คอมไม่ค่อยดีค่ะแห่ะๆเลยต้องมีตอนต่อ
เมื่อฉันเริ่มโตขึ้น มีสังคมแบบผู้ใหญ่ อาการเก็บตัวแบบเด็กๆก็เริ่มจางลง
แต่นั่นแหร่ะ ในขณะที่ฉันโตขึ้นในครอบครัวที่มีความสุข มีคุณพ่อและคุณแม่ที่รักฉันมาก ได้รับการทนุถนอมอย่างดี
แม้นครอบครัวของเราจะไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยขาดแคลน ฉันไม่เคยมีความรู้สึกว่าลำบากใดๆ
ไม่แม้นจะรู้สึกว่าไม่ได้ไม่มีในสิ่งที่ฉันต้องการ ต้องขอบคุณในความรักของท่านทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง
แต่ฉันกลับรู้สึกว่าบางครั้งในใจของฉันกลับมีความรู้สึกว่าว่างและเหงาอยู่ลึกๆโดยไม่ทราบสาเหตุที่มา
ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าฉันต้องการอะไรเช่นกัน
กระทั่งในวันหนึ่งเมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นที่ฝั่งตรงกันข้ามบ้านของฉัน
ไฟไหม้ครั้งนั้นเป็นเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ของจังหวัดที่ฉันอยู่เลยทีเดียว
มันน่ากลัวมากและกินเวลานานเหลือเกินในความรู้สึกของฉัน
ฉันซึ่งกำลังเป็นเด็กที่เริ่มเข้าวัยรุ่น ไม่เคยเจอสิ่งที่น่ากลัวเช่นนั้นมาก่อน ตกใจอย่างที่เรียกว่าขวัญหนี โชคดีที่ไม่ลุกลามมาถึงบ้านแต่ก็ใกล้ซะเหลือเกิน
คุณแม่พาฉันและพี่น้องไปไว้ยังที่อีกแห่งหนึ่งที่ไกลพอสมควรและท่านทั้งสองก็กลับไปเก็บของดูสถานการณ์
ฉันได้แต่รอๆๆ เวลาช่างผ่านไปนานเหลือเกิน ฉันคิดกลัวไปต่างๆนาๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทั้งภาวนาไปตลอดเวลา
ตอนนั้นด้วยความกลัวฉันจึงตั้งจิตอธิษฐานขอเอาผลบุญทุกชาติภพที่ได้กระทำมาและกล่าวว่าหากฉันและครอบครัวผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไปได้อย่างปลอดภัย ฉันจะเข้าเป็นสมาชิกศูนย์โยเร ที่เพื่อนของคุณแม่เคยมาชักชวน
และเมื่อทุกอย่างปลอดภัยดี คุณพ่อและคุณแม่มารับพวกเรากลับบ้าน ฉันก็เข้าเป็นสมาชิกจริงๆ
การเข้าเป็นสมาชิกต้องรับเหรียญโยเรด้วย หากทำเหรียญตกก็ต้องมีพิธีขอโทษ
นานวันเข้าเมื่อฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ฉันก็เริ่มรู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการแม้นจะพยายามไปที่ศูนย์แต่ก็ไม่ใช่อยู่ดี
ฉันเริ่มถอยห่างออกมา ชีวิตขณะนั้นต้องจากบ้านมาอยู่หอพัก
การที่ต้องปรับตัวหลายๆอย่าง ทำให้ฉันอึดอัดใจ
งานรับน้องก็ไปไม่ทันเพราะคุณแม่เข้าผ่าตัดขณะนั้นทำให้ฉันมาล่าช้ากว่าเพื่อนๆ ฉันจึงไม่ได้เข้าห้องเชียร์ ร้องเพลงกับเค้าก็ไม่ได้
วันที่ต้องเดินขึ้นดอยและขึ้นสแตนเพื่อร้องเพลงฉันก็ไม่ได้ขึ้นสแตนเพราะเกรงจะทำให้เค้าเสียได้แต่เดินขึ้นดอยอย่างเดียว
เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยมีใครรู้จัก จนป่านนี้ฉันยังร้องเพลงของคณะไม่ได้แถมเพลงประจำมหาวิทยาลัยก็อย่ามาชวนเลย
คงเป็นเด็กม.ช ที่ร้องเพลงประจำสถาบันไม่ได้เพียงคนเดียวกระมัง
ดีที่ในเวลาต่อมาเมื่อขึ้นปี่2ฉันมีเพื่อนร่วมกลุ่มที่สนิทกันยิ่งกว่าพี่น้อง(ซึ่งในภายหลังเราก็ยังคบกันจนถึงทุกวันนี้) ทำให้ฉันหายเหงาไปได้
ตอนนั้นเพื่อนๆฉันเข้าเป็นคริสเตียนนิกายโปรเตสแตน ฉันก็เข้าด้วยเพราะความอยากรู้ อยากสัมผัสพระเจ้า นานเป็นเวลาหลายปีกระทั่งเรียนจบ ฉันเข้ากลุ่มเซล ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์หากไม่ติดอะไร ทำกิจกรรมต่างๆตามแต่ที่โบสถ์จะให้ทำ เช่นสอนหนังสือเด็กหรือที่เรียกว่าครูรวี จัดกิจกรรมให้เด็กๆเล่นละครบ้าง
กระทั่งฉันเรียนจบและรับปริญญา เมื่อกลับมาอยู่ที่บ้านและห่างจากเพื่อนๆ เวลาที่ฉันไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ ฉันก็กลับไม่ได้อะไรกลับมา พยายามอ่านพระคัมภีร์ก็ไม่เข้าใจ
ที่ฉันเป็นแบบนี้ฉันรู้ดีว่าเพราะอะไร จริงๆแล้วฉันไม่ได้ทราบและเข้าใจในพระเจ้าจริงๆ แต่ถึงแม้นจะพยายามเข้าใจเช่นไรฉันก็หาเหตุและผลให้ตัวเองในเรื่องต่างๆไม่ได้ ถามพี่ๆก็ได้แต่คำตอบว่าให้เชื่อเท่านั้นโดยไม่มีข้อสงสัย
ฉันก็อยากจะเชื่อแห่ะๆ แต่ฉันห้ามความสงสัยไม่ได้นี่และทำไมเราถึงจะสงสัยไม่ได้ล่ะ
สุดท้ายนานเข้าฉันก็เริ่มไม่ไปโบสถ์ และขาดจากการเป็นคริสเตียนที่ดีในที่สุด
ชีวิตฉันขณะนั้นขาดที่ยึดเหนี่ยวเหมือนว่าวที่ขาดสายป่าน วันๆก็ใช้ชีวิตให้ผ่านไปกับการงานของทางบ้าน
ไปเที่ยวกับครอบครัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตามแต่คิดว่าจะไปที่ไหนกัน
กระทั่งเมื่อฉันอายุได้29ปี พี่ชายได้ไปหัดทำจิลเวลลี่ที่จันทบุรี
ได้มาเล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนาให้พวกเราฟังฉันเกิดศรัทธาและอยากค้นหาว่าจริงๆแล้วฉันจะสามารถหาสิ่งที่ต้องการได้หรือไม่
ฉันจึงตัดสินใจไปบวชชีพราหมณ์ที่จันทบุรี ประมาณอาทิตย์นึงโดยมีคุณแม่ตามไปอยู่เป็นเพื่อนด้วย อาจสงสัยว่าทำไมฉันไม่ไปคนเดียว
ก็อย่างที่บอกล่ะค่ะว่าท่านดูแลฉันอย่างดี จริงๆแล้วแต่ไหนแต่ไรมาท่านก็ไม่ได้ปล่อยให้ฉันไปไหนคนเดียว โดยไม่มีท่านไปด้วยอยู่แล้ว นอกจากตอนที่ฉันไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเพราะท่านตามไปด้วยไม่ได้
555ก็ฉันเป็นลูกสาวคนแรกนี่คะ ท่านเลยห่วงซะนัก
เมื่อฉันบวชเป็นครั้งแรกนั้น วันแรกๆฉันรู้สึกทรมานพอสมควรเพราะต้องถือศีล8 ทานได้แค่2มื้อ หลังเที่ยงแล้วจะทานอาหารไม่ได้เลย
คนทานเก่งอย่างฉันจึงรู้สึกแย่เต็มที แต่จากการได้ไปบวช ฉันได้รู้ทันทีว่า นี่แหล่ะคือสิ่งที่ฉันได้ค้นหามานาน
ในวันที่ฉันจะกลับ จู่ๆฉันก็เกิดนิมิตรขึ้น ตอนนั้นฉันไม่ทราบหรอกว่าคืออะไร เพิ่งจะทราบจากการเรียนถามครูบาอาจารย์เมื่อไม่นานมานี่เอง
ฉันจึงเกิดศรัทธาขึ้นมาก แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าตนเองคิดไปเองหรือเปล่า จึงไม่ได้บอกให้ใครทราบเก็บไว้รู้กับตัวเองเท่านั้น
ฮู้ว คุณสุกฤตาคะ คุณก็เขียนสนุกออกค่ะ ขออนุญาตเอาไปเข้าแพลนเน็ตของดิฉันนะคะ