ที่จริงการเรียนรู้ของเรา...มักอ้างอิงมาตรฐานอ่ะครับ....
ซึ่งคำว่าดีมีคุณธรรม...ตามตัวหนังสือนั้น...กินความหมายแค่ไม่ถึง 1 % ของความหมายทั้งหมดเท่านั้น... ความหมายที่ซ่อนอยู่หลังตัวหนังสือ...จึงหามาตรฐานอะไรมาเรียนรู้แล้ววัดผลให้ได้มาตรฐาน(เชิงประจักษ์)ได้...
แต่สามารถซึมซับได้...
ครูทั้งหลาย...ที่ผ่านการเรียนรู้ทั้งในระบบการศึกษาและประสบการณ์ การเกิด การเลี้ยงดู จากครอบครัวสังคมวัฒนธรรม ที่แวดล้อมอยู่ ก็ได้อาศัยองค์ประกอบต่าง ๆ เหล่านี้...สร้างให้เขาเป็นครูคนหนึ่ง...ที่ต้องสอนหนังสือไปตามตำราพร้อม ๆ กับสิ่งที่ถ่ายทอดคุณธรรมความดี(และเลวร้าย)ซึ่งพกพาอยู่เบื้องหลัง(Backpack)ของเขา...
อย่างไรก็ตาม...นักเรียนนักศึกษา... ก็ไม่ได้รับสิ่งที่ครูถ่ายทอดให้ทั้งหมดหรอกครับ... เพราะเขาก็มีเบื้องหลัง(Backpack)อยู่ไม่น้อย... เพียงแต่เราคาดหวังว่า...จะมีครูจำนวนมาก ที่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่ดีงามให้กับศิษย์ได้...แม้ไม่ทั้งหมดก็ตาม....
อาจารย์ครับ...ทดลองใช้ตัวหนาเพิ่มสีฉากหลังหรือเน้นสีบ้างซิครับ...จะดูน่าอ่านมากขึ้น...
เรื่องเวลา...หรือเงิน...เป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้นอ่ะครับอาจารย์... รวมทั้งการทำบุญด้วยครับ....อิอิ
เวลาไม่ได้เป็นของใคร....และไม่มีใครต้องขึ้นอยู่กับเวลา....
เงินไม่ได้เป็นของใคร...และก็ไม่มีใครต้องขึ้นอยู่กับเงิน...
ผมคิดว่า...ที่เราต้องอยู่กับทั้งเวลาและเงิน...เพราะว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล....ซึ่งทั้งเงินและเวลาก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล....ที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอ่ะครับ...
เราจะเดินวกวนอยู่ในกระแสความเป็นไปในห้วงจักรวาล...หรือเราจะแอบกระโดดออกมามองความเป็นไปให้เห็นชัด ๆ ว่าทุกสิ่งกำลังเดินทางไปอย่างไร... แล้วกำหนดเส้นทางเดินของตน(อย่างแน่วแน่)... ซึ่งส่งผลต่อจักรวาลทั้งระบบ(ราวกับว่าเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ปานฉะนั้น)...นั่นก็แล้วแต่เราจะตัดสินใจเลือกแล้วอ่ะคับ...
ชื่อย่อของศัพท์ทางคอมพิวเตอร์
ขอเก็บขึ้นรายชื่อไว้นะครับอาจารย์...
เที่ยวได้บอกตัวย่อเขาไป...โดนถามว่าย่อมาจากอะไร...เซ่อรับทานซิครับ....555
อัจฉริยะ อัศจรรย์
งั้นผมคงเข้าใจผิดแล้วละครับพระอาจารย์....
เพราะลูกชายคนที่สองของผม...วัดไอคิวแล้วสูงกว่าพี่ชายเขา....ผมบอกว่าเขาเป็นอัจฉริยะ...
แต่แล้วพี่ชายเขาพบแต่การปรบมือ..ยกนิ้วให้...(เพราะขยันขันแข็ง...แข่งขันชนะอยู่เรื่อย ๆ) ส่วนน้องชาย...ติดอาการเฉื่อยฉ่ำจนแม่เขามักยกความดีในการถ่ายทอดความเฉื่อยแฉะให้ผมรับผิดชอบอยู่ร่ำไป...555
ส่วนคนที่เขาปลีกกายซ่อนตน...แต่เข้าถึงการบรรลุธรรมขั้นสูงได้...แล้วไม่มีใครปรบมือ...ยกนิ้วให้...แบบนี้ควรเรียกว่าอัจฉิยะได้หรือไม่ครับ...พระอาจารย์
อิทธิ ฤทธิ์
คนเรานี่...อยากมีอิทธิฤทธิ์โดยที่ไม่เคยเข้าใจมันอย่างถ่องแท้จริง ๆ นะครับ...พระอาจารย์...
บางพวกก็ชอบแสดง อิทธิฤทธิ์ ให้เห็นเป็นประจำ...โดยไม่ได้รู้เลยว่าอาการอันเป็น อิทธิฤทธิ์ นั้น... หาได้เป็นสิ่งที่ควรยึดเป็นสรณะไม่....
แล้วอิทธิพลล่ะครับพระอาจารย์...ดูคำแปลน่าจะไปในทางดี...แต่มัยถูกมองว่าเป็นผู้ร้าย เป็นผู้มีอิทธิพล...โดนแน่....5555
ชอบซื้อหวยนี่เป็นกรรมที่ไม่สามารถตัดรอนได้ง่าย(สำหรับคนส่วนใหญ่...อิอิ)...
เพราะว่าบางคนเก็บเป็นจิตใต้สำนึก...ประมาณว่าอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจอ่ะครับ... และอาจมีปัจจัยเอื้ออื่น ๆ ... เช่นเป็นทางผ่าน / มีคนมาเสนอถึงที่ ... บางคนไม่เข้าใจตนเอง...รู้สึกว่ามีความสุขกับการได้ลุ้น...
ราวกับว่าหวย มีอิทธิพล ต่อคนไทยไม่น้อย.... แต่ว่าพลังแห่งความสำเร็จนี้หาได้ยั่งยืนไม่(เทียบได้กับไม่สำเร็จ)...
ความสุขในชาตินี้และชาติหน้า
ชาติหน้าของพระอาจารย์นี่...หมายถึงวงรอบต่อไปของอิทัปปัจจยตา...หรือว่าตายแล้วเกิดใหม่ครับ...5555
มาถึงก็ขัดคอกันเลย....
ช่วงนี้คนติดตามอ่านพระอาจารย์อย่างเดียวเลยนะครับ...ผมกลับมาหลังไปเก็บตัวฝึกปรือฝีมือ... ก็ยังหาคู่ปรับพระอาจารย์มิได้...อิอิ
อาลัย
พระอาจารย์ครับ...หมดอาลัย นี่...ก็เป็นอีกคำหนึ่งที่ พิจารณาโดยละเอียด...สู่ละเอียดหมดจด...จนสิ้นเชื้ออาลัยไม่หลงเหลืออีก... ก็จะเป็นเส้นทางสู่นิพพานได้เช่นกัน....
แต่ตายยากนี่...ผมว่าเป็นเรื่องของ ธรรมะ ที่ไม่มีวันตายต่างหากครับ พระอาจารย์....5555
ทำไมชื่อ Handy ?
ครับอาจารย์... ผมชอบความหมายที่อาจารย์แปลเองมากกว่าความหมายที่ฝรั่งมังค่าเขาแปรอ่ะครับ...
เพราะมันตรงกับสิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกจริง ๆ ...
โดยเฉพาะ....อาจารย์อยากจะให้เรื่องของอาจารย์ไม่ไม่หนัก...เชื่อไหมครับยิ่งเราปลดปล่อยทิ้งไป...มันก็ยิ่งพอกพูนขึ้น... (ผมคิดว่าถ้าเราปลดปล่อย อวิชชา...เราก็เพิ่มพูน วิชชา..มากขึ้นครับ)
ชื่อนั้นเป็น สิ่งสมมติ.... เช่นเดียวกับ "นายขำ"...ที่อยากขำแต่บางครั้งก็ขำไม่ออก...555
พระอาจารย์ครับ...มิใช่ว่าผมเห็นท่านมีพันธมิตรเกิดขึ้นมากมายแล้วจะทิ้งท่านไป...ผมแอบเฝ้าชื่นชมเส้นทางที่เป็นไปของพระอาจารย์น่ะครับ(อย่างนี้จะเรียกว่าบารมีหรือปล่าวนะ...555)
สิ่งนึงที่พิสูจน์ได้ว่าพระอาจารย์ของผมยังควบคุมอาการหลงในสรรเสริญได้ก็คือ...ท่านยังมีอาการถ่อมตัวเป็นนิจสิน(ถ้าเป็นผมล่ะก็...5555)
พระอาจารย์ครับนี่เป็นเส้นทางพิสูจน์ว่าการผ่านด่านปิติสุขเป็นอย่างไร...(ว่าแล้วอยากเป็นลูกศิษย์ลูกหาจริงเชียว...อิอิ)...
อุเบกขาในภาคปฏิบัติเกิดขึ้นกับพระอาจารย์แล้วจริง ๆ ครับ....
เสาร์อาทิตย์เป็นเวลาของ...ห่วง(ลูกและภรรยา)ผูกคออยู่ครับพระอาจารย์... ได้แต่แอบเข้ามาอ่านแต่ไม่ตอบ...เพราะที่บ้านมีการจองคอมฯเต็มอัตราศึก(อีกอย่าง อักษรภาษาไทยที่บ้านหายหมด แต่ทั้งลูกและภรรยาเขาสามารถพิมพ์สัมผัสได้...เราเลยหมดโอกาส...5555)... แค่ได้อ่านก็หลับอย่างปิติสุขแล้วครับ(ด่านปิติสุขนี่ผ่านยากจริงๆ...555)
พระอาจารย์เล่ามานี่...น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวครับ...
หากมีโอกาสประมือ(แลกเปลี่ยนเคล็ดวิชา)กับพวกเขา... ซือแป๋ใยมิส่งข่าวคราวให้เราผู้เป็นศิษย์ร่วมประลองฝีมือด้วยเล่า... สนามประลองคงครึกครื้นมิใช่น้อย... ยิ่งทราบยิ่งคันมือคันไม้...คันหัวใจใคร่อยากจะเกาจริง ๆ ครับ...5555
พระอาจารย์ครับ....
มาตรว่าพลังฝีมือเหล่าจอมยุทธ์ซ่อนตัวเร้นกาย...หมายสร้างคนรุ่นหลังเข้าสู่วงการยุทธจักรได้น่าสะพรึงกล้วปานใด...
ข้าน้อยยังเชื่อว่า...ซือแป๋ท่านยังรับมือได้....
พระอาจารย์ครับ....
มาตรว่าพลังฝีมือเหล่าจอมยุทธ์ซ่อนตัวเร้นกาย...หมายสร้างคนรุ่นหลังเข้าสู่วงการยุทธจักรได้น่าสะพรึงกล้วปานใด...
ข้าน้อยยังเชื่อว่า...ซือแป๋ท่านยังรับมือได้....
เกิดมาเพื่อแสวงหาความสุข
อาจารย์เก๋(ไม่รู้เรียกถูกป่าว)ครับ....
ข้อเดียวน่ะ...สุดยอดแล้วครับ
การงานไม่มีโทษ...ขออนุญาตล้ำเส้นพระอาจารย์นิดนึง(ตามประสานักขัดคอ...อิอิ) การงานไม่มีโทษ(มีแต่คุณ)มีอาชีพเดียวครับ...พระสมณเจ้า(ที่ประพฤติตนตามพระธรรมวินัยจริงๆ...อิอิ)เท่านั้น...555
ตีความโดยหยาบๆ...อาจมีอาชีพที่เป็นสัมมาชีพอีกหลายอาชีพ...แต่ทำแล้วหวังผลเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นอย่างแท้จริง เช่น เป็นครูก็มุ่งมั่นสอนนักเรียนให้ได้ความรู้เกิดปัญญาจริง ๆ ไม่มุ่งหวังอามิสสินจ้างจนกระทั่งต้องสอนในเวลาไม่เต็มที่ ไปสอนพิเศษดีกว่าประมาณนี้... เป็นหมอก็รักษาคนไข้โดยมุ่งหวังให้หายจากโรคภัยจริง ๆ ไม่เลี้ยงไข้ไว้ไปเจอกันที่คลีนิค....555
เข้าใจว่าอาจารย์เก๋คงหมายถึงประเด็นหลังมากกว่า....และอาจารย์เก๋คงเป็นอาจารย์อย่างที่ผมคิด...ซึ่งสอบผ่าน 3 ข้อแรกตั้งแต่ต้นแล้วอ่ะครับ....
เมื่อ จ. 15 ม.ค. 2550 @ 09:48 (137808)
อีกคำนึงคือค่านิยมลวงอ่ะครับ...พระอาจารย์
ผมได้พูดคุยกับน้องที่เขาไปเก็บตัวตกผลึกทางความคิด(คนนั้นแหละครับ)... เขาเห็นว่าค่านิยมลวงเกิดขึ้นจากการเห็นความจริงขั้นที่สอง
ความจริงสูงสุด..คือ...สัจจธรรม...อันนี้น้องเขาไม่ได้บอก...ผมว่าเอง...555
ความจริงขั้นแรก...การเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็น...เขาเปรียบเทียบการมองของเด็กกับการมองของเรา...เรามักปรุงแต่เกินกว่าสิ่งที่เป็นอยู่จริง...
ความจริงขั้นที่สอง...(หรือความจริงที่หลอกลวง) เราผนวกเอาอาการรับรู้ทางผัสสะต่าง ๆ ร่วมสร้างอุปทาน...เช่นแทนที่จะกินอาหารเพื่อมีชีวิตอยู่..ก็ต้องให้อร่อยด้วย แทนที่จะมีที่อยู่อาศัยกันลมกันฝน...ก็ต้องใหญ่โตหรูหรา...แทนที่จะมีเครื่องนุ่งห่มพอปิดบังกาย...ก็ต้องสวยงาม(แถมโชว์นั่นโชว์นี่อีกต่างหาก...อันนี้ผมว่าเองครับ...อิอิ)แทนที่จะใช้ยารักษาโรคให้ตรงกับอาการ...ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลดีๆ หมอเก่ง ๆ...
กลายเป็นค่านิยมลวงที่เกิดขึ้น... คราวนี้สิ่งที่พอกพูนให้หนาขึ้นก็คือความจริงขั้นที่ 3 คือการปรุงแต่งให้เลิศหรูสแมนแตนมากขึ้นไปอีก...
น้องเขาเชื่อว่าการแก้ปัญหาในปัจจุบันเป็นการแก้ปัญหาของความจริงระดับที่ 3 มากกว่า...ซึ่งมันทำให้เกิดอาการยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง...เพราะมันจะพัวพันกันไปมาไม่รู้จักจบ...เฮ้อ..