กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนั้นเปรียบเสมือนก้อนมะเร็งที่กำลังขยายตัวลุก ลามเพราะสภาพร่างกายเอื้ออำนวย การรักษาโรคมะเร็งนั้นไม่ได้มีแค่การฉายแสง ฉีดเคมี และผ่าตัดเพื่อทำลายเซลมะเร็งเท่านั้น วิธีการดังกล่าวบ่อยครั้งไม่ได้ผล เพราะนอกจากจะหยุดการเติบโตของมะเร็งไม่ได้แล้ว ยังทำให้เซลปกติถูกทำลาย และเกิดผลข้างเคียงกับร่างกาย ปัจจุบันเราพบว่ามีอีกแนวทางหนึ่งซึ่งไม่ต้องทำลายเซลมะเร็งโดยตรง & amp; amp; nbsp; แต่สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้เข้มแข็ง ซึ่งจะส่งผลให้เซลมะเร็งถูกขจัดไปในที่สุด วิธีดังกล่าวได้แก่การกินอาหารอย่างได้สมดุล การบริหารกายและใจ เช่น เล่นโยคะและทำสมาธิ ฯลฯ อีกวิธีหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในแนวทางที่ไม่ต้องใช้ความรุนแรงในการทำลาย เซลมะเร็ง ได้แก่การควบคุมการขยายของเส้นเลือดเพื่อไม่ให้ไปเลี้ยงเซลมะเร็ง ซึ่งทำให้เซลมะเร็งขาดอาหารไปในที่สุด หรือการจัดการมิให้เซลมะเร็งสามารถลามไป “เกาะ” อวัยวะอื่นได้ วิธีการเหล่านี้จัดได้ว่าเป็น “สันติวิธี” เพราะไม่ได้มุ่งทำลายเซลมะเร็งโดยตรง แต่ก็ทำให้มะเร็งหดตัวได้ ในทำนองเดียวกัน การจัดการกับความไม่สงบก็มิได้มีแต่วิธีรุนแรงที่มุ่งกำจัดตัวผู้ก่อความไม่ สงบเท่านั้น หากยังมีวิธีอื่นซึ่งมุ่งจัดการกับเงื่อนไขที่บ่มเพาะผู้ก่อความไม่สงบ รวมทั้งจัดการกับปัจจัยที่สร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งในที่สุดทำให้ผู้ก่อความไม่สงบอ่อนกำลังลงไปเอง วิธีดังกล่าวมิใช่อะไรอื่นหากคือสันติวิธีนั่นเอง
อย่างไรก็ตามสันติวิธีจะได้ผลต้องอาศัยความอดทนเพราะมักไม่ให้ผลทันทีทันใด เนื่องจากไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ให้ผลในระยะยาวและยั่งยืนกว่า ในขณะที่วิธีรุนแรงนั้นดูเหมือนให้ผลทันใจเพราะเห็น “ผู้ร้าย” ตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ปัญหาหาได้หมดไปไม่ ความรุนแรงยังคงอยู่ต่อไปและ “ผู้ร้าย” ก็ยังเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะรากเหง้ายังคงอยู่ เหตุการณ์ในไอร์แลนด์เหนือและศรีลังกาซึ่งยืดเยื้อมานานกว่า ๒๐ ปี น่าเป็นอุทธาหรณ์สอนใจว่าถึงที่สุดแล้ววิธีรุนแรงไม่ได้ช่วยให้ปัญหาสงบลง อย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามมักสงบลงช้ากว่าการแก้ด้วยสันติวิธีเสียอีก และในที่สุดก็หนีไม่พ้นที่ทุกฝ่ายจะต้องหันมาขึ้นโต๊ะเจรจาแทน
สันติวิธียังต้องการความคิดสร้างสรรค์ ที่กล้าคิดนอกกรอบ หรือกล้าคิดสิ่งที่นึกไม่ถึง (thinking the unthinkable) ชัยชนะของสันติวิธีหลายครั้งเกิดจากการคิดในสิ่งที่คนไม่คาดคิด เช่น การเดินเท้าเกือบ ๓๐๐ กิโลเมตรของคานธีเพื่อทำเกลือเอง (salt march) อันเป็นการต่อต้านกฎหมายของอังกฤษ ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ว่าเหตุการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีพิษสงนี้สามารถสั่น คลอนจักรวรรดิอังกฤษอย่างถึงรากถึงโคน ในทำนองเดียวกันเมื่อผู้นำศาสนจักรคาทอลิกในฟิลิปปินส์ประกาศให้ประชาชนไป ล้อมค่ายทหารเอาไว้ เพื่อเป็นกำแพงมนุษย์ขวางกั้นมิให้กองทัพของมาร์คอสเข้าไปบดขยี้ฝ่ายต่อต้าน ที่หลบไปลี้ภัยในค่ายดังกล่าว ปรากฏว่าผู้คนนับแสน ๆ ที่มีเพียงมือเปล่าและสายประคำสามารถต้านทานกองทัพอันทรงอานุภาพของมาร์คอส และเป็นจุดหักเหสำคัญที่ทำให้มาร์คอสหมดอำนาจและต้องลี้ภัยไปสหรัฐ
ในกรณีของไทย การที่รัฐบาลในสมัยคึกฤทธิ์ ปราโมช เดินทางไปเปิดสัมพันธไมตรีกับประเทศจีนในปี ๒๕๑๘ ทั้ง ๆ ที่กระแสต่อต้านคอมมิวนิสต์ในประเทศกำลังเข้มข้นและยังมีการสู้รบกับพคท. อยู่นั้น จัดว่าเป็นการกระทำที่ล้ำยุคสมัยที่น้อยคนจะคาดคิด เวลานั้นรัฐบาล ถูกโจมตีอย่างรุนแรง อีกทั้งยังเป็นเหตุให้นายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งเป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศในเวลานั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์& amp; amp; nbsp; แต่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ว่าการเปิดสัมพันธไมตรีกับจีนมีส่วนสำคัญในการ สร้างความอ่อนแอให้แก่พคท.(ซึ่งอิงจีน)ในเวลาต่อมาจนต้องยุติการสู้รบกับ รัฐบาล
สันติวิธีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะได้ผลจำต้องอาศัยการกล้าคิดกล้า ทำที่นอกกรอบหรือทวนกระแส ซึ่งอาจหมายถึงการประกาศนิรโทษกรรมแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐที่รับสารภาพ ว่าตนได้เคยก่อความรุนแรงที่นอกกฎหมาย การขออภัยอย่างเป็นทางการต่อความผิดพลาดของรัฐในอดีต การเปิดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด หรือการประกาศตั้งปัตตานีมหานคร เช่นเดียวกับกรุงเทพ ฯ หรือพัทยา เป็นต้น แน่นอนว่ามาตรการเหล่านี้มีความเสี่ยง แต่ต้องไม่ลืมว่าการไม่ทำอะไรเลยหรือการทำตามกรอบเดิม ๆ ที่เคยชินก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงเหมือนกัน
แม้ว่ารัฐไทยจะคุ้นกับการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะเมื่อกระทบถึงความมั่นคงหรือความเป็นไทย (ดังกรณี ๖ ตุลา และพฤษภาหฤโหด) แต่ก็มีเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะใช้สันติวิธีแม้จะต้องเผชิญกับ ความรุนแรง กล่าวกันว่าเมื่อเกิดความขัดแย้งกรณีท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย เจ้าหน้าที่ระดับสูงพยายามผลักดันให้มีการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อจะได้ใช้ ความรุนแรงกับผู้ประท้วงได้สะดวก แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเวลานั้นไม่ร่วมมือโดยให้เหตุผลว่า “ผมเป็นพ่อเมือง ไม่อยากยื่นมีดให้ลูกคนละเล่มให้มาฆ่ากัน” และเมื่อมีการชุมนุมประท้วงหน้าโรงแรมเจบีที่หาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่สงขลาปฏิเสธที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาพกพา อาวุธไปด้วย ทั้งยังบอกให้ตำรวจ “ยอมเจ็บ เพราะถ้าตำรวจไม่เจ็บ ชาวบ้านก็จะเจ็บ” ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อเร็ว ๆ นี้ แม้มีนาวิกโยธินถูกทำร้ายด้วยระเบิดจนล้มตายไปหลายคน แต่ผู้บังคับหน่วยบางหน่วยก็ยังขอให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอดทนอย่างถึงที่สุด& amp; amp; nbsp; ไม่บันดาลโทสะกับประชาชนหรือตอบโต้ด้วยอารมณ์ ทั้งนี้โดยให้เหตุผลว่า “ตอนนี้เรากำลังชดใช้กรรมที่บรรพบุรุษของเราได้เคยทำไว้ ...คิดเสียว่าถ้าใครถึงที่ตายก็ต้องตาย ถ้ายังไม่ถึงที่ก็ไม่ตาย”
เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนไม่น้อยมีความอดทนอย่างยิ่ง และพร้อมใช้สันติวิธีเพื่อเอาชนะใจประชาชน นี้คือต้นทุนที่สำคัญยิ่งของสังคมไทย ปัญหาอยู่ที่ว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะใช้สันติวิธีเพียงใด และกล้าคิดนอกกรอบหรือไม่ ถ้าหากรัฐบาลมีความมุ่งมั่นและกล้าคิดกล้าทำนอกกรอบ ขณะเดียวกันประชาชนทั่วทั้งประเทศก็สนับสนุน การดับไฟใต้ด้วยสันติวิธีย่อมเป็นอันหวังได้อย่างแน่นอน