คณะแพทยศาสตร์ ม.อ. ได้บูรณาการการเรียนการสอน palliative care เข้ากับหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตมาเป็นเวลาอย่างน้อยก็สามปีแล้ว โปรแกรมหนึ่งที่คิดว่าน่าสนใจมากที่สุด (ทั้งในแง่ process และ output รวมทั้ง prospect of outcomes ด้วย) คือ การทำ case conference กับ extern ที่พวกเราเรียกกันที่ ม.อ. ว่า Holistic Doctor Programme
Holistic Doctor Programme
เป็นวิธีการเรียนการสอนพัฒนามาโดยคณะกรรมการพัฒนาการบูรณาการ palliative care เข้าหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต มี อ.ลักษมี ชาญเวชช์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการ (อาจารย์เป็น pain specialist) มีกรรมการหน่วย palliative care เช่น อ.เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี อ.จารุรินทร์ ปิตานุพงศ์ อาจารย์ฐิติมา อยู่ในทีม รวมทั้งรองคณบดีแพทยศาสตรศึกษา อ.มยุรี วศินานุกรเป็นที่ปรึกษา ส่วนผมนั้นโดยตำแหน่งก็ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆนั้น เป็น PR ของหน่วย เอา idea ไปขายตามหัวมุมถนนหนทางที่ต่างๆที่คิดว่าอาจจะมีคนสนใจ ล่าสุดพึ่งไปขายที่กลุ่มจิตวิวัฒน์ ที่มูลนิสาธารณสุขแห่งชาติมาครับ เมื่อวันจันทร์ที่แล้วนี้เอง
โปรแกรมนี้นำเข้าทดลองเมื่อปีการศึกษาที่แล้ว (2548) ด้วยสาเหตุสองสามประการ ได้แก่ เรารู้สึกว่า extern ทำแต่งานกันเยอะแยะ ไม่ค่อยมีการเรียนการสอนเท่าที่ควร กับอีกประการคือความพยายามของกลุ่มที่จะทำให้ การเรียน palliative care เป็นแบบ longitudinal programme ตามที่ตั้งใจไว้ให้ได้ ที่ ม.อ. เรามี โปรแกรมระยะยาวแบบนี้ 4 programmes คือ Evidence-base medicine (การแพทย์เชิงประจักษ์) Ethics (จริยศาสตร์) Health Promotion (การสร้างเสริมสุขภาพ) แล้วก็ Palliative Care
ปีที่แล้ว เราเริ่มด้วย introduction ก่อนที่ extern ทุกคนจะเริ่มปฏิบัติการ ด้วย intensive course ก่อน ก็แทรก concept of holistic care ไปประมาณ 2 ชั่วโมง บวก pain and symptom control อีกชั่วโมงครึ่ง หลังจากนั้น extern ครึ่งหนึ่งของทั้งหมดก็จะออกไปอยู่ รพ. ข้างนอกครึ่งปี อยู่ข้างในครึ่งปี กลุ่มที่อยู่ข้างใน เราก็จัด holistic doctor programme round ให้เฉพาะทุกกลุ่มที่ผ่านศัลย์ (ผมคุมเองก็ง่ายครับ) ส่วนครึ่งปีหลังพอ extern ชุดที่ไปข้างนอกกลับมา เราก็พากันไปราวน์ที่แผนกสูตินรีเวชบ้าง
Concept of the Activity
มี concept ที่ simple มากครับ เน้น
- context-based learning
- self searching and self-assessment
- communication with the patient
- holistic assessment and care
ก็คือ เรียนรู้โดยใช้ case จริงๆ ที่มีอยู่มากมาย ตามประสาโรงเรียนแพทย์ ที่จริงตรงนี้เราเคยคิดว่าเป็นจุดอ่อนของโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ คือไม่มี case ธรรมดาๆ ให้ นศพ. เรียน แต่ผมว่าเราต้องพยายามมองและคิดเป็นจุดแข็งให้ได้จากสิ่งที่เรามี ปรากฏว่า case แบบนี้แหละครับ ที่เหมาะต่อการเรียน holistic care มากที่สุด เพราะ disease อืนๆ มักจะไม่มีครบทั้งสี่มิติ ต้องเป้น life-threatening หรือ มีการคุกคามต่อชีวิต มิติต่างๆถึงจะออกมาครบถ้วนชัดเจน ฉะนั้น case ในโรงเรียนแพทย์นี่จะเหมาะแก่การราวน์ holistic มากเลยครับ
และกระบวนสำคัญที่เรานำมาใช้ในการราวน์ holistic ก็คือการให้ นศพ. สรุปและ elaborate ออกมาเป็นประสบการณ์ส่วนตัว จากการราวน์แบบนี้ เป็นการช่วยให้ นศพ. ตระหนักรู้ว่า จริงๆแล้ว ตนเองนั้นไม่มี model of dying, model of dead อยู่ในหัวเลย พอำปราวน์ case แบบนี้ บ่อยครั้งที่กลายเป็นคนไข้สอนหมอ ไม่ใช่หมอสอนคนไข้เสียแล้ว
เสร็จแล้วให้ extern เล่ามาให้ฟังว่าทำไมไปเลือก case นี้มา มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจ หรือมีปัญหาอะไรในการ management และอยากจะให้ทีมหมอ ทีมพยาบาลช่วยเขาบ้าง แล้วก็นำเสนอ ปกติ 3-4 ชั่วโมงบ่าย จะได้ประมาณแค่สอง cases เท่านั้น เพราะ "บริบท" ที่ไม่เหมือนกันเลยนั้น เหตุผลที่ลึกซึ้ง ผ่านการคิดว่าเป็นเวลาหลายร้อยแมน ที่ไม่ทราบได้เหมือนกันว่ามันดังแล้วดับเพราะอะไร
รายละเอียดการทำ ขออนุญาตยกไว้กอนนะครับ พอดีมีงานที่จะต้องเซ็นชื่อ และอ่าน proposal ให้เรียบร้อยครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์หมอ