GotoKnow

วงการแพทย์ฮือฮา! “เบตาอีน” สารสกัดจากธรรมชาติ อาจเป็นคำตอบของ “การออกกำลังกายในเม็ดเดียว” ชะลอวัยได้จริง

ทีมข่าวสุขภาพและสุขภาวะ
เขียนเมื่อ 5 กรกฎาคม 2568 17:45 น. ()

นับเป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่อาจพลิกโฉมการดูแลสุขภาพผู้สูงวัย เมื่อทีมนักวิจัยค้นพบ “เบตาอีน” สารสกัดจากธรรมชาติที่ให้ผลลัพธ์คล้ายการออกกำลังกาย เช่น ช่วยลดการอักเสบและชะลอความเสื่อมของเนื้อเยื่อ ผลการศึกษาชิ้นนี้เพิ่งตีพิมพ์ในวารสารระดับโลกอย่าง Cell และได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เพราะอาจเป็นความหวังใหม่ในการต่อสู้กับโรคเรื้อรังและยืดอายุขัยให้ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ไม่สามารถออกกำลังกายเป็นประจำได้ (อ่านเพิ่มเติมที่ gbnews.com, medicalxpress.com, pubmed.ncbi.nlm.nih.gov, nmn.com)

งานวิจัยชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันวิทยาศาสตร์จีนและมหาวิทยาลัยการแพทย์ปักกิ่ง พบว่าเบตาอีน ซึ่งมีอยู่มากในอาหารที่หาได้ง่ายอย่างหัวบีต ผักโขม และธัญพืชเต็มเมล็ด มีบทบาทสำคัญในกระบวนการที่เกี่ยวกับการอักเสบและความเสื่อมของเซลล์ โดยปกติแล้ว ร่างกายของเราจะผลิตเบตาอีนเพิ่มขึ้นหลังออกกำลังกาย แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าการรับประทานเบตาอีนในรูปแบบอาหารเสริมก็ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการออกกำลังกาย เช่น ผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือผู้ที่เคลื่อนไหวไม่สะดวก

เมื่อมองมาที่ประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเผยว่า ปัจจุบันประชากรไทยกว่า 18% มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะกล้ามเนื้อลีบ และสมองเสื่อม ได้กลายเป็นปัญหาสังคมที่น่ากังวล แม้จะมีคำแนะนำให้ผู้สูงวัยออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่หลายคนก็เผชิญอุปสรรค ทั้งจากภาวะข้อเสื่อม การเคลื่อนไหวที่ลำบาก หรือการขาดพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทำกิจกรรม ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ทั้งในเมืองใหญ่และพื้นที่ชนบท

ในงานวิจัยที่ชื่อว่า “Systematic profiling reveals betaine as an exercise mimetic for geroprotection” ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาทั้งในมนุษย์และสัตว์ทดลอง โดยกลุ่มตัวอย่างที่เป็นมนุษย์คือชายหนุ่มสุขภาพดี 13 คน ซึ่งต้องทำกิจกรรมตามตารางที่กำหนด เริ่มจากพักผ่อนแบบเคลื่อนไหวน้อย 45 วัน ต่อด้วยการวิ่ง 5 กิโลเมตร 1 ครั้งเพื่อดูผลแบบเฉียบพลัน และปิดท้ายด้วยการวิ่ง 5 กิโลเมตรทุกวันเป็นเวลา 25 วัน ทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างเลือดและอุจจาระตลอดการทดลองเพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในระดับโมเลกุล ผลปรากฏว่าหลังวิ่งเพียงครั้งเดียว ร่างกายมีสารบ่งชี้การอักเสบ (interleukin-6) เพิ่มขึ้นชั่วคราว ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติ แต่เมื่อออกกำลังกายต่อเนื่อง การอักเสบเรื้อรังกลับลดลง และระบบต้านอนุมูลอิสระทำงานดีขึ้น ที่สำคัญคือระดับเบตาอีนในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ผลการทดลองในหนูสูงวัยก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน เมื่อนักวิจัยเสริมเบตาอีนให้หนูแก่ พบว่ามันสามารถต่อต้านความเสื่อมของร่างกายได้หลายระบบ หนูที่ได้รับเบตาอีนมีพังผืดและไขมันสะสมในอวัยวะต่างๆ น้อยลง มีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เซลล์ที่เสื่อมสภาพมีจำนวนลดลง อีกทั้งยังทรงตัวและประสานงานการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น รวมถึงมีพฤติกรรมคล้ายภาวะซึมเศร้าน้อยลงด้วย นอกจากนี้ยังค้นพบว่าเบตาอีนช่วยยับยั้งเอนไซม์ TBK1 ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากความชรา

ทีมวิจัยได้เน้นย้ำถึงโอกาสทางการแพทย์ที่มาพร้อมกับข้อควรระวัง โดยตัวแทนจากโรงพยาบาลซวนหวู่ มหาวิทยาลัยการแพทย์ปักกิ่ง กล่าวว่า “ข้อมูลนี้ยืนยันว่าเบตาอีนคือโมเลกุลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังคุณประโยชน์ของการออกกำลังกาย ซึ่งช่วยลดการอักเสบเรื้อรังอันเป็นต้นเหตุของโรคหัวใจ เบาหวาน ภาวะเปราะบาง และสมองเสื่อม” อย่างไรก็ดี ทีมวิจัยยอมรับว่ากลุ่มตัวอย่างในมนุษย์ยังมีข้อจำกัดอยู่แค่กลุ่มชายหนุ่มสุขภาพดี จึงยังไม่สามารถสรุปผลที่ชัดเจนสำหรับผู้สูงวัยหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้

