บทบรรณาธิการของ นสพ. เดอะเนชั่น ฉบับวันเสาร์ที่ ๒๔ ก.พ. ๕๐ เรื่อง Education Reforms must continue ถูกใจผมจริงๆ
โดยเฉพาะข้อวิพากษ์ว่า การปฏิรูปการศึกษาในช่วง ๗ ปีที่ผ่านมาเป็นการปฏิรูปตัวรูปแบบ (form) แต่ล้มเหลวในการปฏิรูปสาระ (substance) ของการศึกษา
บทความนี้ระบุ "สาระ" ที่จะต้องมีการปฏิรูปกันอย่างเอาจริงเอาจัง คือ
ผมมองว่า วงการศึกษาไทยถูกรัฐบาลทักษิณทำลาย โดยแทนที่จะบริหารการศึกษาเพื่อผลลัพธ์ด้านการศึกษาของชาติ รัฐบาลทักษิณกลับบริหารการศึกษา เพื่อเอามาเป็นเครื่องมือสร้างฐานเสียงทางการเมือง
ถ้าคนในวงการศึกษาจะฟื้นศักดิ์ศรีของตนให้คืนมา จะต้องเข้าใจหลุมพรางข้อนี้ และต้องขึ้นมาจากหลุม และช่วยกันกลบหลุมเสีย
ประเทศไทยเราโชคดี ที่ขบวนการชุมชนมีความเข้มแข็งขึ้นทุกวัน โดยมีเครื่องมือสำคัญคือ แผนแม่บทชุมชน ดังนั้น ความเข้มแข็งของชุมชน และกระบวนการแผนแม่บทชุมชนน่าจะเป็น "เครื่องมือ" อย่างหนึ่งในการฟื้นฟูความเข้มแข็งของการบริหารโรงเรียน
ผมมอง (ด้วยความเคารพ) ว่า อุปสรรคใหญ่ที่สุดของการปฏิรูปการศึกษาไทย อยู่ที่ Mental Model ของนักบริหารการศึกษาไทยที่เป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการนั่นเอง ที่ไม่เห็นคุณค่าและเคารพความสามารถของครูดีๆ ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ไม่เข้าไปส่งเสริมและขยายผลจาก success stories เหล่านั้น เอาแต่มุ่งสั่งการให้ดำเนินการโครงการที่ตนคิดขึ้นใหม่เมื่อตนเข้ารับตำแหน่ง
ขออภัยที่แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง
วิจารณ์ พานิช
๒๖ ก.พ. ๕๐
ผมเห็นด้วยครับ เป็นอย่างนี้จริง ๆ
คงต้องถึงเวลา ทำ Education reform อย่างอาจารย์ว่าแล้วละครับ เหมือนอย่างที่ ทำ Health care reform แม้ว่าจะไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ 100 %(จริง ๆ ก็เกิดสมัยรัฐบาลทักษิณเหมือนกัน) แต่ก็เป็นประโยชน์พอสมควร ผมมองเช่นเดียวกันว่า substance ของการศึกษาของประเทศเราล้าหลังมาก แทบไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อ 20 กว่าปีก่อนมากนัก เพียงแต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยยากขึ้นเท่านั้น ผมไม่เห็นว่าเนื้อหาการเรียนของนักเรียนของประเทศเราจะทำให้เด็กมีทักษะในการใช้ชีวิตดีขึ้นแต่ประการใดเลย มิหนำซ้ำ เนื้อหาเน้นความเป็นวิชาการแบบบอกเล่า ไม่ใช่วิชาการจากการวิเคราะห์ ครูและอาจารย์หลายคนครอบงำและปิดกั้นเด็ก เด็กก็เลยเชื่ออะไรง่าย ๆ เหมือนกันที่เชื่อครูอาจารย์(แต่บางอย่างเด็กก็ควรเชื่อครูเช่น ด้านจริยธรรม) ไม่เสริมสร้างปัญญาให้กับเด็ก เด็ก ๆ ก็เลยเรียนเพือทำคะแนนข้อสอบ แต่โง่ในการตัดสินใจแก้ปัญหา อย่างที่เห็น เด็กสอบตก แล้วโดดตึกตาย ผมเรียนแพทย์จบปี 36 ตอนจบผมยังไม่เชื่อเลยว่าผมเป็นหมอแล้วเพราะตอนเรียนอ่านหนังสือเพื่อเอาชนะแค่ข้อสอบ เพิ่งจะรู้สึกว่าเป็นหมอเต็มตัวหลังจากจบแล้ว 3-4 ปี เพราะเริ่มอ่านหนังสือเพื่อช่วยชีวิต เข้าใจความเป็นคนของผู้ป่วย โรงเรียนแพทย์สอนผมแค่แก้ปัญหา clinical problems แต่สอนการแก้ปัญหาเรื่อง Social problems น้อยมาก(หรืออาจจะสอนแต่ผมไม่ยักจะจำได้)หมอปัจจุบันบางส่วนก็เลยไม่ได้เป็นที่พึ่งของชาวบ้านเท่าที่ควร ชอบตรง life time education ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าการศึกษาไม่มีที่สิ้นสุด และการไม่ได้จบปริญญาไม่ได้หมายความว่าไร้การศึกษา ตราบใดที่ความรู้อยู่รอบ ๆ ตัวเราเพียงแต่ว่าเราจะรับมันเข้าไปในชีวิตเราหรือไม่
ผมเคยได้ยินว่ามีโรงเรียนแห่งในภาคอีสานที่นักเรียนเป็นผู้กำหนดเนื้อหาการเรียนเอง เช่น วันนี้เด็ก ๆ อย่างเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงไก่ นักเรียนในห้องจะวางแผนและค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงไก่ ทดลองเลี้ยง และมาสรุปผลผลัดกันนำเสนอให้เพื่อน ๆ ในห้อง โรงเรียนนี้ไม่มีการสอบ เน้นให้นักเรียนรู้จักคิด และจัดการความคิดและความรู้เอง แต่นักเรียนกลับมีความสุข สนุกและรักที่จะเรียน น่าแปลกใจที่เด็กโรงเรียนนี้ไปสอบแข่งขันกลับได้คะแนนดีกว่าโรงเรียนที่สอนตามปกติ มหัศจรรย์มาก
อยากให้การศึกษาไทยเจริญครับ
ขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาให้ข้อมูลครับ