นายสมชัย สัจจพงษ์ รักษาการ ที่ปรึกษาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ว่า ได้พิจารณาเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีตั้งแต่ปี 2552 - 2562 โดยจะมีทั้งการปรับขึ้น ปรับลด และเลิกจัดเก็บ สำหรับภาษีที่จะอยู่ในกลุ่มที่จะปรับเปลี่ยนคือ ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีสรรพสามิต และภาษีศุลกากร
รวมถึงจะมีการจัดภาษีใหม่อีก 3 ประเภท คือ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมรดก และภาษีสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ สศค.ได้ประเมินแล้วว่าหากไม่มีการปรับโครงสร้างภาษีภายใน 10 ปีข้างหน้า จะทำให้เกิดอุปสรรค 4 ด้าน คือ รายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย โครงสร้างภาษีไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการจัดเก็บรายได้ รายได้ของกรมศุลกากรลดลง จากการเปิดการค้าเสรี ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง
“สศค.ประเมินว่ารายได้ใน 10 ปีข้างหน้า หากอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ในระดับ 5.5% นั้น จะไม่เพียงพอต่อรายจ่าย จึงจำเป็นที่จะต้องปรับโครงสร้างภาษี โดยจะปรับภาษีเพิ่มขึ้นในส่วนสินค้าที่ไม่จำเป็น และปรับภาษีลดลงในส่วนที่ต้องการขยายฐานภาษี” นายสมชัย กล่าว
สำหรับโครงสร้างภาษีของกรมศุลกากรนั้น จะมีการโอนภาระการจัดเก็บรายได้ไปให้กรมสรรพสามิต เนื่องจากในอนาคตการจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากรจะลดลง เนื่องจากการเปิดเสรีทางการค้า
นอกจากนี้ ในส่วนของกรมศุลกากรยังมีแนวคิดที่จะจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เพราะยังมีสินค้าอีก 30% ของรายการทั้งหมด ที่ยังไม่ได้นำเข้าโครงสร้างการจัดภาษี
สำหรับภาษีสรรพสามิตนั้น อาจจะมีทั้งปรับอัตราเพิ่ม ปรับลดลง และยกเลิกการจัดเก็บ เพื่อให้สามารถชดเชยรายได้ของกรมศุลกากรได้
ทั้งนี้ นายศุภรัตน์ได้สั่งการให้ไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อการปฏิบัติจะได้ไม่มีปัญหา และศึกษาให้เสร็จสิ้นภายใน 2 เดือน
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการ สศค. เปิดเผยว่า จะศึกษาให้ครอบคลุมในทุกโครงสร้างภาษีของกรมจัดเก็บรายได้
โพสต์ทูเดย์ 22 กุมภาพันธ์ 2550
ไม่มีความเห็น