เดือนมีนาคม 2550 กรรมาธิการวิสามัญรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ประจำจังหวัดชุมพร เปิดเวที สานเสวนา ทั้งหมด 11 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ |
วัน-เดือน-ปี |
สถานที่ |
1 |
7 มีนาคม 2550 |
ศาลาประชาคม อ.หลังสวน |
2 |
10 มีนาคม 2550 |
ห้องประชุมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชุมพร เขต 1 |
เป็นการรับฟังความคิดเห็นสำหรับคณะนักศึกษา หลักสูตร MBA มหาวิทยาลัยรามคำแหง |
||
3 |
13 มีนาคม 2550 |
ห้องโสตทัศนศึกษา โรงเรียนสวีวิทยา อ.สวี |
4 |
13 มีนาคม 2550 |
สวนสาธารณะ “อาภากร” อ.เมือง |
5 |
14 มีนาคม 2550 |
หอประชุม โรงเรียนพะโต๊ะวิทยา อ.พะโต๊ะ |
6 |
15 มีนาคม 2550 |
ศาลาประชาคม อ.ทุ่งตะโก |
7 |
20 มีนาคม 2550 |
แก่งเพการีสอร์ท อ.ท่าแซะ |
8 |
21 มีนาคม 2550 |
ศาลาประชาคม อ.ละแม |
9 |
21 มีนาคม 2550 |
ศาลาประชาคม อ.ปะทิว |
10 |
21 มีนาคม 2550 |
โรงเรียนชุมชนมาบอำมฤต อ.ปะทิว |
11 |
30 มีนาคม 2550 |
โรงแรมชุมพรการ์เดนส์ อ.เมือง |
ผมได้เดินทางไปทำหน้าที่ วิทยากรกระบวนการ ในเวที สานเสวนา เกือบครบทุกเวที ขาดไปเพียง 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกวันที่ 7 มีนาคม 2550 เนื่องจากติดภารกิจที่ไม่สามารถมอบหมายให้ใครทำหน้าที่แทนได้ เพราะต้องทำหน้าที่สรรหาว่าที่คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดชุมพร และครั้งที่ 9 เพราะต้องเดินสายไปช่วยที่ อ.ละแม ซึ่งจัดในวันและเวลาเดียวกัน
ความคิดเห็นที่ได้รับจากเวทีต่าง ๆ มีคุณภาพดีเป็นที่น่าพอใจ และสิ่งที่ผมรู้สึกดีเป็นพิเศษก็คือ พฤติกรรมของชาวชุมพรที่เข้าร่วมในทุกเวที แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เราเข้าใจในรูปแบบและกระบวนการ สานเสวนา ที่นำมาใช้ในครั้งนี้
เพื่อเป็นการต่อยอดให้มีการนำไปใช้ให้แพร่หลายยิ่งขึ้น ผมจึงขอประมวลสาระสำคัญของ สานเสวนา ดังนี้
(1) สานเสวนา คืออะไร ?
สานเสวนา หมายถึง กระบวนการกลุ่มในการจัดการกับความขัดแย้งที่อาศัยบุคคลที่สามารถทำหน้าที่ วิทยากรกระบวนการ ช่วยให้เกิดการพูดคุยสนทนากันระหว่างกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีความตึงเครียดทางอารมณ์เป็นส่วนประกอบใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่จะลดอคติอันเกิดจากผลของความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้เข้าร่วมกระบวนการ
กระบวนการ สานเสวนา เปิดโอกาสให้บุคคลหรือกลุ่มต่างๆ ที่มีความคิด, ความเชื่อ, จุดยืนต่างกัน มีโอกาสพบปะพูดคุยแสดงความรู้สึก ฟังเงื่อนไขปัจจัยของกันและกันอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เกิดความเข้าใจเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น โดยที่สองฝ่ายยังมีจุดยืนที่ต่างกันได้ แต่การฟังเพื่อเห็นอกเห็นใจและเข้าใจกันนั้นต้องมองข้าม “กรอบอ้างอิง” ของตนออกไป เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ พัฒนาความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจสถานการณ์ของเพื่อนที่เชื่อต่างไปจากตน กระทั่งอาจเปลี่ยนแปลงความเข้าใจผิด ความขัดแย้ง ไปเป็นความเข้าใจและเห็นใจกันมากขึ้น
