ตอนเป็นเด็ก ผมและน้องๆ ชอบไปจับปลาในคูน้ำ คือพอเข้าหน้าแล้งน้ำในคูจะงวดลงๆ จะมีเด็กๆ มาทำเขื่อนแบ่งข้างคูน้ำ แล้ววิดน้ำออกจากคูข้างหนึ่ง พอน้ำแห้งเหลือแค่โคลนก็ลงไปสุ่มปลา หรืองมโคลนจับปลาเอาดื้อๆ พวกผมก็แก้ผ้าลงไปผสมโรงเป็นที่สนุกสนาน
ปลาที่จับได้มีปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ ปลาสลิด และปลากระดี่ ปลาที่อันตรายที่สุดคือปลาดุก เพราะมีเงี่ยงอยู่สองข้างแก้ม พอเราไปจับตัวมันมันก็จะดิ้นและสะบัดหัวอย่างแรงให้เงี่ยงตำมือหรือเท่าที่เราไปโดนมัน โดนเต็มที่ก็เจ็บไม่เบา และเลือดออกแดงฉาน โดนหลายๆ ครั้งเข้าเราก็หัดจับปลาดุกจน "จับเป็น" ไม่โดนมันยักอีกต่อไป คำว่า "ปลาดุกยัก" นี่เป็นภาษากลางนะครับ ภาษาปักษ์ใต้ว่า "ปลาดุกแทง"
ปลาที่อันตรายเหมือนกัน แต่น้อยกว่าปลาดุก คือปลาหมอ ที่เงือกคม บาดมือได้เหมือนกัน เรื่องโดนปลาดุกยักนี้ผู้ใหญ่เขาไม่ค่อยโดนเพราะเขาจับปลาจนชำนาญ และนอกจากนั้นฝ่ามือของเขาด้านหนามากจากการทำงานหนัก ปลายักไม่ค่อยเข้า พวกเราเด็กๆ มือบางโดนปลาดุกยักง่าย
ที่จริงแม่ผมห้ามไม่ให้ลงไปจับปลาในคู แต่เผลอไม่ได้ เราอยากลงไปเล่นตามเพื่อนๆ บางทีเราได้ปลาตัวโตๆ หลายตัวมาให้แม่ทำกับข้าว แม่ก็ไม่ว่าอะไร
ผมจับปลาดุกเก่งตอนโตสัก ๑๐ - ๑๑ ขวบ จากการไปธงปลาที่ริมคันนาตอนค่ำ พอตกประมาณสองทุ่มเราก็ไปกู้เบ็ด โดยถือข้องไปใส่ปลา และเอาเหยื่อ (ไส้เดือน) ไปใส่เบ็ดใหม่ ในกรณีที่ปลาติดเบ็ดแล้วและมักกินเหยื่อไปแล้ว ตอนเดือนมืดปลาจะกินเเหยื่อดี เราต้องจุดไต้ส่องให้แสงสว่าง สมัยนั้นไฟฉายและถ่านไฟฉายราคาแพง เราใช้ไต้กันเป็นพื้น ปลาที่มากินเบ็ดมักเป็นปลาดุก อาจมีปลาช่อนบ้าง ผมจึงได้หัดจับปลาดุกอย่างมั่นมือเพื่อปลดเบ็ดออกจากปากมัน และจับมันยัดลงข้อง เรามักไปกัน ๒ คน ช่วยกันส่องไฟและจับปลา รวมทั้งเป็นเพื่อนกันด้วย มืดๆ เรากลัวผี การไปธงปลากลางคืนนี้ แม่ห้ามจนเลิกห้าม เพราะได้ปลามากคืนละเป็นสิบตัว ทุ่นค่ากับข้าวไปเยอะ
น้องชายคนที่ ๒ เคยโดนปลาดุกยักที่มือ มือบวมขึ้นมาถึงแขน เจ็บปวดมาก นอนครวญครางทั้งคืน แม่ให้กินยาแอสไพรินแก้ปวด ก็ไม่ได้ผล ที่จริงเขาเคยโดนมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยแพ้พิษรุนแรงขนาดนี้
วิจารณ์ พานิช
๔ มค. ๕๐
ไม่มีความเห็น