งานแปล จากบทความเรื่อง การจัดการความรู้


การจัดการความรู้

                                                                       การจัดการความรู้            ความรู้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อได้รับการปฏิบัติจากมนุษย์ นวัตกรรมโดยธรรมชาติและการให้รางวัลตอบแทนในการแลกเปลี่ยนความคิดจะช่วยทำให้ความคิดเจริญงอกงามตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งเป็นสิ่งที่มีค่าโดดเด่นในขณะที่มันอาจจะนำมาซึ่งชื่อเรียกที่แตกต่างกันในอนาคต การจัดการความรู้จะยึดติดกับปลายด้านหนึ่งของลำดับที่ต่อเนื่องของ E-learning และมันเป็นสิ่งที่จำเป็นในการปรับปรุงการทำงานขององค์กร              ความรู้คือสารสนเทศซึ่งจะเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่าง, คนบางคน หรือทั้งสองอย่าง โดยที่มันจะมาเป็นพื้นฐานรองรับการกระทำหรือโดยการทำให้บุคลเดี่ยวๆ(หรือหน่วยงานเดี่ยวๆ) มีความสามารถในการกระทำที่แตกต่างจากเดิมหรือมีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น” Peter F. Drucker กล่าวไว้ใน The Realities มาเรียนรู้ร่วมกัน               ขอให้เข้าเรียนวิชา E-Learning แล้วจำแนกวิชาออกเป็นชิ้นใหญ่ๆ ล้อมรอบมันด้วยเทคโนโลยีซึ่งประเมินได้ว่า ผู้เรียนมีความต้องการและนำมาซึ่งความพึงพอใจในการเรียนสิ่งที่มีค่าเหล่านี้ จงเพิ่มเติมเครื่องมือที่ใช้ประกอบกัน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถแลกเปลี่ยนสารสนเทศได้ แล้วท่านจะได้อะไร ? คำตอบก็คือบางสิ่งบางอย่างที่นำมาซึ่งทั้งหมด เหมือนกับการจัดการความรู้นั่นเองการสร้าง Blog จะต้องทำอย่างไร               Weblog มีความสำคัญ ถ้ายังไม่มีความคุ้นเคยกับ Blog ขอให้อ่านหนังสือยอดเยี่ยม ชื่อ Weblogs : A History and Perspective ของ Rebecca Blood1. Blog เป็นการเขียนบทความโดยเสรี ที่จะเปิดช่องทางให้ทุกคนที่ติดต่อกันทาง Net สามารถประกาศเรื่องราวลงบน Web ได้2. การทำ Blog ต้องอาศัยการช่วยเหลือ Blog ของผู้ที่น่าเชื่อถือจะช่วยชี้ทางในการเป็นผู้ปฏิบัติที่ดี3. ในเวลานี้องค์กรหลายองค์กรจะส่งเสริมการทำ Blog ภายในองค์กรTacit & Explicit Knowledge              ในทางเศรษฐศาสตร์ที่ซึ่งความแน่นอนคือความไม่แน่นอน มันจะเป็นแหล่งข้อมูลที่แน่ใจได้จากข้อดีทางการแข่งขันคือความรู้ เมื่อมีการเคลื่อนย้ายทางการตลาด, การแพร่ขยายของเทคโนโลยี, การทวีจำนวนของคู่แข่งและการที่สินค้ากลายเป็นของล้าสมัยแทบจะภายในระยะเวลาชั่วข้ามคืน บริษัทที่จะประสบความสำเร็จจะต้องสร้างความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ จะต้องเผยแพร่ความรู้ทั่วถึงทั้งองค์กร แล้วนำความรู้มารวมให้เป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ กิจกรรมเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดการสร้างความรู้ของบริษัทผู้ทำธุรกิจกับนวัตกรรมที่ต่อเนื่อง           [ ที่มา : Ikujiro Nonaka, the Knowledge-Creating Company, Harvard Business Review, November-December 1991 ] Structural capital (ทุนทรัพย์ด้านโครงสร้าง)             ทุนทรัพย์ด้านโครงสร้างในรูปบริษัทได้แก่ การสร้างสมุดหน้าเหลือง, แผนที่ความรู้ และการแปลด่วน จงทำให้เพียงพอ แล้วไม่ต้องทำอีก เพราะการทำหลายครั้งเป็นการลงทุนที่มากเกินไป            