สานเสวนา จึงเป็นกระบวนการสื่อความหมายและเรียนรู้ เพื่อเข้าใจตนเองและผู้อื่น เป็นการสานความหมายที่เกิดจากการฟังอย่างลึกซึ้ง
- ฟังตัวเอง
- ฟังผู้อื่น
- ฟังความเงียบ
- ฟังผลของการฟังตนเองและผู้อื่น
- เพื่อหาความหมายด้วยกัน
- เพื่อการมีส่วนร่วม
- เพื่อให้เกิดการยึดเหนี่ยวที่แท้จริง
(2) สานเสวนาทำได้ 3 ระดับ
- ระดับคำสอน
- ระดับประสบการณ์
- ระดับชีวิตที่ร่วมกันแก้ปัญหา
เนื่องจาก สานเสวนา ทำได้หลายระดับ ทุกคนจึงสามารถร่วม สานเสวนา ได้ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ชาวบ้าน ทหาร ตำรวจ นักวิชาการ นักการศาสนา นักจัดรายการวิทยุ ฯลฯ
(3) กติกาเบื้องต้นของการสานเสวนา
-ไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่ใช่การ สานเสวนา เพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ชอบ หรือมีเป้าหมายแอบแฝง
-ปฏิสัมพันธ์กันอย่างมนุษย์ ปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเรา
- เท่าเทียม ทั้งสองฝ่ายต่าง ให้และรับ หลีกเลี่ยงการครอบงำความคิด ระวังความรู้สึกว่า “ฉันเหนือกว่า” เตือนตนเองเสมอว่า ไม่มีใครด้อยกว่าหรือเหนือกว่า ในกระบวนการ สานเสวนา มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
-จุดยืนชัดเจน บอกจุดยืน–ตำแหน่งของตนให้ชัดเจน กล้าที่จะเปิดหู เปิดใจฟังความเห็นที่แตกต่าง
-ไม่ด่วนสรุปและตัดสินผู้อื่น ระวังที่จะไม่ใช้ความเชื่อของเรา วัฒนธรรมของเรา ชาติพันธุ์ของเราไปตัดสินว่าคนอื่น “ผิด” ควรกรองอคติด้วยการฟังอย่าง “ลึกซึ้ง”
-ใจกว้าง รับฟังความคิด ความเชื่อที่แตกต่างในบรรยากาศที่เคารพและเข้าใจ วง สานเสวนา ที่มีคุณธรรมจะสร้างสรรค์บรรยากาศที่ปลอดโปร่ง ทำให้ผู้ร่วม สานเสวนา กล้าวิพากษ์วิจารณ์ความคิด ความเชื่อของตนเองและกลุ่มได้
-ซื่อสัตย์และจริงใจ ทั้งต่อตัวเองและต่อผู้ร่วม สานเสวนา หลีกเลี่ยงการยอมรับแบบ “ขอไปที”
-ไว้วางใจผู้อื่น ผู้อื่นก็มีเหตุผลที่ดีและสามารถหาทางออกที่ดีได้เช่นกัน
-ไม่ปะปนหลักการกับการปฏิบัติ เมื่อผู้อื่นพูดหรือถามเรื่องหลักการ ก็พูดหรือตอบเรื่องหลักการ เมื่อผู้อื่นพูดหรือถามเรื่องการปฏิบัติก็พูดหรือตอบเรื่องการปฏิบัติ
-สานเสวนาไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของทุกปัญหา สานเสวนา เป็นกระบวนการซึ่งต้องใช้เวลาอันเป็นทางเลือกสู่การจัดการปัญหาร่วมกันอย่างเป็นองค์รวม โดยอาศัยทั้งแรงกายและแรงใจของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในเวที สานเสวนา ที่ผ่านมา อ่านแล้วคงจะนึกภาพตามและเข้าใจ ได้มากยิ่งขึ้น สำหรับท่านที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน ครั้งต่อไปอย่าพลาดโอกาสเข้าร่วมนะครับ.
