GotoKnow

ออกกำลังกาย vs ยา: ไขความจริงงานวิจัยใหม่ ชี้ทางรอดให้ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องต้องเลือก แต่ต้องไปด้วยกัน

ทีมข่าวสุขภาพและสุขภาวะ
เขียนเมื่อ 5 กรกฎาคม 2568 20:30 น. ()

กระแสข่าว “ออกกำลังกายดีกว่ายา” เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่กลับเป็นซ้ำ ได้จุดประกายความหวังครั้งใหญ่ให้แก่ผู้ป่วยและผู้รอดชีวิต ทว่าเมื่อเจาะลึกงานวิจัยชิ้นสำคัญที่ตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๘ จะพบว่าหัวใจของเรื่องนี้ไม่ใช่การวัดพลังกันระหว่าง “ยา” กับ “การขยับร่างกาย” แต่เป็นการเปิดแนวทางการฟื้นฟูแบบองค์รวม ที่ผสานบทบาทอันโดดเด่นของการรักษาทางการแพทย์เข้ากับการออกกำลังกายที่มีแบบแผน เพื่อสร้างโอกาสรอดชีวิตและสุขภาวะในระยะยาวที่ดีที่สุด

ประเด็นนี้ใกล้ตัวคนไทยกว่าที่คิด

มะเร็งลำไส้ใหญ่คือมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับ ๓ ของไทย และมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในประเทศที่มะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง ทุกความก้าวหน้าที่เพิ่มโอกาสรอดและคุณภาพชีวิตจึงมีความหมายอย่างยิ่ง งานวิจัยระดับโลกชิ้นนี้จึงมอบบทเรียนสำคัญ ไม่ใช่แค่สำหรับผู้ป่วย แต่ยังรวมถึงเครือข่ายโรงพยาบาลและศูนย์ฟื้นฟูมะเร็งทั่วประเทศ

เจาะลึกงานวิจัยสำคัญ

งานวิจัยชิ้นนี้ได้ติดตามผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ ๘๘๙ คน ที่ผ่านการผ่าตัดและเคมีบำบัดครบถ้วน โดยเริ่มโครงการหลังสิ้นสุดการรักษา ๓–๖ เดือน แล้วแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม

  • กลุ่มแรก เข้าร่วมโปรแกรมออกกำลังกายอย่างเป็นระบบภายใต้การดูแลของโค้ชมืออาชีพต่อเนื่อง ๓ ปี ซึ่งประกอบด้วยการพบผู้เชี่ยวชาญ การให้คำปรึกษา สร้างแรงบันดาลใจ และการออกกำลังกายกลุ่มแบบใกล้ชิด
  • กลุ่มที่สอง ได้รับเพียงเอกสารคำแนะนำด้านสุขภาพทั่วไป เช่น คู่มือการออกกำลังกายและโภชนาการ โดยไม่มีการติดตามหรือเข้าร่วมกิจกรรมโดยตรง

หลังติดตามผลนานเกือบ ๘ ปี ผลลัพธ์ปรากฏชัดเจนว่า กลุ่มที่ได้ออกกำลังกายในโปรแกรมอย่างต่อเนื่อง มีอัตรารอดชีวิตโดยปราศจากโรคที่ ๕ ปี สูงถึง ๘๐.๓% เทียบกับ ๗๓.๙% ในกลุ่มที่ได้แค่คำแนะนำ ส่วนอัตรารอดชีวิตโดยรวมที่ ๘ ปี อยู่ที่ ๙๐.๓% เทียบกับ ๘๓.๒% (NEJM article)

บทสรุป: ออกกำลังกายคือหัวใจสำคัญ แต่อย่าเข้าใจผิด

งานวิจัยนี้ไม่ได้กำลังบอกว่า “การออกกำลังกายสามารถใช้แทนยา” หรือเคมีบำบัดได้ เพราะผู้เข้าร่วมทุกคนล้วนผ่านการรักษาทางการแพทย์มาตรฐานมาแล้วทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ค้นพบคือ “การออกกำลังกายอย่างมีเป้าหมายและมีระบบสนับสนุน” คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยต่อยอดความสำเร็จทางการรักษาให้ดียิ่งขึ้น เหมือนที่นักวิชาการด้านระบาดวิทยาและสาธารณสุขย้ำว่า โอกาสรอดชีวิตสูงสุดของผู้ป่วยมะเร็งเกิดจากการผสมผสานการแพทย์สมัยใหม่เข้ากับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ไม่ใช่การเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง (The Guardian)

ทำไมการออกกำลังกายแบบมีโค้ชจึงสร้างความแตกต่าง

ทีมวิจัยชี้ว่าปัจจัย ๓ ประการที่ทำให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ คือ

  • การมีโค้ชและผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
  • การได้ออกกำลังกายเป็นกลุ่ม มีเพื่อนร่วมทางคอยให้กำลังใจ
  • การมีแรงกระตุ้นให้สร้างนิสัยใหม่และทำได้อย่างสม่ำเสมอ

การแค่บอกให้ผู้ป่วย “ไปออกกำลังกาย” นั้นพูดง่าย แต่การลงมือทำจริงให้เป็นกิจวัตรกลับเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะหลังการรักษาที่ร่างกายอ่อนเพลียและสภาพจิตใจยังเปราะบาง งานวิจัยนี้จึงพิสูจน์ว่า “ระบบสนับสนุน” ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญและเพื่อนผู้ป่วย คือกุญแจสู่ความสำเร็จ

มองผ่านบริบทสุขภาพของไทย

สำหรับผู้ป่วยและระบบสุขภาพของไทย ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับงานศึกษาการฟื้นฟูในประเทศที่ค้นพบว่า ความร่วมมือระหว่างทีมพยาบาลและผู้ป่วย การวางแผนกิจกรรมทางกายที่เหมาะสมกับรายบุคคล และการให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง มีผลอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวและความสามารถในการกลับไปใช้ชีวิตของผู้ป่วยหลังผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Thai Journal of Nursing Research)

ปัจจุบัน โรงพยาบาลและคลินิกฟื้นฟูมะเร็งในไทยหลายแห่งเริ่มนำโปรแกรมบูรณาการมาใช้มากขึ้น ทั้งการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกาย กิจกรรมออกกำลังกายกลุ่ม และการดูแลด้านจิตใจ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับนโยบายของสถาบันมะเร็งแห่งชาติและกระทรวงสาธารณสุข ที่ส่งเสริมกิจกรรมทางกายและรณรงค์เรื่องสุขภาพในทุกช่วงวัย (PMC)

เสียงสะท้อนจากแพทย์ฟื้นฟูและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก

ผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศเห็นตรงกันว่า “การออกกำลังกายอย่างมีระบบและอยู่ภายใต้การดูแล” คือหนึ่งในวิธีการที่ไม่ใช้ยา (non-pharmacological) ที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง เพราะไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสรอด แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย ลดภาวะซึมเศร้า และเสริมสร้างสายสัมพันธ์ในกลุ่มผู้ป่วย ดังที่แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูท่านหนึ่งกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่การแข่งขันระหว่างฟิตเนสกับยา แต่คือการผสานสองสิ่งนี้เข้าด้วยกันเพื่อการฟื้นคืนชีวิตอย่างสมบูรณ์”

ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

งานวิจัยใน NEJM พบว่ากลุ่มที่ออกกำลังกายมีความเสี่ยงบาดเจ็บกล้ามเนื้อและข้อต่อ (เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ, การใช้งานเกินกำลัง) อยู่ที่ ๑๘.๕% ขณะที่กลุ่มควบคุมพบเพียง ๑๑.๕% จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยกำกับดูแลและปรับโปรแกรมให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละคน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคประจำตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมพยาบาลและนักกายภาพบำบัดในไทยให้ความสำคัญอยู่เสมอ

สถานการณ์มะเร็งลำไส้ใหญ่และการปรับใช้ในไทย

โครงการควบคุมมะเร็งแห่งชาติคาดการณ์ว่า ในปี ๒๕๖๘ จะมีผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่รายใหม่กว่า ๑๙,๐๐๐ คน แนวทางรับมือที่สำคัญจึงหนีไม่พ้นการคัดกรองในกลุ่มวัย ๕๐–๗๐ ปี การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และการออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูแบบครบวงจร แม้การเข้าถึงบริการกายภาพบำบัดและโปรแกรมออกกำลังกายโดยผู้เชี่ยวชาญจะยังกระจุกตัวในเมืองใหญ่ แต่ปัจจุบันก็เริ่มมีโครงการที่ปรับให้ง่ายขึ้น เช่น “บูตแคมป์” กลางแจ้ง กลุ่มออกกำลังกายในโรงพยาบาล หรือชมรมเดินเพื่อสุขภาพในชุมชน ซึ่งเป็นทางออกที่สอดคล้องกับบริบทของไทย

คนไทยมีความคุ้นเคยกับการออกกำลังกายกลุ่มเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นลานแอโรบิกในสวนสาธารณะ หรือรำวงยามเช้าตามวัดและตลาด วัฒนธรรมนี้จึงเป็นต้นทุนที่ดีในการนำโมเดลการออกกำลังกายกลุ่มมาปรับใช้กับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง รวมถึงผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งโรงพยาบาลและคลินิกฟื้นฟูในกรุงเทพฯ บางแห่งได้เริ่มดัดแปลงโปรแกรมฟื้นฟูสไตล์ตะวันตกให้เข้ากับวัฒนธรรมไทย โดยเน้นการสร้างชุมชนแห่งการช่วยเหลือและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน (Bumrungrad Esperance Integrative Cancer Clinic)

มิติใหม่ของการฟื้นฟูและโอกาสในอนาคต

ทุกวันนี้ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งทั่วโลกมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น แต่ความต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีหลังการรักษาก็สูงขึ้นตามไปด้วย ประเทศไทยก็เช่นกัน ความท้าทายจึงอยู่ที่การทำให้โปรแกรมออกกำลังกายเพื่อการฟื้นฟูที่ได้ผล มีความเหมาะสม ปลอดภัย และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ในอนาคตเราอาจได้เห็นแพลตฟอร์มโค้ชทางไกล การเบิกจ่ายค่าบริการออกกำลังกายผ่านกองทุนสุขภาพ และการมีทีมพยาบาลชุมชนเป็นผู้นำการฟื้นฟูมากขึ้น

ข้อสรุปถึงผู้อ่านชาวไทย

งานวิจัยล่าสุดทั้งจากไทยและต่างประเทศส่งสารที่ชัดเจนว่า “การออกกำลังกายอย่างมีระบบและมีกลุ่มสนับสนุน” ควรเป็นมาตรฐานในการฟื้นฟูผู้ป่วยมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ ไม่ใช่เป็นเพียงทางเลือกเสริม แต่ต้องย้ำว่าการออกกำลังกายไม่ได้มาเพื่อทดแทนยา เคมีบำบัด หรือการดูแลจากทีมแพทย์ แต่เป็นการ “จับมือ” กันระหว่างวิทยาศาสตร์การแพทย์และการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มโอกาสกลับมาใช้ชีวิตปกติและลดความเสี่ยงที่โรคจะกลับมา

สำหรับใครที่อ่านอยู่ หรือมีคนใกล้ชิดกำลังฟื้นตัวจากมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมะเร็งชนิดใดก็ตาม อย่าลังเลที่จะปรึกษาทีมแพทย์หรือพยาบาลเกี่ยวกับโปรแกรมออกกำลังกายที่มีผู้เชี่ยวชาญดูแล หรือกิจกรรมออกกำลังกายกลุ่ม ลองมองหาโครงการฟื้นฟูของโรงพยาบาลหรือในชุมชน และใช้วัฒนธรรมการออกกำลังกายร่วมกันของคนไทยเป็นพลังขับเคลื่อนให้การฟื้นตัวเป็นเรื่องสนุกและไม่เดียวดาย

และที่สำคัญที่สุด อย่าเพิ่งด่วนสรุปจากพาดหัวข่าวสั้นๆ เพราะพลังแห่งการฟื้นคืนไม่ได้มาจาก “ยา” หรือ “การออกกำลังกาย” เพียงลำพัง แต่มาจากการผนึกกำลังของทั้งสองสิ่งนี้ร่วมกัน


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย