วันนี้ผมได้รับ Mail จากเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ผันตัวเองไปเป็น "ตัวแทนขายประกันชีวิต" แบบ Part time ด้วยความปรารถนาดีของเพื่อนคนนี้ได้เสนอขายประกันชีวิต เพราะเห็นว่า "เป็นหลักประกัน" หนึ่งของการดำเนินชีวิต เพราะนอกจากจะ "มีค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บป่วย" "เสียชีวิต" "ค่าชดเชยการทำงาน" แล้วยัง "มีเงินเก็บ" เมื่ออายุ 65 ปีด้วย
เป็นข้อเสนอที่ดีทีเดียวสำหรับคนที่ยังไม่มีหลักประกันอะไรมากมายเหมือนผม
แต่ทำให้อดนึกไม่ได้ว่า จริงๆ แล้ว "หลักประกันสุขภาพ" ของเราในฐานะประชาชนคนทั่วไปเนี่ย จะมีความจำเป็นอยู่มากน้อยระดับใด และที่สำคัญ ถ้าอยากจะประกันโดย "ไม่ต้องการที่จะเจ็บป่วย" หรือ "เจ็บป่วยน้อยที่สุด และเข้ารับการรักษาด้วยความจำเป็น" ผมต้อลงทุนซื้อประกันกับเพื่อนผมหรือเปล่า
ท่านใดมีคำตอบ หรือขยายความ "หลักประกันสุขภาพ" ให้ได้ทราบบ้าง ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ
ด้ยความเคารพรัก
นั่นซีครับ ผมก็สงสัยเหมือนกัน
ประกันแบบรวมเรื่องการออมไว้ด้วย กับแบบที่เราแยกออมเอง (ทำแผนเอง) อย่างไหนดีกว่าครับ แต่ละแบบข้อดี ขัอเสียอย่างไร
ผมเคยเขียนเรื่องการออมไว้ ๒ ครั้ง คือ
ออมแล้วไม่อด จดแล้วไม่จน (http://gotoknow.org/blog/surachetv/81935)
และ เงินออมไม่ใช่เงินได้ลบด้วยเงินจ่าย (http://gotoknow.org/blog/surachetv/82000)
ขอบคุณครับที่ยกประเด็นนี้มาพูดคุย...
ผมเองเชื่อว่า
การประกันในรูปการออม อาจดีกับคนที่ไม่มีนิสัยการออมและการลงทุน
แต่อาจไม่มีประโยชน์สำหรับผู้มีวินัยการออม และมีวิธีการลงทุนที่เหมาะกับตัวเองอยู่แล้ว
แต่การประกันก็มีความเสี่ยงไม่แพ้การลงทุน
ความเสี่ยงที่ว่าคือความเสี่ยงของบริษัทที่เราไปทำประกันกับเขา ซึ่งเสี่ยงพอ ๆ กับการซื้อหุ้นของบริษัทนั้น หรือซื้อหุ้นกู้ของบริษัทนั้น
ซื้อประกันสุขภาพ เป็นเงื่อนไขเฉพาะตัว เพราะในยุคปัจจุบัน อาจดูเกินจำเป็น แต่ถ้าจะซื้อความสะดวกในกรณีฉุกเฉินและหาสัดส่วนการจ่ายที่เหมาะกับตัวเองได้ ประกันสุขภาพก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่จะคุ้มหรือไม่ ต้องดูเงื่อนไขเฉพาะตัว
ส่วนเรื่องของนโยบาย เป็นเรื่องการเมือง เปลี่ยนกันได้ ก็ต้องนำประเด็นนี้มาร่วมพิจารณาความเสี่ยงด้วย ว่าอนาคตอีกนับสิบ ๆ ปีข้างหน้า อาจมีการเปลี่ยนนโยบายการรักษาพยาบาลก็ได้ ต้องคิดเผื่อตรงนั้นไว้สักนิดครับ
ขอบคุณสำหรับทุกข้อมูลครับ.....
หลังจากที่ผมได้รับการติดต่อ ผมเองก็ติดต่อเพื่อกลับ และขอซื้อประกันที่มีเงื่อนไข "การตรวจสุขภาพประจำปี" เพราะผมคิดว่าน่าจะสำคัญมากกว่าการมีประกันแล้วปล่อยสุขภาพ เพราะคิดว่ามีหลักประกันที่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลครั้งละมากๆ เข้าโรงพยาบาลเอกชนดีๆ ได้ ซึ่งแปลกมากที่เพื่อนบอกว่าไม่มี จนผมต้องหาคำตอบต่อโดยการคุยกับหัวหน้าโซน ของบริษัท ซึ่งคำตอบที่ผมได้รับไม่ผิด คือ ทุกบริษัทไม่มีประกันที่มีการให้ตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งผมเองก็งงมากๆ การ "ประกันสุขภาพ" ตามแนวคิดก็น่าจะเป็นหลักของการไม่เจ็บป่วย มากกว่าเจ็บป่วย หรือตายแล้วค่อยเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ คำตอบนี้ไม่เท่าไหร่ครับ ด้วยความเป็นนักสุขภาพชุมชน ผมคุยกับตัวแขนขายประกันอยู่นานพอสมควร จนรู้จักกันระดับหนึ่ง ก็เลยพูดกันตรงไปตรงมา พี่เขาบอกต่อว่าเหตุผลที่ไม่มีการจ่ายค่าตรวจสุขภาพประจำปีเพราะ "ไม่คุ้มทุน" ในเชิงของธุรกิจ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เป็นธรรมดาของการแสวงหากำไร แต่ก็ยังสงสัยในหลายๆ ประเด็นเกี่ยวกับประกันชีวิต ซึ่งคิดว่าคงต้องหาคำตอบต่อไป แล้วจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันต่อไปครับ
ด้วยรักและเคารพ
ในฐานะที่เป็นตัวแทนอยู่ของแสดงความคิดเห็นสักเล็กน้อยนะคะ คนเรามี 3 สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ 1.ถ้าเราอายุยืน 2.ถ้าเราอายุสั้น 3.เจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุหรือทุพพลภาพ ถ้าเราเกิดอายืนและไม่มีการเก็บออมไว้อย่างเพียงพอ คุณคิดว่าชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไร คนเราส่วนใหญ่เกษียณการทำงานตอนอายุ 60 ปี และอายุเฉลี่ยของคนไทยก็ประมาณอายุ 80 ปี หลังจากเกษียณแล้วคุณต้องยอมรับว่ารายได้ของคุณไม่มีเข้ามาแล้ว แต่คุณยังต้องมีรายจ่ายอยู่ทุกวันถึง 20 ปี ค่าใช้จ่ายที่มีแน่นอนอยู่แล้วคือค่าอาหาร นี่ยังไม่รวมในเรื่องของค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกเช่นยารักษาโรค เอาเป็นว่าลองคิดเล่นๆดูแค่ค่าอาหารถ้าคุณกินแค่วันละ 100 บาท 20 ปีเป็นเท่าไหร่ คุณมีเงินจำนวนนี้อยู่ในบัญชีแล้วหรือยัง เชือได้ว่าคงยังไม่มี... 2.ถ้าคุณเกิดอายุสั้น ก็อาจโชคดีสำหรับคุณ แต่คนข้างหลังคุณหล่ะจะเป็นยังไง ถ้าคุณมีลูกเล็กที่ต้องดูแลคุณคิดว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลคนหนึ่งคนจบจนปริญญาต้องใช้เงินเท่าไหร่ และแน่นอนว่าเงินจำนวนนั้นก็คงยังไม่อยู่ในบัญชี เชื่อได้ว่าพ่อ แม่ทุกคนคงอยากเห็นลูกเรียนจบสูงๆ มีของเล่นดีๆ มีเสื้อผ้าดีๆใส่ แต่ถ้าว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นกับคุณ คุณคิดว่าลูกของคุณจะเป็นอย่างไร ถ้ารายได้ทั้งหมดมาจากคุณคนเดียว และ 3 ถ้าเกิดอุบัติเหตุจนทุพพลภาพคุณคิดว่าครอบครัวคุณจะเป็นอย่างไร... ลองไปคิดเล่นๆดูนะคะ