GotoKnow

ดราม่าสนั่น! มหา'ลัยดังสหรัฐฯ จับโป๊ะ นศ.คอมฯ แอบใช้ AI ทำงาน ยื่นคำขาด "สารภาพหรือโดนหนัก"

ทีมข่าวสาระความรู้
เขียนเมื่อ 5 กรกฎาคม 2568 13:00 น. ()

วงการศึกษาต้องสะเทือนอีกครั้ง เมื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ เกิดประเด็นร้อนเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคมที่ผ่านมา นักศึกษาปริญญาตรีในวิชาคอมพิวเตอร์ได้รับแจ้งผ่านระบบออนไลน์ของมหาวิทยาลัยว่า มีหลักฐานชัดเจนว่างานชิ้นใหญ่ของวิชานี้เกือบหนึ่งในสามมีการใช้ AI เข้ามาช่วย ทางผู้สอนจึงยื่นคำขาดให้นักศึกษาที่เข้าข่ายรีบรับสารภาพภายใน ๑๐ วันเพื่อแลกกับการหักคะแนน แต่หากปล่อยให้ถูกจับได้เอง จะต้องเจอบทลงโทษที่รุนแรงกว่า รวมถึงอาจถูกส่งเรื่องให้คณะกรรมการจริยธรรมของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะสร้างประวัติติดตัวและส่งผลกระทบต่ออนาคตการเรียนในระยะยาว (Yale Daily News)

ต้นตอของเรื่องนี้มาจากรายวิชา Computer Science 223 หรือ “โครงสร้างข้อมูลและเทคนิคการเขียนโปรแกรม” ที่มีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนกว่า ๑๕๐ คน แต่มีถึงราว ๕๐ คน หรือประมาณ ๑ ใน ๓ ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าใช้ AI ช่วยทำงาน เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามามีบทบาทของเครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT ในแวดวงการศึกษาอย่างชัดเจน และการที่ผู้สอนสั่งให้สารภาพพร้อมขู่ว่าจะลงโทษด้วยการหักคะแนน ปรับตก หรือ F ก็ยิ่งตอกย้ำว่าสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายในการรับมือกับเทคโนโลยีใหม่อย่างไร

สำหรับบริบทของไทย เรื่องนี้จุดประกายให้เห็นถึงประเด็นสำคัญ ๓ ด้านที่เรากำลังเผชิญเช่นกัน ได้แก่ การใช้ AI ในห้องเรียนที่แพร่หลายขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาด้านจริยธรรมทางวิชาการ และแนวทางที่สถาบันการศึกษาควรจะกำกับดูแลเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการปลูกฝังทักษะที่จำเป็นสำหรับโลกยุคใหม่

ประกาศของรายวิชาระบุว่า หากนักศึกษายอมรับผิดด้วยตนเอง จะถูกหักคะแนน ๕๐ แต้มเฉพาะในงานชิ้นที่มีปัญหา แต่หากถูกตรวจพบโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า จะถูกปรับให้ได้คะแนนศูนย์ทันที และจะถูกส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการจริยธรรมของมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันต้องรับมือกับเคสลักษณะนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักศึกษาอาจได้รับเกรดของวิชาล่าช้ากว่ากำหนด การส่งเรื่องนักศึกษาจำนวนมากในคราวเดียวเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์คล้ายกันในปี ๒๕๖๕ ซึ่งมีนักศึกษากว่า ๘๑ คนถูกกล่าวหาว่าร่วมกันทุจริตในการสอบปลายภาคออนไลน์ของวิชามานุษยวิทยาชีวภาพ

ข้อมูลจากคณะกรรมการจริยธรรมของมหาวิทยาลัยพบว่า กรณีการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่งเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่อเทอมฤดูใบไม้ผลิปี ๒๕๖๖ และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ผู้สอนจะมีโปรแกรมตรวจสอบความคล้ายคลึงของงาน (Plagiarism Checker) มาตั้งแต่ก่อนยุค ChatGPT แต่ความแม่นยำและความเป็นธรรมของเทคโนโลยีตรวจจับ AI รุ่นใหม่ๆ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ เพราะอัลกอริทึมอาจทำงานผิดพลาดและกล่าวหานักศึกษาผู้บริสุทธิ์ได้อย่างง่ายดาย

บรรยากาศในหมู่นักศึกษาเต็มไปด้วยความเครียดและความไม่แน่นอน หลายคนให้สัมภาษณ์โดยไม่เปิดเผยตัวตนกับหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยว่า รู้สึกกังวลและกลัวว่าจะถูกกล่าวหาว่าใช้ AI ทั้งที่ไม่ได้ทำผิดจริง ปัญหานี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อการส่งงานแต่ละชิ้นบังคับให้ต้องแนบไฟล์ “บันทึกแนวคิดและขั้นตอนการแก้ปัญหา” ซึ่งเดิมทีออกแบบมาเพื่อป้องกันการลอกกัน แต่ในทางปฏิบัติกลับสามารถปลอมแปลงได้ง่าย และ AI เจเนอเรชันใหม่ๆ ก็สามารถเขียนบันทึกนี้แทนนนักศึกษาได้อย่างแนบเนียน

อีกประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างหนักคือเส้นแบ่งที่เหมาะสมในการใช้ AI เพื่อการเรียนรู้ ในหลักสูตรเทอมนี้ระบุชัดเจนว่าห้ามใช้ AI เขียนโค้ด แต่เปิดให้ใช้เพื่อทำความเข้าใจแนวคิดต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตาม นักศึกษาหลายคนกลับเข้าใจว่ากฎเน้นไปที่การห้ามทำงานร่วมกับเพื่อนมากกว่าห้ามใช้ AI โดยตรง ซึ่งทีมผู้สอนก็ยอมรับว่านโยบายยังต้องปรับปรุงต่อไป และโดยทั่วไปแล้ววิชาพื้นฐานมักจะมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกว่าวิชาขั้นสูง

ฝ่ายบริหารของภาควิชาคอมพิวเตอร์ย้ำว่า การกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ให้อิสระแก่ผู้สอนแต่ละรายในการตั้งกฎเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบของตนเอง ตราบใดที่ได้แจ้งให้นักศึกษาทราบอย่างโปร่งใสและชัดเจน

หนึ่งในคณาจารย์ให้ความเห็นว่า ความท้าทายสำคัญคือ AI ในปัจจุบันเก่งกาจในเรื่องที่เป็นหัวใจหลักของวิชาพื้นฐาน “เรากำลังพยายามสอนในสิ่งที่ AI ก็ทำได้ดีเยี่ยม” ซึ่งทำให้นักศึกษาใหม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

อาจารย์อีกท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตในมุมของตลาดแรงงานว่า ในยุคที่ AI พัฒนาอย่างก้าวกระโดดและเริ่มเข้ามาแทนที่บางอาชีพอย่างเห็นได้ชัด นักศึกษาที่พึ่งพา AI มากเกินไปจะเสียเปรียบในการทำงานจริงในอนาคต “ถ้าเราปล่อยให้ AI ทำงานแทน สุดท้าย AI ก็จะมาแทนที่เรา” ประเด็นนี้ถือเป็นข้อคิดเตือนใจสำหรับนักศึกษาไทยที่กำลังวางแผนเส้นทางอาชีพในยุคที่สายงานเทคโนโลยีกำลังเสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ

ในอีกมุมหนึ่ง นักศึกษาบางส่วนเสนอว่ามหาวิทยาลัยควรมีนโยบายที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยอนุญาตให้ใช้ AI เพื่อเสริมความเข้าใจได้ แต่ต้องบังคับให้นักศึกษาสามารถอธิบายตรรกะและกระบวนการคิดของตนเองได้อย่างละเอียด เพราะชั่วโมงให้คำปรึกษาของอาจารย์มีจำกัด แต่ AI พร้อมให้ความช่วยเหลือได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง มุมมองนี้สะท้อนการถกเถียงในแวดวงการศึกษาไทยเกี่ยวกับนโยบาย “ห้องเรียนที่นักเรียนนำอุปกรณ์มาเอง (BYOD)” ว่า AI จะสร้างความเท่าเทียมหรือจะยิ่งเพิ่มช่องว่างทางการศึกษา (The Nation Thailand; Bangkok Post)

กรณีตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาการทุจริตทางวิชาการได้ขยายขอบเขตจากการลอกงานหรือแอบทำงานกลุ่ม ไปสู่พื้นที่สีเทาใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือจากอัลกอริทึม เครื่องมือตรวจจับแบบดั้งเดิมเริ่มมีข้อจำกัด และการแยกแยะงานที่นักศึกษาสร้างสรรค์เองออกจากงานที่ AI มีส่วนช่วยก็ทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสถาบันการศึกษาในสหรัฐฯ และไทยจึงต้องเร่งพัฒนากฎเกณฑ์และรูปแบบการสอนให้เท่าทันเทคโนโลยี โดยต้องสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความซื่อสัตย์ทางวิชาการ การเปิดรับนวัตกรรม และการดูแลสุขภาวะของนักศึกษาไปพร้อมกัน

ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เพียงแห่งเดียว จากสถิติของ HolonIQ ในปี ๒๕๖๗ พบว่านักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วโลกกว่า ๓๕% ใช้ AI ช่วยทำงาน โดยมหาวิทยาลัยในฝั่งเอเชียตะวันออกถือเป็นกลุ่มที่นำร่องทดลองใช้มากที่สุด (HolonIQ) ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมีคดีละเมิดจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่มขึ้นถึงปีละ ๓๐% (Times Higher Education) สำหรับมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมหิดล ต่างก็เริ่มตั้งคณะกรรมการด้านจริยธรรม AI และมีโครงการนำร่องเพื่อใช้ประโยชน์จาก AI ภายใต้การกำกับดูแลที่รัดกุม (Chulalongkorn University Research)

โดยพื้นฐานแล้ว วัฒนธรรมการศึกษาไทยที่เน้นการท่องจำและมีครูเป็นศูนย์กลางมาอย่างยาวนาน แม้ปัจจุบันจะมีความพยายามปฏิรูปสู่การเรียนรู้ที่เน้นการคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์ แต่หากนักศึกษาหันไปพึ่งพา AI โดยปราศจากรากฐานทักษะที่แข็งแกร่ง เมล็ดพันธุ์แห่งความคิดสร้างสรรค์ก็อาจถูกบั่นทอนลงได้ การมาถึงของ AI ในยุคหลังโควิด-19 ได้สร้างแรงกดดันทั้งในแง่ของโอกาสและความซื่อสัตย์ในห้องเรียน ครูไทยจึงจำเป็นต้องวางแนวทางที่ชัดเจน ทันสมัย และสอดคล้องกับบริบทของสังคม

เมื่อมองไปข้างหน้า ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าความก้าวหน้าของ AI จะเปลี่ยนโฉมหน้าทั้งวิธีการเรียนและการวัดผลไปอย่างสิ้นเชิง เครื่องมือสร้างโค้ดและผู้ช่วยสอน AI จะซับซ้อนขึ้นจนวิธีการจับทุจริตแบบเดิมๆ อาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป รูปแบบการประเมินผลอาจต้องเปลี่ยนไปเน้นการสัมภาษณ์เพื่อนำเสนอผลงาน การรีวิวโครงงานกลุ่ม หรือการออกแบบโจทย์ที่เปิดให้นำ AI เข้ามาใช้อย่างโปร่งใส ประเทศไทยเองก็ควรเร่งลงทุนในการอบรมคณาจารย์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และจัดทำนโยบายที่ชัดเจนเพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพการศึกษา (UNESCO Asia-Pacific)

สำหรับผู้ปกครอง นักเรียน และคณาจารย์ในไทย มีข้อแนะนำหลายประการ ได้แก่ ศึกษาและติดตามนโยบายการใช้ AI ของสถานศึกษาอย่างสม่ำเสมอ เปิดใจพูดคุยกับครูอาจารย์เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี วางกรอบการใช้ AI ให้เป็นเพียงเครื่องมือเสริมการเรียนรู้ ไม่ใช่การพึ่งพิงจนขาดทักษะหลัก หากไม่แน่ใจควรจดบันทึกกระบวนการคิด อ้างอิงแหล่งข้อมูล หรือสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อความชัดเจน ในฝั่งผู้กำหนดนโยบายควรส่งเสริมการอบรมครูและนักศึกษาให้ใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมทั้งอุดช่องโหว่ของระบบตรวจสอบ และวางกระบวนการอุทธรณ์ที่เป็นธรรมกรณีเกิดข้อผิดพลาด ประเทศไทยควรเรียนรู้จากแนวทางสากลและนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของตนเอง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันในยุคดิจิทัล

โดยสรุป กรณีอื้อฉาวในสหรัฐฯ เป็นเพียงภาพสะท้อนขนาดย่อมของความท้าทายระดับโลก ที่ภาคการศึกษาและเทคโนโลยีต้องหาจุดลงตัวในการเดินทางร่วมกัน การสร้างสมดุลระหว่างโอกาส คุณธรรม และความกังวล ต้องอาศัยการพูดคุยและปรับตัวของทุกฝ่ายตั้งแต่ในห้องเรียน ผู้ปกครอง ครู และนักเรียนไทยจึงต้องร่วมมือกันหาแนวทางที่ไม่ทอดทิ้งทั้งจริยธรรมและนวัตกรรม เพื่อให้บัณฑิตไทยรุ่นใหม่พร้อมก้าวสู่อนาคตดิจิทัลได้อย่างแท้จริง

ที่มา: Yale Daily News, HolonIQ, Times Higher Education, Bangkok Post, Chulalongkorn University Research, UNESCO Asia-Pacific.


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย