GotoKnow

จูฬนารทกัสสปชาดก

พล.ต. มารวย ส่งทานินทร์
เขียนเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2025 04:39 น. ()
ว่าด้วย พิษเหวเปือกตมและอสรพิษ

จูฬนารทกัสสปชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๔. จูฬนารทกัสสปชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๔๗๗)

ว่าด้วยกัสสปดาบสสอนจูฬนารทดาบส

             (พระโพธิสัตว์ถามลูกชายว่า)

             [๔๐] ฟืนลูกก็มิได้ผ่า น้ำลูกก็มิได้ตัก แม้ไฟลูกก็มิได้ก่อให้โพลงขึ้น ทำไมหนอ ลูกจึงซบเซาเหมือนคนปัญญาอ่อน

             (ดาบสกุมารตอบว่า)

             [๔๑] พ่อกัสสปะ ลูกหมดความพยายามที่จะอยู่ป่าต่อไป ขอกราบลาพ่อ การอยู่ในป่าลำบาก ลูกต้องการจะไปยังเมือง

             [๔๒] พ่อพราหมณ์ ลูกไปจากที่นี้แล้ว ไปอยู่ชนบทใดชนบทหนึ่ง พึงศึกษาอาจาระอันเป็นประเพณีที่ควรศึกษา (หมายถึงมารยาทซึ่งเป็นจารีตประเพณีที่ควรศึกษาของสถานที่นั้น) ขอพ่อกรุณาสอนธรรม (ธรรม หมายถึงจารีตประเพณีของชาวชนบทนั้น) นั้นให้ลูกด้วย

             (พระโพธิสัตว์กล่าวว่า)

             [๔๓] ถ้าลูกทิ้งป่าและมูลผลาหารในป่า พอใจการอยู่ในเมือง ลูกจงตั้งใจฟังธรรมนั้นจากพ่อ

             [๔๔] อย่าเสพของมีพิษ ๑ จงเว้นเหวให้ห่างไกล ๑ อย่าจมลงในเปือกตม ๑ พึงระมัดระวังเมื่ออยู่ใกล้อสรพิษ ๑

             (ดาบสกุมารเมื่อไม่รู้ความหมายของคำที่พ่อกล่าวโดยย่อ จึงถามว่า)

             [๔๕] อะไรหนอคือของมีพิษ เหว หรือเปือกตม สำหรับผู้ประพฤติพรหมจรรย์ อะไรที่พ่อกล่าวว่า เป็นอสรพิษ ลูกถามแล้ว ขอพ่อจงบอกเรื่องนั้น

             (ฝ่ายพระโพธิสัตว์ตอบว่า)

             [๔๖] พ่อนารทะ ของหมักดองในโลกที่เขาเรียกชื่อว่าสุรา ทำใจให้ฮึกเหิม มีกลิ่นหอม น่าพอใจ มีรสอร่อยเหมือนน้ำผึ้ง สุรานั้น พระอริยะทั้งหลายกล่าวว่า เป็นของมีพิษสำหรับพรหมจรรย์

             [๔๗] พ่อนารทะ หญิงทั้งหลายในโลกย่อมย่ำยีชายผู้ประมาทแล้ว พวกหล่อนย่อมชักจูงจิตของชายหนุ่มไป เหมือนลมพัดปุยนุ่นที่พลัดตกจากต้น สภาพนั้นบัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า เป็นเหวสำหรับพรหมจรรย์

             [๔๘] ลาภ ๑ ความมีชื่อเสียง ๑ สักการะ ๑ การบูชาในสกุลอื่นๆ ๑ พ่อนารทะ นี้แหละบัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า เป็นเปือกตมของพรหมจรรย์

             [๔๙] พ่อนารทะ พระราชาทั้งหลายทรงมีศัสตราวุธ ทรงปกครองแผ่นดินนี้ พระราชาผู้จอมมนุษย์ ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้น เจ้าควรระวัง

             [๕๐] พ่อนารทะ พระราชาผู้เป็นอิสระ เป็นอธิบดีเหล่านั้น เจ้าอย่าอยู่ใกล้ชิดเลย พระราชานี้แหละบัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า เป็นอสรพิษสำหรับพรหมจรรย์

             [๕๑] อนึ่ง คนผู้ต้องการอาหารในเวลาอาหาร พึงเข้าไปยังเรือนหลังใดหลังหนึ่ง บรรดาเรือนเหล่านี้ เจ้าพึงเที่ยวแสวงหาอาหาร ในเรือนหลังที่ตนทราบว่าดีงาม

             [๕๒] ครั้นเข้าไปยังสกุลอื่นเพื่อประโยชน์แก่น้ำหรือโภชนาหาร ควรขบเคี้ยวบริโภคแต่พอประมาณ ไม่ควรใฝ่ใจในรูป

             [๕๓] คอกโค ๑ โรงสุรา ๑ นักเลง ๑ หอประชุม ๑ สถานที่เก็บเงินทอง ๑ เจ้าจงเว้นให้ห่างไกล เหมือนคนขับยานพาหนะเว้นหนทางที่ขรุขระ

จูฬนารทกัสสปชาดกที่ ๔ จบ

-------------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

จุลลนารทกัสสปชาดก

ว่าด้วย พิษเหวเปือกตมและอสรพิษ

               พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภการประเล้าประโลมของสาวเทื้อ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               เล่ากันมาว่า ธิดาของสกุลชาวกรุงสาวัตถีผู้หนึ่งมีอายุประมาณ ๑๕-๑๖ ปี เป็นหญิงมีรูปเลอโฉม แต่ไม่มีใครสู่ขอนาง. ลำดับนั้น มารดาของนางคิดว่า ธิดาของเราเป็นสาวแล้ว แต่ไม่มีใครสู่ขอนางเลย เราต้องใช้นางล่อประเล้าประโลมภิกษุของพระศากยะรูปหนึ่ง เหมือนล่อปลาด้วยเหยื่อ ให้สึกเสียจนได้ แล้วจักอาศัยเธอเลี้ยงชีพ.
               ครั้งนั้น กุลบุตรชาวกรุงสาวัตถีผู้หนึ่งบวชถวายชีวิตในพระศาสนา ตั้งแต่กาลที่อุปสมบทแล้วก็ละทิ้งสิกขาบท เกียจคร้าน มัวแต่ประดับสรีระอยู่. มหาอุบาสิกาจัดแจงยาคูและข้าว ขาทนียโภชนียะไว้ในเรือน ยืนที่ประตูเรือน ใคร่ครวญ บรรดาภิกษุที่พากันเดินไปในระหว่างถนน สักรูปหนึ่ง ซึ่งมีท่าทางที่นางสามารถจะเกี้ยวได้ด้วยรสตัณหา.
               เมื่อขบวนพระผู้ทรงพระไตรปิฎก ผู้ทรงพระอภิธรรม ผู้ทรงพระวินัย พากันเดินไปกับบริวารเป็นอันมาก ก็ยังไม่เห็นรูปไรๆ ในกลุ่มที่พอจะเกาะไว้ได้ ในกลุ่มแห่งพระธรรมกถึกผู้กล่าวธรรมไพเราะก็ดี ในกลุ่มแห่งพระผู้สมาทานปิณฑบาตเป็นวัตร ผู้เช่นกับวลาหกอันกระจายฝอยก็ดี ผู้เดินไปภายหลังแห่งภิกษุกลุ่มนั้น ก็คงยังไม่เห็นสักรูปหนึ่งเลย.
               ครั้นเห็น ภิกษุรูปหนึ่งหยอดยาตาจนถึงขอบตา นุ่งอันตรวาสกทำด้วยผ้าทุกูลพัสตร์ ห่มจีวรเนื้อเกลี้ยงเป็นมันระยับ ประคองบาตรสีเหมือนแก้วมณี กั้นร่มอันชวนใจให้ยินดี ปล่อยอินทรีย์ ร่างกายล่ำสันอันใหญ่โตกำลังเดินมา คิดว่า เราอาจเกี้ยวภิกษุนี้ได้ จึงเดินไปไหว้รับบาตร กล่าวว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าข้า พามาเรือนให้นั่ง แล้วเลี้ยงดูด้วยข้าวยาคูเป็นต้น กล่าวกะภิกษุนั้น ผู้ฉันเสร็จว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ตั้งแต่บัดนี้ไป พระคุณเจ้าพึงมาที่นี้เท่านั้นนะ เจ้าคะ.
               ตั้งแต่นั้น ภิกษุนั้นก็ไปบ้านนั้นเป็นประจำ ต่อมาได้คุ้นเคยกัน.
               อยู่มาวันหนึ่ง มหาอุบาสิกายืนอยู่ในระยะพอที่เธอจะได้ยิน กล่าวว่า ในเรือนนี้ มีเครื่องอุปโภคบริโภคพอประมาณ แต่ลูกชายหรือลูกเขยอย่างนั้น ที่สามารถจะตรวจตราเหย้าเรือนไม่มีเลย เธอฟังคำของนาง คิดว่า นางพูดเพื่อประโยชน์อะไรเล่านะ ได้เป็นเหมือนถูกเจาะที่หัวใจเข้าไปหน่อย. นางกล่าวกะธิดาว่า เจ้าจงยั่วยวนภิกษุนี้ให้เป็นไปในอำนาจของเจ้าให้ได้เถิด.
               ตั้งแต่นั้นมา นางก็ประดับกายพริ้วเพรา ยั่วยวนเธอด้วยกระบิดกระบวนสตรีต่างๆ.
               ก็ที่เรียกนางสาวเทื้อนั้น ไม่พึงเห็นว่ามีร่างกายอ้วน จะอ้วนหรือผอมก็ตาม คงเรียกว่าสาวเทื้อได้ เพราะหนาไปด้วยราคะประกอบด้วยกามคุณ ๕ ประการ.
               ก็แล เธอยังหนุ่ม ยังตกอยู่ในอำนาจกิเลส คิดว่า บัดนี้ เราคงไม่อาจดำรงอยู่ในพระพุทธศาสนาได้ กล่าวว่า ฉันต้องไปวิหาร มอบบาตรและจีวรแล้ว จักไปที่ตรงโน้น เธอจงส่งผ้าของฉันไปที่นั้น แล้วไปสู่วิหาร มอบบาตรจีวร กราบเรียนพระอาจารย์อุปัชฌาย์ว่า ผมจะสึกละครับ.
               ท่านเหล่านั้นพาเธอไปสู่สำนักพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้จะสึก พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่า เธอจะสึกจริงหรือ. เมื่อกราบทูลให้ทรงทราบว่า จริง พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า เหตุอะไรให้เธอสึก. เมื่อเธอกราบทูลให้ทรงทราบว่า นางสาวเทื้อ พระเจ้าข้า.
               ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ แม้ในครั้งก่อน นางคนนี้ก็เคยกระทำอันตรายแก่พรหมจรรย์ ก่อความเสื่อมเสียอย่างมหันต์แก่เธอผู้อยู่ในป่า เธอยังจะอาศัยนางนี้คนเดียวกันสึกเสียอีก เพราะเหตุไรเล่า.
               พวกภิกษุพากันกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดง ดังต่อไปนี้.
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ มีสมบัติมากในแคว้นกาสี เรียนศิลปะ สำเร็จตั้งหลักฐาน. ลำดับนั้น ภรรยาของท่านคลอดบุตรคนหนึ่ง ได้ถึงแก่กรรมไป. ท่านได้คิดว่า ความตายมีได้แก่ภรรยาที่รักของเราฉันใด ความตายจักต้องมาถึงเราฉันนั้น เราจะต้องการอะไรด้วยฆราวาส บวชเถอะน่ะ ละกามทั้งหลาย พาลูกชายเข้าสู่หิมพานต์ บวชเป็นฤาษีกับลูกชายนั้น ยังฌานอภิญญาให้เกิด ได้มีเผือกมันและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่ในราวป่า.
               ครั้งนั้น พวกโจรชาวปัจจันตคามเข้าสู่ชนบทปล้นบ้าน จับคนเป็นเชลยให้ขนข้าวของเดินทางไปสู่ชายแดน. ในกลุ่มเชลยนั้น หญิงสาวผู้หนึ่งงามประกอบด้วยปรีชาในเชิงล่อลวง. นางคิดว่า โจรเหล่านี้จับพวกเราไป คงจักใช้สอยอย่างใช้ทาส เราต้องหาอุบายอันหนึ่งหนีไปเสียให้ได้. นางจึงกล่าวว่า นายเจ้าข้า ดิฉันประสงค์จะกระทำสรีรกิจ โปรดหยุดรอสักหน่อยเถิดเจ้าคะ แล้วลวงพวกโจรหนีไป.
               เมื่อท่องเที่ยวไปในป่า บรรลุถึงอาศรมในเวลาเช้า ตอนที่พระโพธิสัตว์ให้ลูกชายเฝ้าอาศรม แล้วไปหาผลาผล จึงยั่วยวนดาบสเด็กนั้น ด้วยการยินดีในกาม ทำลายศีลเขาเสีย ให้ตกอยู่ในอำนาจตนแล้ว กล่าวว่า เธอจะมาอยู่ในป่าทำอะไร มาเถิดนะ เราพากันไปสู่บ้าน เพราะในถิ่นบ้านนั้น กามคุณมีรูปเป็นต้น หาได้ง่าย.
               ฝ่ายเขาก็รับคำว่า ดี แล้วกล่าวว่า พ่อของฉันไปหาผลาผลมาจากป่า เราทั้งสองพบท่านแล้ว ค่อยไปพร้อมกันเลย. นางคิดว่า ดาบสนี้เป็นเด็กรุ่น ไม่รู้จักอะไร แต่บิดาของเขาคงบวชเมื่อแก่ เขามาแล้วคงโบยตีเราว่า มึงทำอะไรที่นี้ จักตีเราฉุดไปโยนทิ้งเสียในป่าก็ได้ เมื่อเขายังไม่มานั่นแหละ เราต้องหนีไปเสีย. ครั้งนั้น นางจึงกล่าวกะเขาว่า ฉันจะไปล่วงหน้า เธอพึงไปภายหลังนะ แล้วบอกที่หมายในหนทาง หลบไป.
               ตั้งแต่กาลที่นางไปแล้ว เขาเกิดโทมนัส ไม่กระทำวัตรอะไรๆ เหมือนแต่ก่อน คลุมศีรษะซบเซาอยู่ภายในบรรณศาลา. พระมหาสัตว์นำผลาผลมา เห็นรอยเท้าของนาง คิดอยู่ว่า นี้เป็นรอยเท้าของมาตุคาม ศีลของลูกชายเราคงถูกทำลายแล้วเป็นแน่ พลางเข้าสู่บรรณศาลา วางผลาผลลงเรียบร้อย.
               เมื่อจะถามลูกชายจึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า
               ฟืนเจ้าก็มิได้หัก น้ำเจ้าก็มิได้ตักมา แม้กองไฟเจ้าก็มิได้ก่อให้ลุกโพลง เหตุไรหนอเจ้าจึงเหมือนคนโง่เขลา นอนซบเซาอยู่.
               เขาได้ยินคำของบิดาแล้ว ลุกขึ้นกราบบิดา เมื่อจะเรียนให้ทราบ เพื่อจะไปสู่ที่อยู่ของมนุษย์ จากที่อยู่ในป่า ด้วยความเคารพ จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
               ข้าแต่คุณพ่อกัสสปะ ผมอดทนอยู่ในป่าไม่ได้ ผมจะขอลาคุณพ่อไป การอยู่ในป่าลำบาก ผมปรารถนาจะไปสู่บ้านเมือง.
               ข้าแต่คุณพ่อผู้เป็นดุจพรหม ผู้ออกจากป่านี้ไปอยู่ ณ ชนบทใดๆ จะพึงศึกษาขนบธรรมเนียม ที่ชาวชนบทเขาประพฤติกันอย่างไร ขอคุณพ่อจงพร่ำสอนขนบธรรมเนียมนั้นแก่ผมด้วยเถิด.
               พระมหาสัตว์กล่าวว่า ดีละพ่อ ฉันแสดงจารีตของประเทศแก่เจ้า.
               แล้วกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
               ถ้าเจ้าละป่า เหง้ามันและผลไม้ในป่า พึงพอใจอยู่ในบ้านเมือง เจ้าจงสำเหนียกจารีตของชนบทนั้นของเราไว้.
               เจ้าจงอย่าเสพของมีพิษ จงเว้นเหวโดยเด็ดขาด อย่าจมอยู่ในเปือกตม ในที่ใกล้อสรพิษ จงเตรียมตัวให้พร้อม.
               ดาบสกุมาร เมื่อไม่รู้เนื้อความของคำที่บิดากล่าวไว้โดยย่อ จึงถามว่า
               ผมขอถาม คุณพ่อกล่าวอะไรว่าเป็นพิษ เป็นเหว เป็นเปือกตม เป็นอสรพิษของพรหมจรรย์ ผมถามแล้ว ขอคุณพ่อโปรดบอกความข้อนั้นแก่ผมเถิด.
               ฝ่ายดาบสโพธิสัตว์ได้พยากรณ์แก่บุตรว่า
               ดูก่อนนารทะ น้ำดองในโลกเขาเรียกว่าสุรา สุรานั้นทำใจให้ฮึกเหิม มีกลิ่นหอม ทำให้พูดมาก มีรสหวาน แหลมปานน้ำผึ้ง พระอริยะทั้งหลายกล่าวสุรานั้น ว่าเป็นพิษของพรหมจรรย์.
               ดูก่อนนารทะ หญิงทั้งหลายในโลก ย่อมย่ำยีบุรุษผู้ประมาทแล้ว หญิงเหล่านั้นย่อมจูงจิตของบุรุษไป เหมือนลมพัดปุยนุ่นที่หล่นจากต้นไปฉะนั้น นี่บัณฑิตกล่าวว่า เป็นเหวของพรหมจรรย์.
               ดูก่อนนารทะ ลาภ สรรเสริญ สักการะและการบูชาในตระกูลอื่น นี่บัณฑิตกล่าวว่า เป็นเปือกตมของพรหมจรรย์.
               ดูก่อนนารทะ พระราชาเป็นใหญ่ครอบครองแผ่นดินนี้ เจ้าอย่าเข้าไปใกล้พระราชาผู้เป็นใหญ่ เป็นจอมแห่งมนุษย์เช่นนั้น.
               ดูก่อนนารทะ เจ้าอย่าเที่ยวไปใกล้บาทมูลแห่งพระราชาทั้งหลายผู้เป็นอิสระและเป็นอธิบดีเหล่านั้น พระราชานั้น บัณฑิตกล่าวว่า เป็นอสรพิษของพรหมจรรย์.
               บุคคลผู้ต้องการอาหารในเวลาอาหาร พึงเข้าไปใกล้เรือนใด พึงรู้กุศล คืออโคจร ๕ ที่ควรเว้นในสกุลนั้น แล้วพึงเที่ยวแสวงหาอาหารในเรือนนั้น บุคคลเข้าไปสู่ตระกูลอื่นเพื่อปานะ หรือโภชนะแล้ว พึงรู้จักประมาณ บริโภคแต่พอควร และไม่พึงใส่ใจในรูปหญิง.
               เจ้าจงเว้นให้ห่างไกลซึ่งการตั้งคอกโค ร้านขายสุรา คนเกเร ที่ประชุม และขุมทรัพย์ทั้งหลาย เหมือนบุคคลผู้ไปด้วยยาน เว้นหนทางอันไม่ราบเรียบ ฉะนั้น.
               จริงอยู่ พระราชาทั้งหลายทรงกริ้วแล้ว ย่อมให้ถึงความวอดวายโดยครู่เดียวเท่านั้น เหมือนอสรพิษฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บัณฑิตพึงทราบความด้วยอำนาจโทษดังกล่าวแล้ว ในการเข้าไปภายในพระราชวัง.
               เมื่อบิดากำลังกล่าวสอนอยู่นั่นเอง มาณพกลับได้สติกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ข้าพเจ้าไม่ควรไปแดนมนุษย์ ลำดับนั้น บิดาได้สอนวิธีเจริญเมตตาเป็นต้นแก่ดาบสกุมาร ดาบสกุมารตั้งอยู่ในโอวาทของบิดา ยังฌานและอภิญญาให้บังเกิดโดยไม่นานนัก.
               สองดาบสพ่อลูก มิได้เสื่อมจากฌาน ได้บังเกิดในพรหมโลก.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
                         นางกุมาริกานี้ ได้มาเป็นนางสาวเทื้อนี้
                         ดาบสกุมารได้เป็นภิกษุผู้กระสัน
                         ส่วนดาบสบิดา คือ เราตถาคต นั่นเอง แล.

               จบอรรถกถาจุลลนารทกัสสปชาดกที่ ๔               
               -----------------------------------------------------      

 

คำสำคัญ (Tags): #ดาบสโพธิสัตว์ 
สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆ


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย