เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสเข้าไปใน เวป พันทิพย์ ห้องสวนลุม
มีคนถามว่าลูกอายุ 1.5 ปี มีฟันหน้าผุจะทำอย่างไรดี ?
เด็กอายุขนาดนี้ ส่วนใหญ่พบฟันหน้าผุ
สาเหตุมาจากการดูดนมไม่ถูกต้อง (ทั้งนมแม่และนมขวด)
ที่สำคัญคือการดูดนมขวดที่หวาน
แล้วถ้าเจออย่างนี้ ผู้ปกครองควรจะทำอย่างไร?
ผู้ปกครองควรพาเด็กไปหาหมอฟัน เพื่อขอคำแนะนำ
หมอจะดูว่าฟันที่ผุมากน้อยขนาดไหน ผูตรงไหนบ้าง
และรุนแรงเท่าไร
เพื่อให้คำแนะนำได้ถูกต้อง โดยการรักษาขึ้นอยู่กับผู้ปกครอง
พฤติกรรมเด็ก และตัวทันตแพทย์เอง
เริ่มจากการดูความรุนแรงของโรคฟันผุ หากผุไม่มาก
ยังไม่มีอาการปวดหรือเสียวฟัน ทันตแพทย์อาจให้รอไปก่อน
แต่ผู้ปกครองต้องทำความสะอาดฟันเด็กให้ได้และยกเลิกพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดฟันผุ จากนั้นรอให้เด็กอายุมากพอ
(ประมาณ 3 ปีขึ้นไป) แต่ถ้าหากเด็กมีปัญหาเรื่องความเจ็บปวด
ทันตแพทย์ก็จะทำการรักษาให้
ซึ่งแนวทางการรักษานั้นขึ้นอยู่กัยพฤติกรรมเด็กและผู้ปกครอง บางครั้งอาจจำเป็นต้องส่งตัวไปให้ทันตแพทย์สำหรับเด็ก
ซึ่งจะมีความเชี่ยวชาญมากกว่าในการรักษา
วิธีการรักษา ประการแรกต้องคุยกับผู้ปกครองก่อน
ว่าต้องการแนวการรักษาอย่างไร เพราะทันตแพทย์มีแนวการรักษาได้หลายแบบ
อาทิ การรักษาแบบเฉพาะซี่ที่เป็นปัญหา
หรือการรักษาปัญหาทั้งหมด
หรือการรักษาแบบเป็นทันตแพทย์ประจำมีการติดตามหลังการรักษาเป็นระยะ
ๆ อีกอย่างหนึ่งคือพฤติกรรมเด็ก หากเด็กไม่ยอม
(ปกติแล้วเด็กวัยนี้จะไม่ยอม) ทันตแพทย์อาจทำฟันโดยวิธีปกติไม่ได้
อาจจำเป็นต้องใช้กรรมวิธีเฉพาะซึ่งมีตั้งแต่การจับ
การรับประทานยานอนหลับ การดมยาสลบ
ซึ่งประการนี้ต้องคุยกับทันตแพทย์เด็กที่มีประสบการณ์มากพอ
สุดท้ายตัวทันตแพทย์ผู้รักษาเองมีแนวคิดในการรักษาอย่างไร
ทันตแพทย์บางท่านอาจจะเห็นเด็กแล้วไม่อยากทำก็อาจจะปฎิเสธการรักษาโดยส่วนใหญ่จะให้ยากลับไปทานก่อน
ทันตแพทย์บางท่านอาจทำการรักษาให้ โดยเฉพาะทันตแพทย์สำหรับเด็ก
ก็ต้องมีการตกลงกันระหว่าผู้ปกครองกับทันตแพทย์เอง
แนวทางการรักษาก็มีตั้งแต่การอุดฟัน กรณึที่ผุเล็กน้อย
หากผุมากเป็นลักษณะการกร่อนทั้งซี่แต่ไม่ปวดอาจต้องทำการครอบฟันซึ่งมี
2 ชนิดคือครอบสีเหมือนฟัน (ซึ่งแตกหักได้) และครอบฟันโลหะ
และถ้าหากมีอาการปวดหรือทะลุโพรงประสาทฟันแล้วทันตแพทย์ต้องทำการรักษารากฟันก่อน
แล้วครอบฟันต่อให้
(แนวการรักษาอาจมีการเปลี่ยนแปลงแล้วแต่ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์ท่านนั้น
ๆ)
อย่างไรก็ตามการรักษาฟันในเด็กเล็กต้องขึ้นอยู่กับผู้ปกครอง เด็ก
และทันตแพทย์ โดยเฉพาะผู้ปกครอง
เพราะถ้าผู้ปกครองยังมีทัศนคติต่อการรักษาฟันน้ำนมที่ไม่ถูกต้อง
ไม่เห็นความสำคัญของฟันน้ำนม ก็จะไม่ได้รับความร่วมมือในการรักษา
อีกประการหนึ่งหาก รักษาจนเสร็จไปแล้ว ผู้ปกครองไม่ดูแลต่อ
เด็กก็จะกลับมาผุได้อีก ทำให้หมอฟันไม่ตกงานซักที
ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญ ....... สุดท้าย
การป้องกันไม่ให้ฟันผุ ดีกว่ามาแก้ปัญหาเมื่อฟันผุแล้ว
และถ้าหากเด็กมีฟันผุแล้ว
ผู้ปกครองก็ต้องมีหน้าที่จะรักษาไม่ให้เด็กเกิดความทุกข์ทรมาณ
ซึ่งสาเหตุไม่ได้มาจากตัวเด็กเอง
|