การเข้าถึงวิธีคุมกำเนิดในสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญความท้าทายมากขึ้นทุกขณะ ผลักดันให้กลุ่มผู้ขับเคลื่อนในรัฐนิวยอร์กต้องคิดค้นแนวทางใหม่ๆ เช่น การติดตั้งตู้จำหน่ายยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Plan B) และเวชภัณฑ์อื่นๆ ในมหาวิทยาลัย เพื่อทลายกำแพงการเข้าถึง ท่ามกลางสถานการณ์สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากการปิดตัวของคลินิกและอุปสรรคทางกฎหมาย กลยุทธ์ของนิวยอร์กจึงกลายเป็นกรณีศึกษาที่เปี่ยมความหวังและเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับพื้นที่อื่นๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งการเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้ไข
การเข้าถึงวิธีคุมกำเนิดถือเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบชีวิตและอนาคตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนต่อหรือความก้าวหน้าในอาชีพ แต่ปัจจุบัน ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ในสหรัฐฯ ราว ๑๙ ล้านคน กลับต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “ทะเลทรายการคุมกำเนิด” (contraception desert) ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่ขาดแคลนสถานบริการสาธารณะในการเข้าถึงการคุมกำเนิดอย่างครบวงจร ปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่ในพื้นที่ห่างไกล แต่ยังพบได้ในหลายส่วนของรัฐนิวยอร์ก แม้จะเป็นรัฐที่ขึ้นชื่อว่ามีนโยบายด้านสาธารณสุขที่ก้าวหน้าก็ตาม บทความจาก STAT News (2024) ชี้ว่า นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ Upstate ในเมืองซีราคิวส์ สามารถซื้อยา Plan B ได้จากตู้จำหน่ายอัตโนมัติ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องความอับอาย ค่าใช้จ่าย และข้อจำกัดด้านเวลา ซึ่งล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญ
สถานการณ์นี้ไม่ต่างจากประเทศไทยมากนัก เพราะบ้านเรายังคงมีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการอนามัยเจริญพันธุ์เชิงพื้นที่ แม้กรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่จะมีคลินิกและร้านขายยามากมาย แต่ในหลายจังหวัด พื้นที่ห่างไกลก็ไม่ต่างจาก “ทะเลทรายการคุมกำเนิด” เช่นกัน ดังนั้น การเรียนรู้จากแนวทางที่ชุมชนในนิวยอร์กลุกขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง จึงอาจเป็นมุมมองที่เป็นประโยชน์ต่อผู้กำหนดนโยบาย นักการศึกษา และบุคลากรสาธารณสุขของไทย
ข้อมูลจากสหรัฐฯ สะท้อนภาพที่น่ากังวล หลังคำตัดสินของศาลสูงสุดในคดี Dobbs เมื่อปี ๒๕๖๕ ที่ล้มล้างสิทธิตามคำพิพากษาคดี Roe v. Wade งานวิจัยพบว่าการเข้าถึงยาคุมกำเนิดมีอุปสรรคมากขึ้นและมีผู้ใช้งานลดลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น ผลสำรวจในหลายรัฐพบว่า ก่อนหน้าคำตัดสิน มีผู้หญิงถึง ๖๒% ที่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดที่ตนต้องการ แต่หลังคำตัดสินตัวเลขกลับลดลงเหลือเพียง ๔๕% โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ส่งผลให้ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยจำต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าเดิม ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ และสร้างความกังวลอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดในการยุติการตั้งครรภ์หรือขาดแคลนคลินิกให้บริการ (STAT News)
แม้แต่รัฐนิวยอร์กที่ขึ้นชื่อว่ามีนโยบายเสรี ก็ยังเผชิญกับปัญหานี้ มีการประมาณการว่าผู้หญิงราว ๑.๒ ล้านคนในรัฐ (เทียบเท่ากับประชากรทั้งจังหวัดนครราชสีมา) ไม่สามารถเข้าถึงวิธีคุมกำเนิดมาตรฐานได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและชานเมืองบางแห่ง เมื่อคลินิกที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐต้องปิดตัวลง ชาวบ้านในพื้นที่อาจต้องเดินทางไกลกว่า ๘๐ กิโลเมตรเพื่อไปยังคลินิกที่ใกล้ที่สุด เช่น กรณีการปิดศูนย์ Planned Parenthood ในหลายมณฑล ซึ่งเมื่อไม่มีศูนย์เหล่านี้ บริการสุขภาพทางไกล (Telehealth) ก็ไม่สามารถทดแทนการคุมกำเนิดที่ต้องอาศัยหัตถการจากบุคลากรผู้ชำนาญ เช่น การใส่ห่วงอนามัยหรือยาฝังคุมกำเนิดได้
“ความล้มเหลวของระบบสาธารณสุขของอเมริกาส่งผลให้เกิดความท้าทายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หลายศูนย์จึงต้องตัดลดงบประมาณอย่างหนัก” องค์กร Planned Parenthood ประจำรัฐนิวยอร์ก (PPGNY) ระบุ พร้อมชี้ไปที่ปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ระบบการเบิกจ่ายประกันสุขภาพที่ไม่แน่นอน และบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่เอื้อต่อการให้บริการสุขภาพทางเพศ (STAT News) ปัจจุบัน สถานการณ์หนักหนาถึงขั้นต้องพึ่งพาอาสาสมัครขับรถพาผู้ป่วยข้ามมณฑลเพื่อไปรับบริการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของภาคประชาสังคมในการเข้ามาอุดช่องว่างของระบบ
มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า การเข้าถึงวิธีคุมกำเนิดที่สะดวกสบายส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ Upstate ให้ข้อมูลว่านโยบายที่ขยายการเข้าถึง เช่น การติดตั้งตู้จำหน่ายยา Plan B สามารถลดอัตราการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ในวัยรุ่น และส่งเสริมสุขภาวะของผู้หญิงโดยรวม “ในอดีต การคุมกำเนิดแบบกึ่งถาวร (LARC) มีส่วนสำคัญในการลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นทั่วประเทศ” พร้อมเน้นย้ำว่าการเข้าถึงจะต้องต่อเนื่องและมีราคาที่สมเหตุสมผล
แต่อุปสรรคยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะการเข้าถึงวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างห่วงอนามัยหรือยาฝังคุมกำเนิด ซึ่งยังมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูง ต้องอาศัยบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ และคลินิกก็มีเวลาทำการจำกัด สำหรับเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย อุปสรรคเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น อดีตผู้บริหารคลินิกวางแผนครอบครัวขนาดใหญ่ในเมืองซีราคิวส์ซึ่งต้องปิดตัวลงเพราะขาดแคลนงบประมาณ กล่าวว่า “คนที่ต้องการใส่ห่วงอนามัยมักต้องตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงเกิน ๑,๐๐๐ ดอลลาร์”
แม้จะเต็มไปด้วยปัญหา แต่กลุ่มนักศึกษาและองค์กรภาคสังคมกำลังลุกขึ้นมาสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ทีมผู้ริเริ่มโครงการตู้จำหน่ายที่มหาวิทยาลัย Upstate ได้ออกแบบตู้โดยคำนึงถึงการลดความรู้สึกอับอาย โดยจัดให้มีทั้งยาคุมฉุกเฉิน ยาแก้ปวด และชุดตรวจการตั้งครรภ์จำหน่ายอยู่ด้วยกัน เพื่อไม่ให้ตู้ถูกตีตราว่าเป็นเรื่องเพศเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าสนใจอย่างยิ่งหากจะนำมาปรับใช้ในมหาวิทยาลัยของไทย ซึ่งปัจจุบันยังคงมีความท้าทายเรื่องการตีตราทางสังคมที่ทำให้คนไม่กล้าเข้ารับบริการ (STAT News)
ปัจจุบันมีความพยายามผลักดันร่างกฎหมายให้มหาวิทยาลัยของรัฐทุกแห่งในนิวยอร์กต้องติดตั้งตู้จำหน่ายเวชภัณฑ์ที่จำเป็นเหล่านี้ และขยายบริการให้ครอบคลุมถึงยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ได้ตัวแรกของประเทศที่เพิ่งได้รับการรับรองจาก อย. สหรัฐฯ ซึ่งเป็นทิศทางที่คล้ายคลึงกับที่ไทยเคยผลักดันให้มีการแจกหรือจำหน่ายยาคุมฉุกเฉินในราคาถูกหรือฟรีตามสถานบริการของรัฐ
อย่างไรก็ตาม นอกรั้วมหาวิทยาลัยยังคงมีปัญหาใหญ่รออยู่ นั่นคือพื้นที่ “ทะเลทรายร้านยา” (pharmacy desert) ซึ่งไม่ว่าจะในเมืองหรือชนบทก็ยังมีหลายพื้นที่ที่หาร้านยาได้ยากหรือเดินทางไม่สะดวก ยิ่งไปกว่านั้น “คลินิกยุติการตั้งครรภ์เทียม” (fake clinic) ซึ่งมักมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มที่ต่อต้านการคุมกำเนิด กลับมีจำนวนมากกว่าคลินิกที่ให้บริการด้านอนามัยเจริญพันธุ์ที่ได้มาตรฐานในรัฐนิวยอร์กเสียอีก ปัญหานี้ยังพบได้ในประเทศไทยเช่นกัน ซึ่งแหล่งข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอาจสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ประชาชนและจำกัดทางเลือกในการตัดสินใจของพวกเขา
สำหรับประเทศไทย บทเรียนจากนิวยอร์กถือว่ามีคุณค่าและทันต่อสถานการณ์อย่างยิ่ง เพราะทั้งสองแห่งต่างเผชิญความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ ข้อจำกัดทางสังคม และปัญหาการตีตราเรื่องเพศ แม้กระทรวงสาธารณสุขของไทยจะพยายามส่งเสริมการวางแผนครอบครัวมาอย่างยาวนาน แต่ผู้หญิงในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกลยังคงเผชิญปัญหาไม่ต่างจากในนิวยอร์ก แนวทางใหม่อย่างบริการสุขภาพทางไกล (telemedicine) การจำหน่ายยาคุมกำเนิดผ่านร้านขายยา หรือช่องทางในชุมชน ล้วนมีทั้งข้อจำกัดและโอกาส ตู้จำหน่ายอัตโนมัติที่ออกแบบอย่างรอบคอบอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยอุดช่องว่างสำหรับนักศึกษาหรือคนทำงานนอกเวลาทำการปกติได้ สิ่งสำคัญคือต้องออกแบบระบบให้จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพทั่วไปควบคู่ไปกับยาคุมฉุกเฉิน เพื่อลดการตีตรา เช่นเดียวกับที่นิวยอร์กทำ
หากย้อนดูประวัติศาสตร์ ไทยเองก็เคยสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่จาก “การปฏิวัติการวางแผนครอบครัว” ในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐-๒๕๒๐ จนได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ทั้งในแง่การชะลอการเพิ่มของประชากรและยกระดับสุขภาพของแม่และเด็ก แต่ข้อมูลจากรายงานอนามัยเจริญพันธุ์ล่าสุดของไทยกลับพบแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง คือ วัยรุ่นและเยาวชนยังคงมีความต้องการคุมกำเนิดที่ไม่ได้รับการตอบสนอง (unmet need) ในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียตะวันออก (UNFPA Thailand Fact Sheet)
ในอนาคต นโยบายที่จำกัดสิทธิการคุมกำเนิดในสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะสร้างแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขมากยิ่งขึ้น และนิวยอร์กน่าจะเป็น ‘ห้องทดลอง’ สำคัญสำหรับกลยุทธ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นตู้จำหน่ายยาอัตโนมัติ หรือการขยายบทบาทร้านขายยา เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น สำหรับประเทศไทย การติดตามและเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านี้จะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการออกแบบนโยบาย ทั้งการแก้ไขกฎระเบียบ การสร้างความตระหนักรู้ และการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงสำหรับคนทุกกลุ่ม
บทสรุปสำหรับผู้อ่านชาวไทยคือ เสรีภาพในการกำหนดอนาคตด้านการเจริญพันธุ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมี “ยา” หรือ “อุปกรณ์” ให้ใช้เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับโครงสร้างของระบบบริการ กฎหมาย และทัศนคติของสังคมด้วย นวัตกรรมที่ริเริ่มโดยชุมชนดังเช่นในนิวยอร์กสามารถเข้ามาอุดช่องว่าง ลดการตีตรา และมอบพลังให้คนรุ่นใหม่และกลุ่มเปราะบางสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายและชีวิตของตนเองได้ มหาวิทยาลัย หน่วยงานสาธารณสุข และองค์กรภาคประชาสังคมควรนำโมเดลเหล่านี้มาศึกษาและปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของไทย โดยยึดหลักความเสมอภาค สิทธิ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นที่ตั้ง
สำหรับผู้สนใจ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ STAT News: Birth control has become harder to get. New York has some creative solutions (2024) UNFPA Thailand - Fact Sheet