เวทีสรุปงานประจำคราวที่ยางคำนี้ ดูเหมือนว่าโปรแกรมอื่น ๆ ที่จัดไว้ก็สอดคล้องส่งเสริมกันไปในโทนเดียว ๆ กันไปหมด ภาพพจน์ของดิฉันต่อสายตาชาวบ้านระหว่างงานนั้น ชาวบ้านเล่าให้ฟังตอนหลังผ่านคนอื่นว่า
“เห็นสภาพของหัวหน้า แม่คิดว่า หัวหน้าจะไม่รอดแล้ว “
ดิฉันคิดว่าความกลัวอันนี้ทำให้ชาวบ้านเกิดความอาลัยปนเศร้านิด ทำให้เมื่อดิฉันพาทำอะไรเขาก็ทำกันอย่างเต็มที่ และเมื่อดิฉันพูดอะไรก็ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ ตั้งใจร่วมกิจกรรมเป็นพิเศษ
โปรแกรมอื่น ๆ เช่น ชาวบ้านได้ฟังวีซีดี เรื่องจิตวิญญาณเกษตรกรรม โดยก่อนหน้าที่จะฟัง ดิฉันได้เตรียมจิตใจชาวบ้านให้พร้อม ให้นิ่มนวลโดยการให้นอนราบกับพื้น เพื่อคลายร่างกายให้สบาย ๆ แล้วก็ให้ทำพับเปลือกตาเบา ๆ แล้วพาชาวบ้านท่องเที่ยวไปในอากาศตามเสียงของเราที่เล่าจินตนาการ ชาวบ้านก็ชอบมาก หลังจากรายการท่องเที่ยวตามจินตนาการจบแล้ว เขาเล่าว่าเขาได้ไปตามที่ที่ดิฉันเล่าไปจริง ๆ
การขับลำกลอนโต้ตอบกันหลายครั้งประกอบในระหว่างประชุม เริ่มจากการปล่อยกลอนลำเพื่อให้เพื่อน ๆ ได้ฟ้อน มีแข่งกันระหว่างผู้ฟ้อนกับนักดนตรีใครจะแพ้ ปีนี้ปรากฏว่านักดนตรีแพ้เพราะร้องเพลงจนหมดเพลงร้อง แต่นักฟ้อนไม่ยอมเหนื่อย พอได้เวลาที่จะต้องพักจริงก็พากันหยุดแล้วมีการลำลาที่ไม่มีในโผ
ฝ่ายชาย ตู้ทอง เริ่ม เอ่ยคำอำลากลับไปบ้านเพราะสมควรแก่เวลาแล้ว ไปทั้งที่ไม่อยากจาก พี่ไปแล้วก็อย่าได้ลืมกันนะ
แล้วโดยอัติโนมัติ ฝ่ายหญิง มณีวรรณ ก็โต้ตอบอย่างอ่อนหวานและเศร้าสร้อย น้องยังไม่อยากจาก ถ้าพี่กลับก็จะคิดถึง ได้ยินเสียงนกร้องก็เหมือนเสียงพี่มาร้องเรียก กลับไปแล้วไปเจอสาวคนใหม่กลัวพี่จะลืมน้อง ให้กลับมาหานะ ...น้องจะคอย
งานคืนนั้นจบลงอย่างเศร้า หวาน และงดงาม เป็นความเศร้า หวานและงามที่เราสร้างไม่ได้
วันถัด ๆ มา เราร้อง รำ ลำ ทุกช่วงเวลาที่ว่าง ฟ้อนกันเต็มที่จนกระทั่งมันได้เหนี่ยวนำไปสู่ความคิด ที่ชาวบ้านประกาศกันขึ้นมาว่า ปีหน้าเราจะแสดงหมอลำในเวทีสรุปงาน
ดิฉันตื่นเต้นกับความคิดนี้มาก มันจะเป็นเวทีที่สนุกสนานสุด ๆ รายงานผลการทำงานและข้อประทับใจของตนเองออกมาเป็นหมอลำ ลำกลอน ลำเต้ยอะไรต่าง ๆ
และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ การที่ชาวบ้านได้เรียนรู้ที่จะเป็นผู้กำหนดรายการเองว่าจะให้เวทีสรุปงานออกมาในรูปแบบใด
เนื่องจากได้เห็นอิทธิพลของดนตรี การขับลำที่มันไม่ใช่เพียงเครื่องมือสำหรับความบันเทิงเท่านั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต และเป็นเครื่องมือที่สะท้อนชีวิตได้ทั้งสนุกและลึกซึ้งไพเราะกินใจ เหมือนเวลาพวกคนรุ่นใหญ่ ยามราตรีแล้วได้ยินเสียงแคนแว่วมาตามลม ก็จะรำพึง โอ...ออนซอนเด้ เสียงแคนม่วนแท้หนอ...
ส่วนบทเพลงที่พวกพ่อ ๆ ชอบเล่นก็จะเป็นเพลงรุ่นเก่า เพลงสุรพล หมอลำเคน เพลงเต้ย ...สนุกกันถึงขนาด วันที่พ่อมั่นมาถึงตอนเย็นเพื่อพักค้างกับพวกเรา รุ่งเช้าจะเป็นรายการของพ่อที่จะแลกเปลี่ยน
หลังจากกินข้าวเย็นแล้ว พ่อร่วมกิจกรรมสักพักแล้วก็พักผ่อน ยิ่งดึกเพลงก็ยิ่งมัน จัดเพลงได้ดีมากวันนั้น และมีการจี่ข้าวจี่รอบดึก ดิฉันแอบเห็นพ่อมั่นกลับ ออกมาจากเตนท์ที่พักมายืนดูอยู่รอบนอก และพ่อมั่นยืนดวงตาเป็นประกายฮัมเพลงอยู่ในลำคอตามเพลงที่คณะดนตรีกำลังบรรเลงและกำลังร้องอยู่นั้น ไม่มีใครสังเกตเห็น จนกระทั่งตอนแจกข้าวจึ่ชาวบ้านถึงรู้ว่าพ่อกลับมาฟังเพลงอีก ดิฉันเสียดายที่ไม่ได้เชิญพ่อมั่นร่วมแจมกับนักร้องของเรา!!
การออกมานำเสนอผลการทำงานของกลุ่ม เราก็จัดให้ทำขบวนแห่ออกมา มีการเล่นละครสั้น บทบาทสมมติ เล่นกันสด ๆ ตอนนั้นเลย คิดบทปัจจุบันทันด่วน .....
ดิฉันเห็นว่า บรรยากาศ แบบนี้เหมือนกับว่ามีแต่ความสนุก แต่เนื้อหาที่ได้ก็ลึกซึ้งไม่น้อยเลย และการมีส่วนร่วมของคนเป็นไปแบบธรรมชาติมาก แล้วเขาก็มีการจัดการตัวเอง พยายามลำดับ จัดรายการช่วยกัน สื่อสารกันในกลุ่มกันเอง คนได้เป็นอิสระ จากความกลัว ความเกร็ง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย คนก็ได้ความเป็นธรรมชาติกลับคืนมา
....