HP และบริษัทอื่นๆ พบว่าการเข้าถึงแรงขับของความต้องการจะมีประสิทธิผลมากว่าการผลักดันสารสนเทศ ไปยัง E-mailbox ของผู้คน หลีกเลี่ยงการลงทุนที่มากเกินไป ด้วยการลงมือทำให้สำเร็จ ไม่ใช่การรู้ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นความขัดแย้งกับความรู้ความชำนาญของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เมื่อผู้บริหารนำเอาปัญหาเข้ามา ผู้ชำนาญการจะสอนว่าจะประยุกต์ใช้ Module ที่จะแก้ปัญหาได้อย่างไรCustomer capital (ทุนทรัพย์ด้านลูกค้า)              ความสัมพันธ์ของบริษัทกับลูกค้า วัดได้จากส่วนแบ่งการตลาด, การรักษาลูกค้า, การละทิ้งลูกค้า และผลกำไรจากลูกค้าต่อราย นี่คือการลงทุนที่มีค่าที่สุดจากทั้งหมด ซึ่งนับเป็นแหล่งของเงินทอง แต่ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน คือมันมักจะได้รับการบริหารจัดการที่ดีได้น้อยมาก Tom Stewart มีคำกล่าวไว้ว่าลูกค้าในวันนี้จะเป็นผู้ที่สามารถทำการปรับแต่งให้เหมาะสมได้ เพราะเขาเป็นผู้ที่รู้แต้มคะแนนเป้าหมายก็คือ รักษาความสัมพันธ์ที่มีความคุ้นเคยใกล้ชิดเพิ่มขึ้น ให้อำนาจการขายตรงของลูกค้าด้วยฐานข้อมูลของบริษัทพื้นฐาน 10 ประการ สำหรับการจัดการทุนทรัพย์ด้านปัญญา1.      บริษัทไม่เป็นเจ้าของทุนทรัพย์ด้านมนุษย์และลูกค้า, บริษัทแบ่งปันความเป็นเจ้าของทุนทรัพย์ด้านมนุษย์ให้กับพนักงาน, แบ่งปันความเป็นเจ้าของทุนทรัพย์ด้านลูกค้าให้กับ Supplier และลูกค้า ความสัมพันธ์ในทางลบกับพนักงานจะเป็นตัวทำลายทุนทรัพย์ 2.      จงสร้างทุนทรัพย์ด้านมนุษย์ให้ใช้ประโยชน์ได้ บริษัทจำเป็นจะต้องเลี้ยงดู Team Work, ชุมชนนักปฏิบัติ และสังคมแห่งการเรียนรู้ในรูปแบบอื่นๆ3.       จงจัดการและพัฒนาทุนทรัพย์ด้านมนุษย์ บริษัทจะต้องไม่อ่อนไหวที่เห็นว่าเป็นเพียงพนักงานบางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสติปัญญาหรือพรสวรรค์ของพวกเขาไม่ได้เป็นทุนทรัพย์ การลงทุนในเรื่องกรรมสิทธิ์ และผู้ที่ทำงานด้านความรู้ทางกลยุทธ์ ก็คือการลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งหมดนั่นเอง4.      ทุนทรัพย์ด้านโครงสร้างส่วนใหญ่ควบคุมได้ง่าย เพราะบริษัทเป็นเจ้าของ แต่ลูกค้าเป็นแหล่งที่มาของเงิน 5.      ทุนทรัพย์ด้านโครงสร้าง มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อความรู้จำนวนมากที่จะรองรับปริมาณงานของลูกค้า และเพื่อความรวดเร็วในการไหลของสารสนเทศของงานดังกล่าว ภายในบริษัท ความรู้ที่ทันต่อเวลาจะมีประสิทธิผลมากกว่าความรู้ที่เก็บเอาไว้ในคลัง6.      จงแทนที่ทุนทรัพย์ทางกายภาพที่มีราคาแพงและทุนทรัพย์ทางการเงิน ด้วยสารสนเทศและความรู้7.      งานด้านความรู้ คืองานที่เกี่ยวกับการสั่งทำ การผลิตเชิงปริมาณไม่ได้ให้ผลกำไรที่สูง8.      วิเคราะห์ Value Chain เพื่อมองว่า สารสนเทศใดที่มีผลชี้ขาดมากที่สุด โดยทั่วไปแล้วงานด้านความรู้จะไหลลง ซึ่งจะใกล้ชิดกับลูกค้า9.      เน้นความสนใจที่การไหลของสารสนเทศ ไม่ใช่การไหลของวัตถุ สารสนเทศซึ่งครั้งหนึ่งเคยรองรับตัวธุรกิจ ปัจจุบันสารสนเทศกลายเป็นธุรกิจตัวจริง10.  มนุษย์, ผู้ซึ่งทำงานด้วยกันทั้งทุนทรัพย์ด้านโครงสร้าง และทุนทรัพย์ด้านลูกค้า[ ที่มา : Thomas Stewart, Intellectual Capital ] แนวการปฏิบัติ 4 ขั้นตอน ในการจัดการความรู้             บริษัทส่วนใหญ่มักจะประเมินความสำคัญของทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนต่ำเกินไป ทรัพย์สินเหล่านี้ได้แก่ ความรู้, การสร้างสรรค์, แนวความคิดและความสัมพันธ์ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะมีค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าทรัพย์สินที่มีตัวตน ยังเป็นสิ่งที่ยากที่บริษัททั้งหลายจะเอื้อมมือมาที่ทรัพย์สินซึ่งไม่มีตัวตนได้อย่างทั่วถึง จึงยากที่จะปกป้องทรัพย์สินเหล่านี้เอาไว้ได้ ท่านจะทำอย่างไร ถ้าคนที่เก่งที่สุดได้จากไปอย่างกะทันหัน? ท่านสามารถสร้างความเชื่อมั่นว่ามีการเรียนรู้อะไรของหน่วยงานย่อยหน่วยงานหนึ่ง ที่แบ่งปันแลกเปลี่ยนกันอย่างกว้างขวางทั่วบริษัท?1.      จัดตั้งกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เข้าสู่การเพิ่มพูนความรู้ให้มากขึ้น และวิธีการที่ดีที่สุดของการจัดการความรู้จะทำให้แน่ใจได้ว่าทุกคนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างทั่วถึง ลองเปิดประชุมทางด้านนโยบายสักครั้งหนึ่ง2.      ขจัดตัวกรองการติดต่อสื่อสาร กฎเกณฑ์และความรับผิดชอบในการปฏิบัติจะสามารถกำจัดความคิดที่ยึดติดเกี่ยวกับช่องทางการสื่อสารได้ การออกมานอกช่องทางการสื่อสาร เช่น การอนุญาตให้ผู้คนสามารถข้ามระดับได้ เพื่อนำไปสู่ความคิดว่า ทำอย่างไรให้ดีกว่า3.      การจัดลำดับความสำคัญของงาน บริษัทส่วนใหญ่จะทำในเรื่องนี้อย่างมากที่สุด สองครั้งเท่าที่จะสามารถทำให้งานสิ้นสุดลงได้ กระบวนการจัดลำดับความสำคัญสามารถจัดเรียงลำดับพลังสมองและความมุ่งมั่น เบื้องหลังสิ่งที่เป็นกลยุทธ์ที่แท้จริง ผู้นำอาวุโสร่วมกันเข้ารับตำแหน่งสำคัญในกิจกรรมตั้งแต่แรกจนถึงสุดท้าย ไม่ให้มีการผูกมัด กระบวนการนี้จะทำให้คนสามารถเข้ามารับตำแหน่งที่ท้าทาย ซึ่งมีค่าสำหรับโครงการระยะยาว แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังบรรลุผลและทำลายอุปสรรคระหว่างหน่วยงาน ซึ่งเป็นตัวทำให้ความคิดและการสร้างสรรค์ไม่ได้ถูกนำมาใช้4.      รักษาทุนทรัพย์ด้านเวลา บุคคลส่วนน้อยและองค์กรยิ่งเป็นส่วนน้อยกว่าที่ได้เรียนรู้ความจริงว่าที่ใดที่เขาควรจะไปทุ่มเทเวลาและความพยายามปิคัสโซ่ได้เก็บรวบรวมผลงานชิ้นเอกเอาไว้ที่บ้านของเขา มันแขวนอยู่ด้วยความโค้งเล็กน้อย และผู้ที่มาเยี่ยมชมต่างก็อดไม่ได้ที่จะพยายามทำให้มันตรง แต่ปิคัสโซ่รู้สึกว่าขณะที่เขากำลังวาดภาพอยู่มันตรงอยู่แล้ว ผู้ที่สังเกตได้เน้นความสนใจไปที่กรอบรอบๆ ภาพ เมื่อกรอบภาพโค้ง ความสวยงามของภาพก็กระโดดออกมา เปรียบเสมือนความรู้ แทนที่จะพยายามใส่ขอบเขตรอบๆ มัน เราควรจะปล่อยให้มันกระโดดออกมานอกกรอบ  [ ที่มา : Ideas @ Work โดย Diane McFerrin Peters (Harvard Management Update, Vol.5#3, March 2000) ] เอกสารอ้างอิง : 2003 Internet Time Group, Berkeley, California   Modified 05/01/2006 03:34:54                         Website : http://www.internettime.com

ประเทศ : สหรัฐอเมริกา    

ผู้แปล : จิระพล  เขาสูง  MIT PSU

หมายเลขบันทึก: 76049เขียนเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2007 04:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 22:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
ขอบคุณค่ะที่แปลให้อ่านเป็นความรู้
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท