สวัสดีค่า หายไปเสียนานเพราะว่ามีงานใหญ่ที่คณะ (งาน 10 ปีคณะรวมกับประชุมวิชาการนะคะ) งานผ่านพ้นไปได้ด้วยดีคะ ในขณะที่เครียดๆก็มีคนที่แสนดีคนหนึ่งได้แนะนำหนังสือให้อ่าน เป็นนิยายสืบสวนสอบสวน/ฆาตกรรมซ่อนเงื่อน อ่านเข้าใจง่ายดีคะ เป็น Unputdownable Mystery จริงๆคะ หนังสือเล่มที่ว่านี้เป็นหนังสือที่ออกมานานแล้ว บางคนอาจจะเคยอ่านผ่านตามาบางแล้ว เรื่องนั้นก็คือ
"มันเหมือนโรงฆ่าสัตว์เราดีๆนี่เอง เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรน่าสยดสยองเท่านี้..... โอลีพ มาร์ติน เป็นผู้หญิงที่น่ากลัวมาก"
ห้าปีก่อน ตอนที่โอลีฟ มาร์ติน ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาฆาตกรรมโหด เธอยอมรับผิดแต่โดยดี และคนทั่วไปที่ได้รับรู้ต่างสยดสยองกับฆาตกรใจโหด เลือดเย็นรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นี้
ห้าปีต่อมา เมื่อรอซาลินด์ ลีห์ ได้รับมอบหมายให้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับโอลีพ เธอจึงไม่คิดว่าจะมีอะไรน่าสนใจ แต่หลังจากได้พบโอลีฟ รอซกลับต้องทึ่งและประหลาดใจ ยิ่งเธอค้นลึกลงไป รอซยิ่งมั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ตาเห็น เพราะสิ่งที่เธอค้นพบคือสถานการณ์ซับซ้อนอันเกิดจากความเพิกเฉย ความโลภ และกิเลส ซึ่งประกอบกันเป็นเรื่องราวลึกลับที่บีบอารมณ์ ตื่นเต้น และชวนให้ขบคิด
เรื่องราวย่อๆก็ประมาณเนี้ยแหละคะ แต่ที่อยากชวนให้ทุกคนได้คิดกันสนุกๆแต่แฝงไว้ด้วยความจริงที่สะท้อนอยู่ในสังคมเรา นั่นก็คือ ถ้าเราเจอใครสักคนหนึ่งที่เค้าเรียกได้ว่าอัปลักษณ์เลยที่เดียวเราจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเค้าคะ เคยอ่านนิตยสารอยู่ฉบับหนึ่งคะ เค้าให้ผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัว 2 แบบ วันแรกแต่งตัวเป็นกรรมกรแล้วไปเดิน (ถ้าจำไม่ผิดไม่พารากอนก็เกสรพลาซ่าคะ) วันที่สองแต่งไฮโซเชียวเข้าขั้นประมาณคุณหนูแอบหนีมาชอปปิ้งคะ ไม่ต้องเดาก็พอจะทราบกันนะคะว่าผู้หญิงคนนี้จะได้รับการปฎิบัติที่แตกต่างกันอย่างไร
ได้ลอง Search ข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้คะ มีอยู่ท่านหนึ่งเขียนได้น่าสนใจมากคะ
มันเป็นเรื่องยากที่จะหาความยุติธรรมในใจของคนเราทุกวันนี้ เพราะทุกคนต่างเร่งรีบ
และอ้างว่าไม่มีเวลา เราจึงเลือกที่จะตัดสินคนที่ผ่านเข้ามาอยู่เบื้องหน้าเราด้วยสายตา .. ไม่ใช่
หัวใจ .. โดยหารู้ไม่ว่า “ อคติ “ ที่ก่อเกิดขึ้นง่ายๆ อย่างไม่รู้ตัวนี้ ... อาจทำให้เรากลายเป็น ..
“ ฆาตรกร .. ที่ฆ่าคนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย “ .. โดยใช้กระแสสังคมเป็นเครื่องมือ ... เพราะฉะนั้นทุกครั้ง ..
ที่เราจะตราหน้าใครว่าคือ ฆาตรกร .. สำรวจตัวเองว่า ใช่จริงแล้วหรือไม่ ??? เพราะมือที่ เปื้อนเลือด
ที่แท้จริง .. อาจจะเป็นตัวคุณเอง .. ถ้าเขาบริสุทธิ์ จงตระหนักไว้เถิดว่า คุณเป็น 1 ในกระแสสังคม
ที่ลงมีดฆ่าชีวิตเขาไปเรียบร้อยแล้ว ..
เค้าเขียนไว้ได้กระแทกใจดีนะคะ จริงอย่างเค้าว่าคะ บางครั้งเราก็ตัดสินคนอื่นเพียงแค่สิ่งที่เราเห็นและได้ยินมา ทั้งๆที่บางทีคนๆนั้นเค้าอาจจะเป็นคนที่ดีกว่าที่เราเป็นเสียด้วยซ้ำ แต่ก็คงต้องยอมรับนะคะว่ามันเป็นธรรมชาติของคนเรา ที่บางครั้งก็จำเป็นต้องเชื่อและเข้าใจตามที่เราพบเห็น แต่โดยส่วนตัวแล้วจะพยายามไม่ประเมินหรือตัดสินใครเพียงเพราะเราพบ/เห็น/ได้ยินอะไรมา มันคงไม่ยุติธรรมต่อคนนั้นๆสักเท่าไร แต่สิ่งที่น่าจะดีที่สุดคือทำไมเราต้องประเมินหรือตัดสินคนอื่นด้วยถ้าเราเชื่อมั่นว่าคนทุกคนย่อมมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี สู้เราเลือกมองและเคารพในสิ่งดีๆของคนนั้นก็น่าจะดีกว่า และน่าจะเป็นการยกระดับจิตใจของเราเองด้วย เพราะการคิดถึงคนอื่นในแง่ที่ไม่ดีมันไม่ได้ช่วยให้เราดีขึ้นเลยมันกลับยิ่งเป็นการตอกย้ำตัวเราเองเสียอีกว่าแท้จริงแล้วอาจเป็นที่เราหรือเปล่าที่บกพร่อง (อัปลักษณ์) ที่จิตใจต่างหากจึงต้องพยายามดิ่งคนอื่นให้ต่ำลง
ทุกคนเห็นว่าอย่างไรคะ อยากฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้างคะ.................
ผมพยายามจะตัดสินคนให้น้อยที่สุด หรือถ้าจำเป็นต้องตัดสิน (อย่างเช่น การเลือกขึ้นรถ Taxi บางคัน) ก็ระลึกไว้เสมอว่าวิธีการตัดสินของเรามีข้อจำกัด
เป็นเรื่องจริงที่ว่าเรามีเวลาจำกัด ในการที่จะตัดสินใครสักคน แต่ต่อให้เรามีเวลาเป็นอนันต์ ผมก็ไม่แน่ใจว่าเราจะตัดสินได้ถูกต้องหรือเปล่า มากไปกว่านั้น ผมไม่แน่ใจว่าการตัดสินที่ถูกต้องอย่างเด็ดขาดมีอยู่หรือเปล่า
น่าสนใจมากค่าสำหรับข้อคิดเห็นของคุณ วีร์ และเห็นด้วยกับคุณคะที่ว่า ต่อให้เรามีเวลาอนันต์เราก็อาจจะตัดสินใจได้ถูกต้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่ตัวเองเชื่อก็คือว่าถึงเวลาจะจำกัดหรือมากอนันต์แค่ไหน การตัดสินใจของเราถ้ามันอยู่บนหลักการของการไม่ดูถูกคนหรือหลงต่อรูปลักษณ์หรือลมปากของคนมากเกินไปนัก มันก็ย่อมมีความยุติธรรมต่อคนที่เราต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วยพอสมควรแล้วละคะ ส่วนอีกความคิดเห็นที่ตรงข้าม ตัวเองก็ยอมรับคะว่าโดยส่วนตัวแล้วก็เป็นคะ และต่อให้พูดคุยกันมานานแค่ไหนแต่ถ้ายังมีบางสิ่งที่เราไม่แน่ใจก็ยังระแวงอยู่ดี มันก็กลายเป็นนิสัยส่วนตัวที่แก้ยากไปแล้วคะ อย่างไงสะการระแวงกับการตัดสินคนบางครั้งมันก็มีความจำเป็นอยู่ดีแต่ถ้ามันอยู่บนความพอดี (อย่าถามนะคะว่าแล้วเท่าไรจึงจะพอดี มันคงต้องขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) และพยายามคิดในแง่ดีไว้บ้าง ก็คงทำให้เราเองมีความสุขอยู่ในโลกนี้ได้สบายใจขึ้น เวอร์ไปหน่อยนะคะแต่คิดอย่างนั้นจริงๆคะ