<p> </p>
งานที่ออกมาเข้มข้นด้วยเนื้อหาสาระเพราะผู้ทำมีความมานะ เสีสละ ทุ่มเท แรงการ แรงใจ และกำลังสมอง ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นคือ คุณไอศูรย์คะ ดีใจที่มีต้นแบบดีดีๆอย่างท่านนะคะ
สาวคะ
แวะมาเยี่ยมเยียนเหมือนกันค่ะ ได้มีโอกาสเข้าร่วมการสานเสวนาที่สวนสาธารณะอาภากรค่ะ น่าสนใจดีค่ะ
อยากจะแสดงความคิดเห็นผ่านทางนี้เหมือนกันแต่ช่วงนี้ยุ่งมากค่ะ งานของตัวเองยังไม่ไปถึงไหนๆ เลย จึงขอแค่ผ่านมาทักทายก่อนนะคะ ถ้าเจอกัน คงได้พูดคุย ขอความรู้บ้างนะคะ
รักษาสุขภาพนะคะ
ฐะปะนีย์ (ผึ้ง) นปร.รุ่น2
ขอขอบคุณ อ.ลูกหว้า, น้องสาว แสงนภา และหนูผึ้ง ที่แวะเข้ามาทักทายครับ
ผศ.ดร.ปาริชาด สุวรรณบุบผา หัวหน้าโครงการสานเสวนา ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กรุณาเขียน E-Mail ถึงผม เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2550 หลังจากที่ได้อ่านบทความนี้ มีเนื้อความว่า
ขอบพระคุณครับ
ไอศูรย์ ภาษยะวรรณ์
นพ.วันชัย ออกมาห้ามไม่ให้ใช้ความรุนแรงเป็นหลัก หมายความว่า ห้ามรัฐบาลจับกุมพันธมิตร ไม่ว่าพันธมิตรกำลังทำผิดกฏหมายรุนแรงอยู่อย่างไร เพื่อประกันความปลอดภัยให้พันธมิตรขับไล่ใครก็ได้ด่าทอมูลนิธินายหลวงได้ทุกคน รัฐจะต้องยอมทุกเรื่องไป เพราะปัญหารุนแรงคือปัญหาคนที่ทำผิดกฏหมาย จะใช้ถนนรับเสด็จพระราชดำเนิน ก็ต้องขออนุญาตพันธมิตรก่อน แถมไม่อนุญาติอีก พันธมิตรต้องเป็นใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดในแผ่นดินนี้ ถ้าหากไม่ให้ใช้ความรุนแรง ใครมาเป็นรัฐบาลจะต้องถูกพวกพันธมิตรสั่งให้ทำอะไรก็ได้ ถ้าไม่ได้จะยึดสถานที่สำคัญแล้วห้ามจับกุม เพราะจับกุมเมื่อไรถือว่าใช้ความรุนแรง ใช่หรือไม่
สวัสดีครับพี่ไอศูรย์ ผมน้องเสือครับ ผมคีย์คำ "สานเสวนา" ลง google เลยพบบทความของพี่ เลยได้รู้ว่าพี่ทำกิจกรรมด้านนี้ด้วย
ผมอยู่ทางสามจังหวัด ได้ยินคำว่าสานเสวนาบ่อยมาก แต่ด้วยภาระมากมายจึงไม่เคยได้สนใจว่ามันคืออะไรกันแน่ ทั้งๆที่รู้สึกว่าเป็นคำที่สวยดี
อีกสองวันผมจะต้องจัดอบอมรมสันติวธีให้กับทาง กศน.ปัตตานี หลักสูตรมีเนื้อหาหลายอย่าง แต่ผมได้รับผิดชอบในส่วนของการสานเสวนา เลยต้องรีบหาข้อมูลเพื่อทำความรู้จักกับสิ่งนี้
จึงได้พบอย่างน่าประหลาดใจว่า "สานเสวนา" ก็คือ Dialogue นั่นเอง ซึ่งการจัดอบรมเรื่องใดอะล็อคนั้นเป็นสิ่งที่ผมทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 แล้ว และในทุกหลักสูตรของผมที่เกี่ยวกับเรื่องการสื่อสาร เรื่องการทำงานอย่างมีส่วนร่วม ผมจะออกแบบหลักสูตรให้มีนเอหาของไดอะล็อคด้วยเสมอ
เพียงแต่ผมไม่เคยใช้คำว่าสานเสวนา ทั้งๆที่ผมเป็นนักเขียนเป็นนักเลงภาษา และพยายามหาทางแปลคำ Dialogue เป็นคำไทยที่สวยๆตลอดมาแต่ก็ไม่เคยได้คำที่เป็นที่พอใจ ใช้ "สนทนาธรรม" บ้าง "สันติสนทนาบ้าง" แต่ส่วนใหญ่ผมจะใช้คำว่าไดอะล็อคโดยตรง
การออกแบบหลักสูตรไดอะล็อคของผมนั้นอาศัยพื้นฐานการเข้าอบรวมกับ อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ เมื่อปี 2545 หลังจากนั้นก็ศึกษาโดยตรงจากหนังสือของเดวิด โบห์ม ผมคิดมาตลอดว่าไดอะล็อคเป็นสิ่งดีมากสำหรับการสร้างสันติในสังคม น่าที่จะมีการเผยแพร่กันมากๆ หารู้ไม่ว่าเขาแพร่หลายกันพอสมควรแล้วในนามของ "สานเสวนา" คนที่คิดคำนี้ช่างคิดได้เก่งจริงๆ
ก็เล่าสู่กันฟังครับ ด้วยความนับถือ
เสือ/ปัตตานี
คิดถึง "เสือ" และ "น้องแก้ม" ครับ
ไอศูรย์ (พี่ต้าน)