1. กรณีงานก่อสร้างบ้าน : คุณกิตติไม่ใช่นามสกุลนักการเมือง แต่เป็นชื่อสถาปนิคหนุ่มคนหนึ่งที่ผู้เขียนรู้จักเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาที่เชียงใหม่ สมัยนั้นเชียงใหม่กำลังเริ่มจะเติบโต ผู้มีอันจะกินจากกรุงเทพฯเริ่มออกไปซื้อที่ดินและปลูกบ้านแห่งที่สองที่เชียงใหม่กัน เพราะเชียงใหม่คือสวรรค์ของใครหลายคนที่อยากจะมีบ้านอยู่ที่นั่น โดยเฉพาะในฤดูหนาว จะได้สัมผัสวัฒนธรรม ธรรมชาติและความหนาวให้ถึงแก่ใจ
คุณกิตติเรียนจบด้านสถาปัตยกรรมจากมหาวิทยาลัยที่อังกฤษแล้วกลับมาใช้ชีวิตที่เชียงใหม่ ขี่มอเตอร์ไซด์เก่าๆ วิ่งไปตามหมู่บ้านและภูเขา ผู้เขียนรู้จักเขาโดยผ่านเพื่อนคนหนึ่ง เพราะผู้เขียนคิดอยากจะมีบ้านเล็กๆกับเขาบ้างแม้จะยังไม่มีเงินปลูกบ้านแต่ก็อยากจะหาข้อมูล หาความรู้ก่อน คุยกับคุณกิตติแล้วเขาก็บอกว่ามีเวลาว่างไหมไปเที่ยวดูบ้านที่คนมีเงินเขาปลูกกันตามชานเมืองเชียงใหม่สักวัน เราก็ไปด้วยกันในวันต่อมา คุณกิตติกล่าวว่าบ้านไม้สักหลังใหญ่นี้เป็นของเจ้านายคนหนึ่ง “ผมใช้เวลามากกว่า 8 เดือนในการออกแบบ” ผมนึกในใจว่าทำไมออกแบบนานแท้
คุณกิตติกล่าวต่อไปว่าเมื่อเจ้านายตกลงกับผมให้ทำการออกแบบบ้านหลังนี้ ผมเริ่มทำตารางชีวิตกับเจ้านายท่านนั้นทันที เช่น ไปกินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวฟังเพลง ไปท่องเที่ยว ไปร้านหนังสือ นั่งคุยกันถึงชีวิต ความสำเร็จและความล้มเหลวในชีวิตของท่าน และอื่นๆอีกมากมาย เวลาผ่านไป 6 เดือนคุณกิตติเพิ่งจะหยิบดินสอร่างแบบบ้านครับ....สถาปนิคแบบไหน ผมนึก..??? บ้านคือที่พักอาศัย และที่พักอาศัยคือสิ่งที่ควรจะใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดกับชีวิตผู้เป็นเจ้าของและครอบครัว ถูกต้องกับอุปนิสัยมากที่สุด ตอบสนองต่อความพึงใจและไม่พึงใจในสิ่งต่างๆ หากเราจะรู้สิ่งเหล่านี้ก็ต้องใช้ชีวิตกับคนนั้น ครอบครัวนั้นให้มากที่สุด เพื่อถอดรหัสสิ่งเหล่านั้นออกมาแล้วจึงเอาข้อมูลเหล่านี้ไปออกแบบบ้านในฝันของคนนั้น ครอบครัวนั้น ซึ่งแต่ละคนแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน อาจจะคล้ายกัน
ผู้เขียน..ถึงบางอ้อ...เอ่อ ล้ำลึก นี่คือหลักการพื้นฐานธรรมดาที่ไม่ธรรมดา คุณกิตติสอนให้ผู้เขียนคิดถึงการออกแบบงานพัฒนาชุมชน คิดถึงการออกแบบกิจกรรมต่างๆของงานพัฒนาชุมชน รวมทั้งการออกแบบงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆด้วย....บ้านสวยๆตามชานเมืองเชียงใหม่และที่หลบซ่อนในซอยต่างๆที่มีต้นไม้ครึ้มเหล่านั้น จำนวนมากเป็นฝีมือคุณกิตติครับ
2. กรณีงานก่อสร้างถนน : ผู้เขียนเคยร่วมงานการก่อสร้างถนน เกี่ยวกับการยกระดับการออกแบบถนนในประเทศไทย โดยได้รับเงินจาก ADB ไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็ได้เรียนรู้หลายประการโดยเฉพาะความบกพร่องของการออกแบบถนนในประเทศไทย ปัญหาที่เกิดขึ้นและความก้าวหน้าของวงการออกแบบถนนในระดับโลกเขาคิดอะไร ทำอะไรกัน ...ปัญหาที่พบในการออกแบบก็คือ ถนนมีโอกาสทำลายแหล่งวัตถุโบราญที่มีค่าไปเพราะการออกแบบไม่ได้คำนึงสิ่งเหล่านี้ หรือมีคำสั่งให้ทำทั้งๆที่รู้ว่าควรงดเว้น ถนนได้ทำลายวัฒนธรรม วิถีชีวิต ประเพณีท้องถิ่นอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกัน โดยที่นักออกแบบยึดเพียงหลักการทางวิศวกรรมความปลอดภัยเป็นหลัก ไม่ได้หาข้อมูลหรือรับฟังท้องถิ่นว่าถนนที่ก่อสร้างส่งผลกระทบสิ่งใดหรือไม่
เช่น ที่ภาคเหนือแห่งหนึ่งถนนสายใหม่กำลังก่อสร้างผ่านกลางหมู่บ้านทับเส้นทางเก่า โดยเส้นทางใหม่เป็น 4 ช่องทางจราจร และถนนแบบนี้จะต้องมีเกาะกลางถนน และจะมีระยะการเลี้ยวรถกลับทิศในระยะทางที่ยาวไกล ซึ่งเดิมไม่มีเกาะกลางถนน รถ หรือยานพาหนะใดๆก็ไม่เสียเวลาไปเลี้ยวกลับที่ไหน เมื่อหลักการความปลอดภัยบนท้องถนนเป็นหลักการใหญ่ ก็จำเป็นต้องสร้างเกาะกลางถนนแล้วให้มียูเทิน( U-turn) ในระยะทางอีก 1 กิโลเมตร แล้วเรื่องก็เกิดขึ้นจนได้ คือ ชุมชนนั้นมี “ป่าเห้ว” หรือป่าช้าที่เผาศพอยู่ท้ายหมู่บ้าน วัฒนธรรมความเชื่อของท้องถิ่นนั้นถือกันว่า เมื่อเอาศพออกจากบ้านแล้วไม่ให้หันหัวศพกลับเข้ามาทางบ้านอีก เพราะ....... ทีนี้เมื่อมีถนนใหม่ มีเกาะกลางถนนที่มียูเทินอีก 1 กิโลเมตรนั้น เมื่อบ้านที่มีศพอยู่ฝั่งซ้าย แล้วป่าเห้วอยู่ฝั่งขวาจะเอาศพไปเผาก็ต้องใส่ล้อลากเคลื่อนไปยูเทินอีก 1 กิโลเมตรแล้วหันหัวกลับขึ้นมาจึงจะเดินทางเข้าป่าเห้วได้...สิ่งก่อสร้างนี้ขัดกับการปฏิบัติตามประเพณีท้องถิ่น
เป็นเรื่องละทีนี้....ผู้ก่อสร้างถนนยืนยันในหลักการความปลอดภัยบนถนน ชาวบ้านยืนยันในประเพณีท้องถิ่น ...ท่านคิดอย่างไรครับ....เมื่อประเด็นเป็นอย่างที่กล่าว วิศวกรออกแบบ ไม่เคยศึกษาประเพณีท้องถิ่น หรือคิดไม่ถึง..หรือไม่เคยเอาเรื่องแบบนี้ไปทำประชาพิจารณ์กับชุมชน แต่ยืนยันในหลักการทางวิศวกรรมอยู่อย่างเหนียวแน่น... ในที่สุดชาวบ้านทำลายเกาะกลางถนนนั้นและทั้งท้องถิ่นยินดีที่จะเป็นผู้รับผิดชอบพร้อมกันทั้งหมด.... .ในที่สุดงานก่อสร้างถนนต้องยอม
3. ทุกวิชาชีพมีหลักการ: ผู้เขียนเคารพหลักการของทุกวิชาชีพครับ แต่หลักการนั้นจะต้องเหมาะสมกับความหลากหลายของสิ่งที่จะไปกระทบอย่างรอบด้าน สถาปนิก คุณกิตติใช้เวลา หลายเดือนเพื่อศึกษาชีวิต ทัศนคติ ความเชื่อ ความชอบ ไม่ชอบสิ่งต่างๆของผู้ว่าจ้างแล้วจึงเอาข้อมูลนั้นมาออกแบบก่อสร้างบ้านแล้วแบบบ้านที่ออกก็จะตอบสนองความต้องการของผู้ว่าจ้างมากที่สุด ในหลักการเดียวกัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในโครงการต่างๆนั้นได้ใช้เวลาในการเข้าพื้นที่ คุยกับชาวบ้าน สัมผัสพื้นที่จริงและช่วยกันศึกษาอย่างละเอียดรอบด้านแค่ไหน ใช้เวลากับสิ่งนี้หรือไม่ นานแค่ไหนที่เรากวาดเก็บข้อมูลชุมชนไปอย่างครบถ้วนก่อนการออกแบบมาก่อสร้างจริง แม้แต่แบบที่ออกแล้วนำมาประชุมชี้แจงกับชุมชนสนามบ้างหรือไม่ว่าเส้นทางที่ถนนผ่านไปนั้นได้ก่อให้เกิดปัญหาอะไรอีกบ้างไหมก่อนการนำแบบนั้นไปก่อสร้างจริง..
ผู้เขียนเชื่อว่ามีเหตุผลมากมายที่เข้าใจหลักการแบบสถาปนิกคุณกิตติ แต่ทางปฏิบัติทำไม่ได้ หรือทำได้นิดหน่อย การกล่าวอ้างแบบนี้เป็นยาขนานพิเศษที่ใช้ได้ตลอดไป ..แล้วสิ่งก่อสร้างก็เกิดปัญหาตลอดมา รัฐศูนย์เสียงบประมาณมากมายกับสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือใช้ประโยชน์น้อย
ล้ำลึกมากครับ...
งานทุกอาชีพมีคุณค่าถ้าเราทำด้วยจิตวิญญาณ...
พี่บางทรายคะ
ชอบบันทึกนี้ค่ะ
ช่วงนี้ทำวิทยานิพนธ์ โดยใช้ Feminist Ethnography ต้องฝังตัวในพื้นที่ 3 ที่ ถึงตอนนี้ก็เกิอบ 2 ปีแล้วค่ะ ...เฉพาะเก็บข้อมูลนะคะ ใช้เวลามากทีเดียวค่ะ ในการเข้าใจ เพราะว่าพื้นฐานเดิมเป็นคนวิทยาศาสตร์ 1+1 =2 เท่านั้น พอมาเจอข้อมูลที่ขึ้นกับสภาพการณ์และเหตุผลของสังคมที่มีชีวิต..อึ้งเลยค่ะ เห็นช่องว่างระหว่างผู้รับบริการกับผู้ให้บริการที่กว้างออกเรื่อยๆ ถ้ายังขืนให้ผู้บริการจัดบริการไปตามสิ่งที่คิดว่าดี โดยขาดข้อมูลที่ซึมลึกจากผู้รับบริการเนี่ยค่ะ
บันทึกของพี่บางทรายเอามาเทียบเคียงได้อีกหลายๆ เรื่องเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ
ตามมาย้อนอ่านบันทึกครับ
ได้ความรู้มากจริงๆ...การออกแบบยังต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมของที่ตั้งด้วยครับ...นอกเหนือจากความต้องการส่วนบุคคล...
ผมเคยออกแบบบ้านให้ลูกค้าที่ต้องไปคุยเรื่องแบบตอนสามทุ่ม...เพราะต้องรอให้ทุกคนในบ้านกลับมาพร้อมกันครับ...พ่อ แม่ ลูกสามคน...สนุกดีครับ
ถนนเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างเพื่อแบ่งเขตที่ดินเป็นส่วนๆ...ทำให้เกิดปัญหากับสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วยครับ...(กบจะข้ามถนนก็ตายอย่างเดียว)
โอชกร
สวัสดีครับพี่บางทราย
ผมรู้สึกแปลกๆทุกทีที่คนอื่นๆนอกจากนักศึกษาเรียกผมว่าอาจารย์ เพราะมันเป็นคำเรียกที่ดูเป็นทางการ...ไม่รู้จะทำอย่างไร....
ผมก็ทะยอยอ่านงานเขียนของพี่นะครับ...มีประโยชน์ดีทีเดียว...ทำให้เห็นภาพของสังคมได้กว้างขึ้น...มุมมองที่หลากหลายทำให้ได้ความคิดที่ดีๆ...
ขอบคุณครับ...