ปล.ขอบคุณ คุณ วีร์ มากนะคะสำหรับข้อคิดเห็นดีๆอย่างนี้ อย่างไงก็ติดตามและติชมกันต่อไปเรื่อยๆนะคะ ขอบคุณอีกครั้งคะ
คุยเรื่องนี้แล้วนึกถึงเพลงหนังสือปกดำ ของ ETC ความหมายดีเหมือนกัน ลองฟังดูดิ
สว่นเรื่องการที่เราจะไปตัดสินใครอะไรนั้น มันเป็นเหตุผลส่วนตัวขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ผ่านมา ว่ามันหล่อหลอมให้เราเป็นอย่างไร คิดอย่างไร มองอย่างไร ถ้าไม่จำเป็นเราว่าอย่าไปตัดสินใครเลยจะดีกว่า
หาเพลงตามที่คุณ berserk แนะนำมาค่า ลองฟังกันดูคะ
http://www.art2bempire.com/inweb/musiconspaces/files/c008.wma
ฟังเพลงแล้วค่ะ แล้วก็อ่านหนังสือเล่มนี้เรียบร้อยแล้ว
สำหรับคนมราอ่านแล้วนะค่ะ
" ในเรื่องคิดว่า โอลีฟเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความทุกข์มาเกือบชีวิต เธอเป็นผู้หญิงที่หน้าตาหน้าเกลียดแต่กลับเป็นคนที่มีจิตใจดี อ่อนโยนและอ่อนไหวเหมือนกับผู้หญิงทั่วไป ผิดกลับน้องสาวของเธอที่แสร้งทำเป็นคนดีต่อหน้าคนอื่น จนทำให้โอลีฟยิ่งดูแย่ในสายตาคนอื่น ...แล้วโอลีฟก็รับผิดในสิ่งที่เธอไม่ได้กระทำเพราะน้อยใจกับสิ่งที่คนอื่นกล่าวหาว่าเธอ...น่าสงสารจริงๆ..ลองกลับมาดูในสังคมเราบ้างกับการตัดสินคนที่หน้าตา เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นกับตัวเอง วันนั้นเป็นวันที่ออกไปซื้อกับข้าวตอนเย็น แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้าน หน้าตาหน้ากลัวอย่างคนที่ทำงานใช้แรง อายุน่าจะประมาณ สามสิบปลายๆ เราก็ไปยืนทำท่าเลือกของอยู่หน้าร้าน(แต่ของที่จะเอานะอยู่ตรงฝั่งที่คนนั้นยืนอยู่)ซึ่งพยายามยืนให้ห่าง เราก็ไม่ได้คิดว่าเค้าจะสังเกตหรอกว่าเราทำท่าเหมือนรังเกียจ พอเค้าหันมาเห็นเรา เค้ากับมีท่าทางเหมือนรู้ว่าเรากำลังคิดอะไร เค้าเดินออกห่างเรา แล้วยิ้มให้พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงใจดีว่า เลือกเลยครับ แล้วเค้าก็รับเงินทอนจากแม่ค้าแล้วก็สตาทร์ดรถกลับออกไป ตอนนั้นไม่รู้ว่าเราทำหน้าอย่างไรแต่ในใจกลับนึกเสียใจที่แสดงกิริยาแบบนั้นออกไป พอกลับมาที่ห้องพัก ได้กลับมาคิดต่อว่า ถ้ามีคนทำแบบนั้นใส่เรา ใส่พ่อเรา(พ่อเราก็เป็นชาวไร่ใช้แรงงานเหมือนกัน)เราคงไม่พอใจ แล้วคงทำกลับไปด้วยว่า กูก็รังเกียจมึงเหมือนกัน เราก็คงทำตัวเหมือนที่คนคนนั้นคิดจริง แต่ผู้ชายคนนั้น(คนที่ร้านขายข้าว)กลับไม่ได้มีท่าทีอะไรที่ไม่ดีออกมา เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าให้คนอื่นกำหนดความเป็นตัวตนของเรา..."