ปัจจุบันเบตาอีนมีจำหน่ายในรูปแบบอาหารเสริม และยังพบได้ในอาหารไทยหลายชนิด เช่น รำข้าว ผักใบเขียว และอาหารทะเล อย่างไรก็ตาม นักวิจัยย้ำว่าไม่ควรหาซื้อมารับประทานเองโดยปราศจากคำแนะนำ หรือคาดหวังว่าจะสามารถทดแทนการออกกำลังกายได้ทั้งหมด เบตาอีนอาจเป็นเพียงสาร “ชะลอวัย” ที่เข้ามาเสริมแนวทางการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้จริงๆ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อครอบครัวไทยจำนวนมากที่ต้องดูแลญาติผู้ใหญ่ด้วยตัวเองและไม่มีโอกาสพาไปฟื้นฟูร่างกายที่ศูนย์เฉพาะทาง

แวดวงแพทย์ผู้สูงอายุในไทยเองก็กำลังจับตามองผลการวิจัยนี้อย่างใกล้ชิด ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมในไทยท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า แม้งานวิจัยชิ้นนี้จะน่าสนใจอย่างยิ่ง แต่การออกกำลังกายยังคงเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งเสริมสุขภาพกายและสมองอย่างครบวงจร “อาหารเสริมไม่สามารถทดแทนคุณประโยชน์ทั้งหมดของการออกกำลังกายได้ เพราะการออกกำลังกายยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิต สังคม และระบบเผาผลาญ แต่หากผลวิจัยในอนาคตยืนยันประโยชน์ของเบตาอีนได้ชัดเจนขึ้น สารนี้ก็อาจเป็นทางเลือกเสริมที่ดีสำหรับผู้สูงวัยหรือผู้ที่อยู่ในช่วงพักฟื้นจากอาการป่วยได้”

ที่ผ่านมา ประเทศไทยส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุผ่านระบบครอบครัว กิจกรรมในชุมชนและวัด การใช้สมุนไพรไทย ควบคู่ไปกับการรณรงค์ให้ออกกำลังกาย เช่น การเดิน หรือรำไทเก็ก แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนเป็นสังคมเมืองมากขึ้นและวิถีชีวิตเร่งรีบขึ้น คนไทยจำนวนไม่น้อยก็ขาดทั้งเวลาและโอกาสในการออกกำลังกาย การมองหาทางเลือกใหม่ๆ เพื่อรักษาสุขภาพและความเป็นอิสระในวัยชราจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญ

ปัจจุบัน ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจงานวิจัยเกี่ยวกับสารที่ออกฤทธิ์ “เลียนแบบการออกกำลังกาย” (Exercise Mimetics) ซึ่งช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์เสมือนได้ขยับร่างกายจริงๆ โดยไม่ต้องออกแรง ทั้งนี้เป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางความรู้ด้านโภชนาการ พันธุกรรม และการยืดอายุขัย เบตาอีน หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่าไตรเมทิลไกลซีน ยังมีคุณสมบัติช่วยลดระดับโฮโมซีสเตอีน (สารตั้งต้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ) รายงานในบางกลุ่มตัวอย่างยังชี้ว่าการรับเบตาอีนจากแหล่งอาหารธรรมชาติช่วยลดไขมันเลว ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงเบาหวาน และอาจช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง ซึ่งสอดคล้องกับผลการทดลองในสัตว์ (อ่านเพิ่มเติมที่ nmn.com)

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับขนาดรับประทานเบตาอีนที่ปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับคนแต่ละวัยหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวแตกต่างกันไป รวมถึงผลข้างเคียงในระยะยาว และปฏิกิริยากับยาหรืออาหารเสริมอื่นๆ ก็ยังต้องศึกษาเพิ่มเติม ทีมผู้วิจัยจาก Cell และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างเห็นตรงกันว่าจำเป็นต้องมีการทดลองในกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติ เพศ และช่วงวัย ก่อนที่จะนำไปกำหนดเป็นแนวทางด้านสาธารณสุขได้

สำหรับผู้อ่านชาวไทยที่สนใจ ผู้เชี่ยวชาญยังคงแนะนำให้ยึดหลักการพื้นฐานด้านสุขภาพเป็นสำคัญ นั่นคือ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารให้สมดุลโดยเน้นผักและธัญพืช (ซึ่งเป็นแหล่งเบตาอีนตามธรรมชาติ) รักษาสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง และไปตรวจสุขภาพตามนัด แม้จะยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าทุกคนจำเป็นต้องเสริมเบตาอีน แต่หากสนใจ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกำหนดอาหารก่อนตัดสินใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาอื่นร่วมด้วย

ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขกำลังติดตามงานวิจัยชิ้นนี้อย่างใกล้ชิด และพิจารณาถึงศักยภาพในการนำไปปรับใช้กับกลุ่มเปราะบางหรือผู้พิการ หากในอนาคตมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนขึ้น ก็อาจมีการนำเบตาอีนมาให้บริการในสถานพยาบาลระดับชุมชน ควบคู่ไปกับโครงการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงวัยอื่นๆ

สรุปได้ว่า การค้นพบนี้ได้เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจว่าสารอาหารพื้นฐานที่พบได้ในอาหารไทย อาจมีบทบาทสำคัญต่อกลไกความเสื่อมของร่างกาย และอาจเป็นอีกหนึ่งความหวังในการมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพในสังคมที่ผู้สูงวัยมีข้อจำกัดด้านเวลาหรือความคล่องตัว หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม ทีมข่าวจะนำมารายงานให้ทราบต่อไป


แหล่งข้อมูล


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย