ผู้บริหารระดับสูงจากค่ายเกมยักษ์ใหญ่ของโลกจุดประเด็นถกเถียงในแวดวงเทคโนโลยีและตลาดแรงงาน หลังเสนอให้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือช่วยรับมือกับผลกระทบทางใจและช่วยวางแผนชีวิตหลังถูกเลิกจ้าง โดยในโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ผู้บริหารรายนี้ระบุว่า AI ที่ทำงานบนโมเดลภาษาขนาดใหญ่ เช่น ChatGPT และ Copilot สามารถเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระทางอารมณ์และสภาพจิตใจของผู้ที่ต้องตกงานได้เป็นอย่างดี (The Verge)
ข้อเสนอดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน ส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมรวมถึงวงการเทคโนโลยีและวิดีโอเกมต้องปรับลดพนักงานจำนวนมาก สำหรับประเทศไทยซึ่งตลาดแรงงานกำลังเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ แนวคิดนี้จึงน่าจับตามองเป็นพิเศษ ในขณะที่แรงงานไทยจำนวนไม่น้อยกำลังมองหาทั้งแนวทางการปรับตัวและที่พึ่งทางใจ
ในสังคมไทย การตกงานไม่ใช่แค่การขาดรายได้ แต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความมั่นคงของครอบครัวและคุณค่าในตัวเอง เพราะบริบททางวัฒนธรรมที่มักผูกโยงหน้าที่การงานเข้ากับตัวตนและความรับผิดชอบต่อคนรอบข้าง ทำให้การก้าวข้ามช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ต้องอาศัยทั้งความเข้มแข็งทางใจและการวางแผนเส้นทางอาชีพอย่างรอบคอบ
แนวคิดของผู้บริหาร Xbox ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ ชี้ว่า AI สามารถทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วย” ที่เข้าถึงง่าย ไม่ตัดสิน และพร้อมให้การสนับสนุนได้ทุกเมื่อ ตัวอย่างการใช้งานที่ถูกหยิบยกมา เช่น การให้ AI ช่วยวางแผนฟื้นฟูตัวเองใน 30 วัน, ปรับแก้เรซูเม่ให้โดดเด่นและตรงกับตำแหน่งงานใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งช่วยร่างข้อความสำหรับติดต่อเพื่อสร้างเครือข่ายทางอาชีพ ที่สำคัญคือการเน้นย้ำบทบาทของ AI ในฐานะเครื่องมือช่วยทบทวนมุมมองความคิด ลดความรู้สึกไม่มั่นคง และสร้างกำลังใจหลังเผชิญกับการเลิกจ้าง
หัวใจสำคัญของข้อเสนอนี้คือ แม้ AI จะไม่สามารถทดแทนความเข้าอกเข้าใจและคำปลอบโยนจากมนุษย์ได้ แต่ในช่วงเวลาที่จิตใจอ่อนล้า เทคโนโลยีเหล่านี้อาจเป็นตัวช่วยให้ความคิดกระจ่างชัดและคลายความวิตกกังวลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น “หากเห็นว่ามีประโยชน์ ก็อยากให้แบ่งปันให้เพื่อนหรือคนในเครือข่าย ลองใช้ความเมตตา ปัญญา และเชื่อมโยงเข้าหากัน” คือบทสรุปจากผู้บริหารรายดังกล่าว
งานวิจัยล่าสุดหลายชิ้นก็เริ่มชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มนี้เช่นกัน โดยมีหลักฐานที่ตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติอย่าง Nature Human Behaviour และ Journal of Medical Internet Research พบว่าแชทบอทหรือ AI Agent ที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนด้านสุขภาพจิต สามารถช่วยบรรเทาความเครียดและเสริมสร้างกลไกการรับมือกับปัญหาได้ โดยเฉพาะในสภาวะที่ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญหรือต้องรอคิวนาน (JMIR, Nature) ซึ่งสำหรับบริบทไทยที่ยังคงมีอคติต่อการปรึกษาจิตแพทย์และมีระยะเวลารอคอยที่ยาวนาน ระบบแชทบอท AI จึงอาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาท่านหนึ่งจากโรงพยาบาลชั้นนำในกรุงเทพฯ ให้ความเห็นเตือนว่า “AI อาจเป็นเครื่องมือเสริมที่ดี โดยเฉพาะงานที่เป็นระบบขั้นตอนหรือช่วยปรับมุมมองความคิดเชิงลบ แต่แรงงานไทยต้องตระหนักว่า AI ยังมีข้อจำกัดอยู่กับชุดข้อมูลที่ใช้ฝึกฝน บริบทเชิงลึก โดยเฉพาะประสบการณ์ทางอารมณ์และวัฒนธรรมที่ซับซ้อน ยังคงต้องอาศัยการพูดคุยกับคนจริงๆ” ขณะที่นักวิจัยจากสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำเสนอว่า หากจะนำ AI มาใช้ร่วมกับโครงการสุขภาพจิตในระดับชุมชน จะต้องมีความโปร่งใสเรื่องขอบเขตการทำงาน ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป
ในมุมของแรงงานไทยที่กำลังหางานใหม่หรือเพิ่งถูกเลิกจ้าง ผลกระทบจากสถานการณ์ปัจจุบันถือว่ามีทั้งในวงกว้างและเชิงลึก ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ระบุว่า ปัจจุบันแรงงานไทยในวัยทำงานกว่า 60% ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อหางานหรือพัฒนาทักษะใหม่ๆ อยู่แล้ว และเมื่อ AI เริ่มใช้งานง่ายขึ้นและรองรับภาษาไทยได้ดีขึ้น คนทำงานไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด ก็มีแนวโน้มที่จะเปิดใจและมองว่าระบบช่วยเหลือเหล่านี้เป็นที่พึ่งได้มากขึ้น
นอกจากนี้ การเลือกใช้ AI ในยามเผชิญความเครียดก็สอดคล้องกับแนวคิด “ใจเย็นๆ” และ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ในสังคมไทย แม้เทคโนโลยีจะไม่สามารถมาแทนที่ครอบครัว ครูบาอาจารย์ หรือคำสอนจากพระสงฆ์ได้โดยตรง แต่มันสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกเสริม โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นใหม่และคนทำงานในเมืองที่อาจรู้สึกโดดเดี่ยวหลังการถูกเลิกจ้าง เจ้าหน้าที่จากกระทรวงแรงงานให้ความเห็นว่า “AI ไม่สามารถทดแทนชุมชนได้ แต่ช่วยให้แรงงานเตรียมตัวได้ดีขึ้น มีความมั่นใจ และรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดีขึ้น จึงอยากแนะนำให้ใช้ผสมผสานกับการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและกลุ่มเพื่อน”
ในอนาคต องค์กรนายจ้างและผู้กำหนดนโยบายอาจต้องพิจารณานำเครื่องมือ AI ที่เน้นด้านสุขภาพจิตและการวางแผนอาชีพมาบรรจุในโครงการพัฒนาทักษะอย่างเป็นทางการ ขณะนี้ภาครัฐของไทยได้เริ่มทดลองใช้ระบบออนไลน์เพื่อจับคู่งานบ้างแล้ว แต่เมื่อเทรนด์ AI มาแรงขึ้น อาจจำเป็นต้องร่วมมือกับสตาร์ทอัพหรือมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาเครื่องมือที่เข้าใจบริบทของคนไทยโดยเฉพาะ
แต่ความท้าทายก็ยังคงอยู่ ทั้งเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การสื่อสารที่อาจไร้ซึ่งความรู้สึก และความเสี่ยงจากข้อมูลที่ผิดพลาด จึงจำเป็นต้องมีมาตรฐานกำกับดูแลและการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง ผลสำรวจของสำนักงาน กสทช. พบว่ามีคนไทยเพียง 33% ที่ไว้ใจข้อมูลจาก AI ในเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่งตัวเลขนี้อาจเพิ่มขึ้นได้หากมีการให้ความรู้และมีโครงการนำร่องที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าการมีมนุษย์คอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดยังคงเป็นสิ่งสำคัญ
ข้อแนะนำสำหรับผู้ถูกเลิกจ้างในไทย
- เลือกใช้แชทบอท AI ที่น่าเชื่อถือ (โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล) เพื่อช่วยร่างเรซูเม่ วางแผนการหางาน และสร้างเครือข่าย
- ใช้เทมเพลตจาก AI ช่วยร่างข้อความสมัครงานหรือสร้างคอนเนคชันบนแพลตฟอร์มอย่าง LinkedIn โดยปรับแก้เนื้อหาให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมการทำงานของไทย
- ให้ AI ช่วยจัดตารางหรือสร้างกิจวัตรประจำวันระหว่างหางาน แต่ต้องไม่ละเลยสัญญาณความเหนื่อยล้าทางดิจิทัล และควรหาที่ปรึกษาที่เป็นมนุษย์เมื่อต้องรับมือกับปัญหาทางใจ
- ใช้เครื่องมือ AI ควบคู่ไปกับบริการสายด่วนสุขภาพจิตของไทยหรือกลุ่มสนับสนุนทางออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงที่รู้สึกเครียดจัด
- ติดตามข่าวสารและเวิร์กช็อปใหม่ๆ จากหน่วยงานจัดหางานหรือสถาบันการศึกษาที่เริ่มนำบริการ AI เข้ามาช่วยดูแลแรงงาน
โดยสรุป ขณะที่เครื่องมือ AI กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า เราควรใช้ AI ในฐานะ “ผู้ช่วย” หรือ “กำลังเสริม” ไม่ใช่สิ่งที่จะมาทดแทนสายสัมพันธ์และความเข้าอกเข้าใจในสังคมไทย การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้อย่างมีสติและเข้าใจในข้อจำกัด จะเป็นเกราะป้องกันทางใจให้กับผู้ที่ถูกเลิกจ้างในวันที่อนาคตยังไม่แน่นอน และช่วยให้พวกเขากลับคืนสู่เส้นทางอาชีพและความสุขที่มั่นคงได้อีกครั้ง
ที่มา: The Verge, JMIR, Nature Human Behaviour, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)