GotoKnow

ค้นพบครั้งสำคัญ! สัญญาณภูมิคุ้มกันในสมอง กุญแจกำหนดพัฒนาการเด็ก อาจนำไปสู่การป้องกันออทิสติกและอัลไซเมอร์

ทีมข่าวสุขภาพและสุขภาวะ
เขียนเมื่อ 5 กรกฎาคม 2568 18:30 น. ()

งานวิจัยชิ้นใหม่ล่าสุดได้ค้นพบเบื้องหลังอันน่าทึ่งของโมเลกุลภูมิคุ้มกันที่ชื่อว่า Interleukin 34 (IL34) ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของสมองเด็ก การค้นพบนี้อาจพลิกโฉมความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโรคทางสมองและภาวะสมองเสื่อมไปตลอดกาล งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลงานของทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยดุ๊ก และตีพิมพ์ในวารสาร Immunity ฉบับวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘ โดยพบว่า IL34 เปรียบเสมือนผู้ควบคุมวงออร์เคสตรา คอยสั่งการให้ ‘ไมโครเกลีย’ (microglia) ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันในสมอง เข้าไป “ตัดแต่ง” หรือกำจัดจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทที่ไม่จำเป็นออกไปในช่วงปฐมวัย กระบวนการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะช่วยให้สมองสร้างเครือข่ายใยประสาทที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการด้านอารมณ์ ความคิด และการเรียนรู้ (Duke University Medical School)

ที่ผ่านมา นักประสาทวิทยาเคยเชื่อว่าไมโครเกลียทำหน้าที่เพียงเป็นหน่วยป้องกันด่านแรกของสมอง คอยต่อสู้กับการติดเชื้อหรืออาการบาดเจ็บเท่านั้น แต่การค้นพบครั้งนี้ได้เผยให้เห็นบทบาทที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก นั่นคือไมโครเกลียมีส่วนร่วมในการ “ออกแบบ” โครงสร้างของสมองโดยตรง งานวิจัยนี้ ซึ่งนำโดยอาจารย์ด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยดุ๊ก และได้รับทุนสนับสนุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ และมูลนิธิคิวร์อัลไซเมอร์ส ชี้ว่าช่วงเวลาที่ไมโครเกลียลงมือทำงานภายใต้การกำกับของ IL34 คือหัวใจสำคัญ หาก IL34 ทำงานอย่างแม่นยำ ไมโครเกลียก็จะรู้จังหวะที่เหมาะสมในการเริ่มและหยุดกระบวนการตัดแต่งจุดเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท

จากการทดลองในหนูแรกเกิด ทีมวิจัยพบว่าเซลล์ประสาทจะหลั่งสาร IL34 เพื่อส่งสัญญาณให้ไมโครเกลียเปลี่ยนผ่านจากระยะเยาว์วัยสู่ภาวะโตเต็มที่ และเริ่มทำหน้าที่ตัดแต่งการเชื่อมต่อที่อ่อนแอหรือเกินความจำเป็นในสมองอย่างระมัดระวัง หัวหน้าทีมวิจัยอธิบายว่า “สมองไม่ได้สร้างตัวเองขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว แต่มีการสื่อสารกับระบบภูมิคุ้มกันอยู่ตลอดเวลาเพื่อกำหนดทิศทางการเติบโตและการทำงาน” ซึ่งเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกัน

งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า หากการส่งสัญญาณ IL34 ผิดเพี้ยนไป ก็จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพัฒนาการของสมอง ตัวอย่างเช่น เมื่อนักวิจัยยับยั้งการทำงานของ IL34 ในหนูทดลอง พบว่าเซลล์ไมโครเกลียไม่ยอมเติบโตเต็มที่ ส่งผลให้กระบวนการตัดแต่งยืดเยื้อและรุนแรงเกินจำเป็น จนทำลายการเชื่อมต่อในสมองส่วนสำคัญอย่าง anterior cingulate cortex ซึ่งควบคุมพฤติกรรมทางสังคมและอารมณ์ ในทางกลับกัน การกระตุ้นด้วย IL34 เร็วเกินไป ก็ทำให้ไมโครเกลียโตเต็มวัยก่อนเวลาอันควร และเริ่มตัดแต่งสมองอย่างรุนแรงก่อนที่โครงสร้างสมองจะมั่นคงพอ ผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ว่าจังหวะเวลาคือทุกสิ่ง นักศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยดุ๊ก ผู้ร่วมวิจัยกล่าวว่า “ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วเกินไป หากจังหวะเวลาผิดพลาด ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความเสียหายต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองอย่างมหาศาล”

ความสำคัญต่อสังคมไทยและโรคในปัจจุบัน

การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทยซึ่งกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสาธารณสุขอย่างรวดเร็ว ประเด็น “พัฒนาการเด็กปฐมวัย” ได้กลายเป็นวาระสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของเด็กไทยในสังคมเมืองไปตลอดชีวิต มีข้อมูลชี้ว่าการทำงานที่ผิดจังหวะของไมโครเกลียอาจเป็นหนึ่งในต้นตอของความผิดปกติทางพฤติกรรมและการเรียนรู้ เช่น โรคออทิซึม (ซึ่งมีการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทไม่สมดุล) และโรคอัลไซเมอร์ (ซึ่งมีการสูญเสียการเชื่อมต่อของสมอง) นักประสาทวิทยาและจิตแพทย์ในไทยต่างแสดงความกังวลต่อแนวโน้มผู้ป่วยเด็กในกลุ่มโรคนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นในเขตเมือง โดยมีศูนย์วิจัยในประเทศร่วมติดตามปัญหาเหล่านี้อย่างใกล้ชิด (องค์การอนามัยโลก – ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

ผลกระทบของการค้นพบนี้ต่อวงการแพทย์ไทยจึงมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายที่มุ่งเน้นสุขภาพสมองของเด็กเล็ก ส่งเสริมการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยผู้ปกครอง การคัดกรองระบบประสาท และการให้ความรู้แก่ประชาชน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กชั้นนำของไทยให้ข้อมูลว่า เด็กไทยในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ มีแนวโน้มที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิซึมสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ งานวิจัยชิ้นนี้จึงอาจเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ นำไปสู่การพัฒนาตัวชี้วัดทางชีวภาพ (biomarker) หรือการรักษาในระดับโมเลกุลเพื่อช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงในอนาคต ดังที่นักประสาทวิทยาจากโรงพยาบาลชั้นนำแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่า “ความเข้าใจกลไกของระบบภูมิคุ้มกันในสมองถือเป็นพรมแดนใหม่ของการแพทย์ ที่จะช่วยให้เราป้องกันความผิดปกติทางพัฒนาการในเด็กไทยได้ดียิ่งขึ้น”

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ แนวคิดการเลี้ยงดูเด็กแบบไทยที่เน้นความใกล้ชิดและการดูแลเอาใจใส่จากคนในชุมชน อาจสอดคล้องโดยบังเอิญกับแนวทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่ชี้ว่า “จังหวะเวลาที่เหมาะสม” และ “ความเอาใจใส่” อาจเป็นปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้พันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อม ขณะนี้นักวิจัยกำลังวางแผนศึกษาเพิ่มเติมว่า IL34 อาจใช้เป็นเครื่องมือ “เปิดหน้าต่างแห่งโอกาส” เพื่อฟื้นฟูความยืดหยุ่นของสมองในผู้สูงอายุ และป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้หรือไม่ แม้หนทางการรักษายังอยู่อีกยาวไกล แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า โอกาสที่เราจะใช้ประโยชน์จากระบบภูมิคุ้มกันเพื่อปกป้องสมองนั้นใกล้ความเป็นจริงเข้ามาทุกที

ทางออกสำหรับประเทศไทยและแนวทางในอนาคต

สำหรับประเทศไทย การนำองค์ความรู้ใหม่นี้ไปปรับใช้กับยุทธศาสตร์ชาติจึงเป็นกุญแจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างประเทศ การรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของพัฒนาการเด็ก และการวางระบบคัดกรองปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ นักวิชาการแนะนำให้ผู้ปกครอง ครู และบุคลากรสาธารณสุข เฝ้าระวังสัญญาณความผิดปกติทางพฤติกรรม สังคม และอารมณ์ของเด็กอย่างใกล้ชิด พร้อมเปิดรับข้อมูลวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบ้าน โรงเรียน และสถานพยาบาล การเชื่อมโยงความรู้ทางประสาทวิทยาสู่การปฏิบัติจริงในระดับชุมชน จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวทันโลกในการปกป้องสมองของประชากรรุ่นต่อไป

ในชีวิตประจำวัน สำหรับผู้ปกครองชาวไทย สิ่งที่ทำได้คือการหมั่นสังเกตพัฒนาการของบุตรหลาน พาไปพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามพัฒนาการอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงสนับสนุนการเติบโตทางอารมณ์และสมองอย่างเต็มที่ในช่วงขวบปีแรกของชีวิต ในขณะที่วงการวิจัยควรจับมือกับสถาบันการศึกษานานาชาติ เพื่อศึกษาบทบาทของระบบภูมิคุ้มกันต่อสมอง โดยเฉพาะโมเลกุล IL34 เพื่อพัฒนาแนวทางการป้องกันและดูแลที่เหมาะสมกับบริบทของเด็กไทยโดยเฉพาะ การบูรณาการองค์ความรู้ระดับสากลเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น จะเป็นพลังสำคัญในการยกระดับคุณภาพสมองของเด็กไทยในอนาคต


แหล่งข้อมูล:


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย