เมื่อวันที่29 ม.ค. 2550 ผมได้ร่วมทำเวที่ชาวบ้านกับน้องๆเจ้าหน้าที่ร่วมงานของผม มีครูสัจจมาศ กัลยาณโพธิ์ (ครูต้อย) ครูอนุชา นิลวานิล (ครูบาว) ม.12 ต.ช้างช้าย อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช มีชาวบ้านมาร่วม ประมาณ 30คน มีผู้นำ (โดยธรรมชาติแต่ชาวบ้านเชื่อถือ)2คน คือคุณปรีชา อุ้ยสั้ว และคุณเกษม ชูศิลป์ ฃึ่งเคยเป็นคุณกิจแกนนำจากโครงการการจัดการความรู้แก้จนเมืองนคร ปีงบ 2549 ได้มาร่วมเป็นทีมเสวนาพูดจาประเด็นเนื้อความกัน เวทีนี้เป็นประเด็นหาข้อมูลในการที่จะจัดงบประมาณสนับสนุนการจัดอบรมอาชีพเพื่อเป็นอาชีพเสริมพยุงเศรษฐกิจในครัวเรือน เน้นทำแบบไม่รีบร้อนแต่มั่นคงค่อยเดินแต่ต้องสร้างความมั่นใจและมั่นคง ยึดแนวเศรษฐกิจพอเพียง ไม่เน้นธุรกิจพ่อค้าในระยะเริ่มแรก จุดประสงค์อีกประการหนึ่งต้องการให้ชาวบ้านได้รวมกลุ่มกันทำกิจกรรมอาชีพเสริมแบบเป็นทีม แจมความคิด แจมความรู้ แจมความร่วมกันรับผิดชอบ ใช้กลยุทธ์สอนแทรกฃึมด้านการจัดการบริหารกลุ่ม ให้เกิดขึ้นในองค์กรเล็กๆของตน ส่วนมากเกือบทุกเวทีที่ผมร่วมลงทำเวทีชาวบ้านในชุมชนแถวบ้านเรา(หมายถึงพื้นที่ที่ผมปฎิบัติงานขณะนี้/และตามที่ผมเคยร่วมกิจกรรมมา อันนี้พูดตามความรู้สึกส่วนตัวของผมคนเดียวนะ) ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยกล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็นมากนัก ยังไม่ค่อยกล้าแสดงความรู้สึกในทางสร้างสรรค์(ขอเน้นคำว่าในทางสร้างสรรค์) ผมบอกชาวบ้านเขาว่าอย่าถือศักดินาว่าผมเป็นข้าราชการที่มาประชุมท่านให้นั่งฟังนั่งเสวนาแบบสบาย พวกผม(หมายถึงในนาม กศน.พระพรหม)มาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนร้ รับประโยชน์ฃึ่งกันและกันจากท่านทุกคน ท่านได้งบประมาณจัดกิจกรรมจากผมได้ทุนไปทำอาชีพเสริม พวกผมได้ประโยชน์ในการเรียนรู้ปัญหาอุปสรรคในการทำงานจากท่านและข้อมูลในหมู่บ้านและข้อมูลความรู้ภูมิปัญญาจากทุกท่าน
โดยสรุปภาพรวมและขอสังเกตของการทำเวทีครั้งนี้หรือหลายๆครั้งที่ผ่านมา
- ชาวบ้านยังแสดงความกล้าด้านความคิดเห็นข้อเสนอแนะยังน้อย หรืออาจจะไม่กล้าพูดมากเพราะถือว่าข้าราชการมาประชุม ภาษาปักษ์ใต้เรียกว่า "หมั่งๆ" ไม่กล้าจะพูดมากสักเท่าไร
- การเข้าไปทำกิจกรรมในชุมชน หมู่บ้าน ควรหาชาวบ้านที่เป็นตัวนำหลัก(หมายถึงผู้ที่มีจิตใจสาธารณะที่จะช่วยเหลือชุมชนในหมู่บ้านของตนเองด้วยใจ/จริงใจ)เป็นแกนนำร่วมด้วย อาจเป็นผู้นำโดยจัดตั้งหรือธรรมชาติก็ได้ และต้องสังเกตดูความใจเที่ยงของผู้นำคนนั้นด้วย(ใจเที่ยงคือไม่เลือกปฎิบัติพวกเขาพวกเราให้ความเที่ยงธรรมกับทุกคนโดยเฉพาะคนในชุมชนของตน พวกฉันเอา ไม่ใช่พวกฉันๆไม่สนใจเท่าไร แบบนี้ ถือว่าใจไม่เที่ยง) ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการจัดกิจกรรมอย่างคุ้มค่ากับเวลาที่ต้องมาร่วมและได้ความรู้สึกดีๆประทับใจกลับไป
- ผู้ดำเนินการทำเวทีชาวบ้านควรยกประเด็นหนึ่งประเด็นใด(อย่าให้มากประเด็น)มาพูดคุยในแต่ละครั้ง ถ้ามากประเด็นสมาชิกจะเกิดการโต้ตอบกันมากและกว้าง อาจหาข้อยุติได้ยากเพราะหลากหลายเกินไป
สรุปนี้เป็นเพียงข้อสังเกตคราวๆในมุมมองของผม แต่ผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำวเทีชาวบ้านมามากอาจพบประเด็นอื่นๆหรือมีมุมมองต่างไปจากผมก็ได้ มีประสบการณ์ความรู้ใดที่หลากหลายเพื่อเรียนรู้ที่จะนำไปปรับใช้เพื่อการพัฒนางานและชุมชนก็แชร์ความรู้กันบ้างนะครับ
สวัสดีครับ...ท่าน ผอ.จรัญ
ยินดีด้วยครับ...กับสมาชิก gotoknow คนใหม่ ดีจังเลยครับที่ท่าน ผอ. ได้บันทึกเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ คิดว่าโอกาสต่อไปน้ีคน กศน. น่าจะได้พัฒนาวิธีการเรียนรู้ร่วมกัน ขอบคุณมากครับสำหรับบันทึกดีๆที่นำมาเล่า ผมชอบมาก กับคำว่า "เน้นทำแบบไม่รีบร้อนแต่มั่นคงค่อยเดินแต่ต้อง สร้างความมั่นใจและมั่นคง ยึดแนวเศรษฐกิจพอเพียง" โดนใจจริงๆครับ...
ด้วยความเคารพ
ครูราญเมืองคอน คนนอกระบบ