื่อสารทั่วไปและใช้ในกิจกรรมรอบกองไฟ
บางที่, ชาวบ้าน หรือโรงเรียนก็เช่ามา แต่บางที่ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ประเด็นที่ผมคิดก็คือ...ความจำเป็นที่แท้จริงว่าควรใช้อย่างไรและเมื่อไหร่เป็นสำคัญ
วิถีชุมชนก็เปลี่ยนไป , เครื่องเสียงทุกวันนี้กลายไปเป็นปัจจัยบันเทิงในครัวเรือนไปแล้วเช่นกัน
ที่ผมชวนนิสิตคุยเรื่องนี้ ก็อยากให้เขาเข้าใจวิถีวัฒนธรรมอดีตและปัจจุบันของชุมชนเป็นที่ตั้งเท่านั้นเองครับ !
..
ดีใจมากเลยครับที่บันทึกนี้เชื่อมโยงคนค่ายมาแลกเปลี่ยนกันจนได้...และเรื่องที่คุณอุทัยเล่าก็ชัดเจนและสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมค่ายที่ชัดเจนมาก
เรื่องเครื่องเสียง. ส่วนใหญ่ชุมชนจัดหามาให้ มีบ้างทั้งที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่บางที่ (ผมเชื่อว่า) อาจจะมีบ้างที่เช่ามา แต่ชุมชนก็ไม่แจ้งกับนิสิต เพราะเกรงใจ และที่สำคัญเป็น "น้ำใจ" ของชาวบ้านที่มีต่อชาวค่าย
แต่ที่ผมชวนนิสิตขบคุยนั้นก็เพราะว่าอยากให้เขาคำนึงถึงความจำเป็นและเข้าใจวิถีทางวัฒนธรรมชุมชนด้วยเช่นกัน....
...............
ในค่ายที่นั่น ไม่มีอะไรที่คนเมืองเรามี แต่เขามีสิ่งที่คนเมืองต้องการนั่นก็คือ ธรรมชาติ น้ำใจ การช่วยเหลือกัน การแบ่งปัน สุขภาพจิตที่ดี ฯลฯ ...(สิ่งเหล่านี้พบเสมอเมื่ออกค่าย)
ขอบคุณอีกครั้ง นะครับ...และเอาภาพเครื่องดนตรีของชาวค่ายมาฝาก
...เป็นธรรมดาครับ..คนที่อายุล่วงถึงปานนี้ต้องบ่นเพ้อถึงอดีตเป็นธรรมดา (ยิ้ม ๆ )
นี่คือภาพวงมโหรี (ประยุกต์) ของชาวค่ายที่คิดค้นเน้นสนุกเป็นหลัก ซึ่งเกิดขึ้นที่ค่ายของชมรมอาสาฯ
เก็บมาฝาก....นะครับ
สวัสดีค่ะ คุณแผ่นดิน
อ่านบันทึกนี้ของคุณแผ่นดินแล้ว ทำให้พี่หวนนึกถึงสมัยตอนเรียนปริญญาตรี ซึ่งสมัยนั้น ทำกิจกรรมเป็นบ้าเป็นหลัง ออกค่ายเป็นว่าเล่น แต่ก็ไม่เสียการเรียนนะคะ
สมัยนั้น ในการออกค่ายทุกอย่างต้องพึ่งพิงธรรมชาติซะส่วนใหญ่ ชาวค่ายต้องตักน้ำใช้เอง
อาบน้ำจากบ่ออาบน้ำ ไม่มีห้องน้ำ มีเพียงห้องสุขาชั่วคราวเท่านั้น
วันหนึ่งอาบน้ำแค่ครั้งเดียว คือ กลางคืน ดึก ๆ
อุปกรณ์ อาหารการกิน ก็ต้องดูแลตัวเอง จัดหา จัดทำเอง ฟืนไฟ ก็ไม่มี ค่ำแล้ว เป็นต้องสุมไฟ จุดตะเกียงน้ำมัน นั่งล้อมวงคุยกันเรื่องงาน นั่งเล่นกีตาร์ นั่งสันทนาการกัน
อาจจะเป็นเพราะสมัยนี้ ทุกอย่างเปี๊ยนไป๋ แทบทุกหมู่บ้าน จะมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมมูล ทำให้การไปออกค่ายอาสาของนักศึกษาในแต่ละครั้ง ยังมีความสะดวกสบายแฝงอยู่ ทำให้เด็ก ๆ ขาดในส่วนของการฝึกการใช้ชีวิตแบบชนบท ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างออกค่าย ก็จะขาดหายไปด้วย
ไม่เหมือนสมัยก่อน
สวัสดีครับ คุณเลี้ยวเฮียง
ขอบคุณมากครับที่นำประสบการณ์ตรงมาแลกเปลี่ยนได้อย่างชัดเจนมีประโยชน์มาก
ทุกวันนี้เสื่อ (สาด) ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชาวค่ายเสมอ
กรณีเครื่องเสียงก็เช่นกัน ผมก็มองถึงความจำเป็นและกาละของการใช้เป็นหัวใจหลัก และตามที่คุณชอเลี้ยวเฮียงได้กล่าวถึงลักษณะการใช้ก็ถือว่าถูกต้อและเหมาะสมยิ่งแล้ว รวมถึงความมีน้ำใจ หรือความรับผิดชอบที่ต้องจ่ายค่าบำรุงให้กับชาวบ้านบ้าง
และประโยคเหล่านี้ของคุณฯ ถือเป็นข้อแนะนำที่มีประโยคอย่างยิ่ง กรณีการเปิดเครื่องเสียงโดยไม่จำเป็นแสดงความครึกครื้นจนเกินไป...ชวนให้ชาวบ้านคิดว่า ชาวค่ายนี้มาเที่ยวเล่นสนุกสนานหรืออย่างไร..เป็นสิ่งที่ควรระวังครับ...ดังนั้น ไม่ว่าในค่ายหรือนอกค่ายแล้ว การใช้เสียงเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังว่าจะเป็นการรบกวนคนอื่น
และนี่คือ ดนตรีที่ไม่ต้องลงทุนครับ
คุณแผ่นดิน
คุณแผ่นดิน
ข้อเขียนของคุณปลุกวิญญาณอดีตชาวค่ายให้ตื่นไปตามๆกัน พี่เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยออกค่าย เมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้วไม่เคยรู้เลยว่าชาวค่ายเดี๋ยวนี้ไม่ใช้นกหวีดเสียแล้ว เสียดายนะ
สวัสดีครับ อ.ย่ามแดง
เสียงนกหวีดยังทรงอานุภาพเสมอนะครับ...และหลายกิจกรรม หรือหลายภาคส่วนก็ยังมีนกหวีดเป็นตัวขับเคลื่อน
เจตนาผมไม่มีอะไรมากหนอกครับ ก็แค่รำลึกบรรยากาศเก่า ๆ แก่ ๆ เท่านั้นเอง และเพียงต้องการสะกิดเตือน หรือสะท้อนปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงในทางวัฒนธรรมกิจกรรมบ้าง...บนพื้นฐานของการเข้าใจและยอมรับในเงื่อนไขของยุคสมัย
หากแต่ไม่ลืมที่จะให้คำนึงถึง "ความจำเป็น" ของบางสิ่งบางอย่าง และสิ่งเหล่านั้นจะต้องไม่ไปฝืนวัฒนธรรมของชุมชนนักก็เท่านั้นเอง
ขอบคุณนะครับ....ที่ทำให้รู้ว่าใน G2K มีอดีตคนค่ายอยู่มากมายปานนี้
สภาพสังคมเปลี่ยนไปค่ะ หากเราจะตั้งใจสังเกตุดี ๆ ละก็ยุคสมัยเปลี่ยไนปจริง ๆ สมัยที่พี่นกเป็นนักเรียนและต้องออกค่ายพักแรม นักเรียนต้องหิ้วกระเป๋า เสื้อผ้า น้ำ และอาหารเอง และเดินทางไกลมากกว่า 10 กิโล มีกิจกรรมกลางคืนมีงานรอบกองไฟ มีแค่กีต้าร์ตัวหนึ่งกับเสียงตีเกาะเคาะไม้ เคาะจานข้าวแถวนั้น แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไป นักเรียนไม่ต้องหิ้วกระเป๋า ไม่ต้องแบกสัมภาระ มีรถรับส่งถึงสถานที่เข้าค่าย กิจกรรมกลางคืนก็กระหึ่มด้วยเสียงเครื่องเสียงน่าหนวกหู กิจกรรมบางอย่างที่น่าสืบสานหายไปเหลือแต่เพียง เสียงเฮฮาในวงเหล้า คิด ๆ แล้วก็น่าเสียใจนะคะ แต่นั่นแหละคะมันเป็นวัฒนธรรมของต่างชาติที่เข้ามา และคนในประเทศไทยเราต่างหากที่นำวัฒนธรรมมาวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนในเข้ากับบ้านเมืองเรา กระทรวงวัฒนธรรมหายไปไหน เฮ้อ..บ่นเป็นคนแก่อีกแล้วซิเรา....
พี่แป๊ด - รัตติยา ครับ
"นกหวีดก็ใช้เพียงกิจกรรมกับเด็ก เพราะบางกิจกรรมต้องให้สัญญาณในการเริ่มและหยุด...เช่น การเล่นเกมส์เป็นต้น... " เพราะเป็นรุ่นน้องที่ไม่ห่างกันและเคยได้ร่วมค่ายกับท่าน
บันทึกนี้ใครเข้ามาแลกเปลี่ยน ก็แสดงว่า แก่ ๆ กันทั้งนั้น เพราะแต่ละคนก็บอกเล่าเรื่องเก่าย้อนอดีตทั้งนั้นเลย (555...5)
... ผมก็สงสัยอยู่นะครับว่านกหวีดที่อาจารย์ใช้ในค่ายที่เม็กดำเป็นของใครกันแน่...แต่ตอนนี้ก็รู้และโอเคแล้วครับ..
ใกล้กันยายนแล้วนา...ใกล้ได้ไปต่างประเทศแล้วสิครับ !
... ทุกวันนี้สังคมเปลี่ยนไป วิถีค่ายก็เปลี่ยนไปตามสภาพการณ์ของสังคม..บันทึกนี้จึงเป็นแต่ข้อสังเกตเล็ก ๆ และการชวนรำลึกถึงอดีตกาลในความทรงจำของคนค่าย
กระนั้นที่เสนอแนวคิดที่ว่า "มาเคาะระฆังใส่ไมค์" นั้นผมก็เห็นด้วย...คลาสสิคมากครับ
เรียนคุณแผ่นดินค่ะ
สมัยพี่นะ ห้องน้ำหนะฝากั้น ไม่มีหรอกค่ะ โล่งทุกฝาเลยค่ะ อาบเอาข้างบ่อเลยค่ะ ถึงได้ต้องรอค่ำ ๆ ไงค่ะ
น้อง ๆ ชาวค่าย สาว ๆ หน่อย ก็จะมีพี่ ๆ หนุ่ม ๆ ชาวค่าย คอยตักน้ำให้ ส่วนพี่ ๆ ชาวค่าย ที่แก่พรรษาแล้ว ก็คงต้องใช้ "หมาตักน้ำ" เอง ตัวใคร ตัวมันค่ะ
สวัสดีครับ ...พี่ชุมศรี (ขออนุญาตเรียกเช่นนี้นะครับ)
.... บางค่ายก็ยังพอมีนกหวีดให้พบเห็นบ้าง...แต่หลายค่ายก็ไม่มีแล้วครับ ยิ่งค่ายที่เกี่ยวกับการแสดง การอบรม ฯลฯ ก็ยิ่งใช้เครื่องเสียงเป็นกระบอกเสียง
แต่อย่างว่าครับ...มันเป็นยุคสมัยที่ผันเปลี่ยนไป แต่บางทีผมเห็นว่าไม่จำเป็นเลยก็มีเหมือนกัน...นะครับ
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีครับ
ผมดีใจเป็นที่สุดที่บันทึกนี้ได้ชวนให้หลายท่านหวนคิดถึงชีวิตที่เคยเป็น "คนค่าย" ...
ทุกวันนี้สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ถึงแม้จะเป็นสังคมชนบทแค่ไหน ก็ยังมีกลิ่นอายความทันสมัยไปห่มคลุมอยู่บ้าง สิ่งเหล่านี้จึงมีบทบาทเข้าไปซึมลึกอยู่ในวิถีชีวิตของชุมชน
และเมื่อนิสิตไปออกค่าย จึงไม่แปลกที่จะพบเห็นสิ่งเหล่านี้อีกครั้งในชุมชน ...สังคมเปลี่ยน วิถีค่ายก็เปลี่ยนไปเช่นกันครับ
ขอบคุณครับ
ผมก็นั่งนึก นั่งงงอยู่เป็นนานว่า จริงเหรอ..คุณเบิร์ดจะมีอายุปานนั้นไปได้
โล่งใจครับ...ที่แท้ก็จำผิด ...แหม ผิดไปตั้ง 10 ปีเลยนะนั่น
คนที่รำลึกความหลัง คือคน (เริ่ม) แก่ ใช่ไหมครับ...ถ้าใช่ ผมก็เช่นกัน!
ขอบคุณครับ......ขอบคุณมาก ๆ
พี่แป๊ดครับ...
ที่ว่ารุ่นพี่ชาวค่าย แก่ ๆ นั้น...หมายถึงใครครับ อย่าบอกนะว่า พี่แป๊ด
ไม่หรอก ..ผมไม่เชื่อ ! ยังไงก็ไม่เชื่อ....ฮือ ๆ