ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ สหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการศึกษาที่อาจไขข้อสงสัยว่า เหตุใดเด็กผู้ชายจึงถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติกและสมาธิสั้นบ่อยกว่าเด็กผู้หญิงถึง 3 เท่า งานวิจัยชิ้นนี้พุ่งเป้าไปที่ผลกระทบของสารปนเปื้อน PFHxA ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่ม “สารเคมีอมตะ” หรือ PFAS ที่พบได้ในของใช้ใกล้ตัวเรา ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์อาหารไปจนถึงผ้ากันเปื้อน สารดังกล่าวมีแนวโน้มกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวลและพฤติกรรมผิดปกติ โดยส่งผลกระทบต่อหนูทดลองเพศผู้เป็นหลัก ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญสำหรับครอบครัวทั้งในไทยและทั่วโลก (Daily Mail)
หัวใจสำคัญของการค้นพบครั้งนี้ คือการเชื่อมโยงสารปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมที่แทบมองไม่เห็น เข้ากับภาวะความผิดปกติทางพัฒนาการทางสมองที่เพิ่มสูงขึ้น ในไทยเองก็เช่นเดียวกับหลายประเทศที่จำนวนเด็กซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติกและสมาธิสั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทว่าสาเหตุที่แท้จริงยังคงเป็นปริศนา (Kids on the Autism Spectrum in Thailand) งานวิจัยชิ้นใหม่นี้จึงอาจเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยเติมเต็มภาพรวมของสาเหตุ พร้อมให้แง่คิดในการวางนโยบายป้องกันในอนาคต
สมองเพศชายอาจเปราะบางต่อสารพิษในสิ่งแวดล้อมมากกว่า
นักวิจัยค้นพบว่า สมองของเด็กผู้ชายอาจมีความเปราะบางต่อสารพิษในสิ่งแวดล้อมมากกว่าผู้หญิง จากการทดลองในหนู พบว่าลูกหนูเพศผู้ที่ได้รับสาร PFHxA ผ่านทางแม่ตั้งแต่ในครรภ์และจากการดื่มนม มีอาการผิดปกติหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวน้อยลง มีความวิตกกังวลสูง สมาธิสั้นลง ความจำถดถอย และพฤติกรรมผิดปกติเหล่านี้ยังคงอยู่แม้จะหยุดรับสารไปแล้วก็ตาม ซึ่งอาการเหล่านี้เทียบเคียงได้กับภาวะสมาธิสั้นและความวิตกกังวลที่พบในผู้มีภาวะออทิสติก ในขณะที่ลูกหนูเพศเมียกลับไม่แสดงอาการผิดปกติที่ชัดเจน (News-Medical.net; Neuroscience News)
ผลวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร European Journal of Neuroscience นี้ หัวหน้าทีมวิจัยซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม ระบุว่า “น่ากังวลอย่างยิ่ง” โดยทีมวิจัยได้ทดลองให้หนูที่ตั้งท้องกินอาหารที่มีสาร PFHxA เพื่อให้สารดังกล่าวส่งผ่านไปยังสมองของลูกหนูทั้งในช่วงตั้งครรภ์และให้นม ก่อนจะประเมินพฤติกรรม และพบว่าลูกหนูเพศผู้แสดงอาการผิดปกติด้านความวิตกกังวลและความจำอย่างชัดเจน ตรงกันข้ามกับเพศเมียที่ไม่ได้รับผลกระทบ (EurekAlert!; Earth.com)
PFAS “สารเคมีอมตะ” ภัยใกล้ตัวที่คุกคามสุขภาพคนไทย
PFHxA เป็นสารในกลุ่ม PFAS หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สารเคมีอมตะ” ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่แทบจะไม่ย่อยสลายตามธรรมชาติ ทำให้เกิดการสะสมในแหล่งน้ำ ดิน และร่างกายมนุษย์ (Wikipedia) งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าสารกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับโรคมะเร็ง โรคไทรอยด์ ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และการรบกวนสมดุลฮอร์โมน การที่ PFAS ถูกพบในผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด ตั้งแต่ขวดพลาสติกไปจนถึงกระทะเทฟลอน ทำให้หลายประเทศรวมถึงไทยเริ่มตื่นตัวและออกมาเตือนภัย แม้ว่ากฎหมายควบคุมจะยังไม่ครอบคลุมก็ตาม (ScienceDirect; AAP News)
ทีมนักวิจัยชี้ว่า แม้ผลกระทบที่พบในสัตว์ทดลองอาจดูไม่รุนแรงนัก แต่การที่อาการผิดปกติปรากฏขึ้นเฉพาะในเพศผู้ สะท้อนถึงรูปแบบความผิดปกติทางพัฒนาการที่มักพบในเด็กผู้ชายมากกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมจึงต้องศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงนโยบายควบคุมสาร PFAS ต่อไป (Daily Mail)
ผู้เชี่ยวชาญไทยชี้ ควรยกระดับเป็นวาระเร่งด่วน
ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาเด็กและเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม ทั้งกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กในโรงพยาบาลชั้นนำ และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ต่างมองว่าประเด็นนี้ควรถูกยกระดับเป็นนโยบายเร่งด่วน “ไทยนำเข้าสินค้าที่มีส่วนประกอบของ PFAS จำนวนมาก สุขภาพสมองของเด็กจึงควรเป็นวาระแห่งชาติ” เจ้าหน้าที่กระทรวงท่านหนึ่งกล่าว “หากผลการทดลองนี้เกิดขึ้นจริงในมนุษย์ ก็อาจอธิบายได้ทั้งช่องว่างระหว่างเพศและอัตราการวินิจฉัยที่เพิ่มขึ้นในเด็กไทย”
ภาวะออทิสติกส่งผลกระทบต่อทักษะการสื่อสาร การเข้าสังคม และการมีพฤติกรรมซ้ำๆ ส่วนสมาธิสั้น (ADHD) กระทบต่อสมาธิ การยับยั้งชั่งใจ และความซน องค์การอนามัยโลกประเมินว่าทั่วโลกมีเด็ก 1 ใน 100 คนที่มีภาวะออทิสติก ขณะที่ข้อมูลปี 2561 คาดว่าไทยมีเด็กออทิสติกราว 180,000 คน หรือ 15 คนต่อเด็ก 1,000 คนที่อายุต่ำกว่า 15 ปี (Kids on the Autism Spectrum in Thailand) ส่วนอัตราสมาธิสั้นในไทยมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ตั้งแต่ 5.1% ในภาคเหนือ ไปจนถึง 11.7% ในภาคใต้ (ResearchGate)
ที่ผ่านมามีการถกเถียงกันมาตลอดว่าเหตุใดเด็กผู้ชายจึงถูกวินิจฉัยมากกว่า หนึ่งในทฤษฎีคือเด็กผู้ชายมักแสดงอาการชัดเจนกว่า ทำให้ถูกส่งไปตรวจพบได้ง่าย ขณะที่เด็กผู้หญิงอาจซ่อนอาการหรือปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดีกว่าจนไม่เป็นที่สังเกต (PMC) แต่ข้อมูลล่าสุดจากการทดลองในสัตว์ชี้ว่า ความเปราะบางทางชีวภาพอาจเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่สำคัญ
สังคมเมืองและอาหารแปรรูป เพิ่มความเสี่ยงให้คนไทย
วิถีชีวิตสังคมเมืองของไทยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้คนหันมาบริโภคอาหารสำเร็จรูปในบรรจุภัณฑ์กันมากขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสการสัมผัสสาร PFAS ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ งานศึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบสารกลุ่มนี้ปนเปื้อนทั้งในน้ำดื่ม อาหาร และแม้กระทั่งในเนื้อเยื่อมนุษย์รวมถึงน้ำนมแม่ (ScienceDirect) งานวิจัยล่าสุดในปี 2567 ยืนยันว่าการได้รับสาร PFAS ตั้งแต่วัยเด็กมีความเชื่อมโยงกับการลดลงของศักยภาพทางสติปัญญา การเคลื่อนไหว ภาษา และเพิ่มความเสี่ยงด้านพฤติกรรมในระยะยาว (PubMed) ข้อมูลนี้สอดคล้องกับสิ่งที่ครูไทยหลายคนสังเกตเห็นว่าเด็กนักเรียนมีปัญหาสมาธิสั้นและควบคุมตัวเองได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาบางส่วนเตือนว่า แม้งานวิจัยในสัตว์จะชี้ให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจ แต่ยังต้องรอข้อมูลทางระบาดวิทยาขนาดใหญ่ในมนุษย์มายืนยัน ก่อนจะสรุปสาเหตุที่แน่ชัด “การออกกฎหมายควบคุมควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลในมนุษย์เป็นหลัก” นักวิจัยด้านจิตวิทยาพัฒนาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยให้ความเห็น ในขณะเดียวกัน ผลการทบทวนงานวิจัยกว่า 500 ชิ้นทั่วโลกก็ชี้ชัดว่า PFAS มีแนวโน้มสร้างปัญหาสุขภาพร้ายแรง ตั้งแต่การกดภูมิคุ้มกันไปจนถึงการเพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง จนทำให้สหรัฐฯ ต้องกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในน้ำดื่ม (Earth.com; Wikipedia)
ข้อเสนอแนะเพื่อสังคมไทย
ในบริบทสังคมไทยที่ยังมีความคาดหวังสูง การวินิจฉัยภาวะออทิสติกและสมาธิสั้นยังคงถูกมองในแง่ลบ ทำให้หลายครอบครัวลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ นักวิจัยไทยจึงพยายามพัฒนาเครื่องมือคัดกรองที่เหมาะกับบริบทของประเทศ เช่น แบบประเมิน TDAS (PMC) อย่างไรก็ดี การสร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมอาจช่วยลดการกล่าวโทษครอบครัวหรือครู และหันมาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหาร การออกกฎหมาย และการคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับประเทศไทย ได้แก่
- ภาครัฐควรตรวจสอบระดับการปนเปื้อนของ PFAS ในน้ำ อาหาร และของใช้ในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งทยอยเลิกใช้สารเคมีกลุ่มนี้ในผลิตภัณฑ์ที่มีทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
- โรงเรียนและครัวเรือนควรรณรงค์ลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกและอาหารแปรรูปแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
- บุคลากรทางการแพทย์และการศึกษาควรได้รับการอบรมให้สามารถสังเกตอาการของภาวะออทิสติกและสมาธิสั้นในเด็กผู้หญิงได้ดียิ่งขึ้น
- จัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อลดอคติและตราบาปต่อภาวะเหล่านี้ พร้อมกระตุ้นให้เกิดการคัดกรองตั้งแต่ระยะแรก
- สนับสนุนงานวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบของ PFAS ในเด็กไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับภูมิภาคและกลุ่มรายได้
สำหรับครอบครัว สิ่งที่ทำได้ทันทีคือการเลือกบริโภคอาหารสดใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารที่บรรจุหีบห่อซับซ้อน ใช้ภาชนะที่ทำจากแก้วหรือสเตนเลสแทนพลาสติก และร่วมสนับสนุนนโยบายของภาครัฐหรือภาคประชาสังคมที่มุ่งควบคุมสาร PFAS ส่วนโรงเรียนและบุคลากรทางการแพทย์ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยค้นหาและให้ความช่วยเหลือเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ
ในขณะที่วงการประสาทวิทยากำลังค่อยๆ ไขรหัสความแตกต่างทางเพศของภาวะออทิสติกและสมาธิสั้น ประเทศไทยเองก็กำลังอยู่บนทางแยกสำคัญที่จะต้องเลือกระหว่างการลงมือแก้ปัญหาเชิงรุก กับการสร้างความเข้าใจใหม่ต่อภาวะเหล่านี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสังคมจะนำความรู้นี้ไปปรับใช้ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและมอบความเข้าอกเข้าใจให้เด็กทุกคนได้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