GotoKnow

ปัญญาเชิงระบบ กับการพัฒนาระบบการศึกษาไทย

Prof. Vicharn Panich
เขียนเมื่อ 28 มกราคม 2025 15:00 น. ()

 

หนังสือแปล ปัญญาเชิงระบบ พลังสร้างสรรค์และปัญญา ใช้ชีวิตดีขึ้นด้วยปัญญาเชิงระบบ   แปลจาก Being Better Better : Living with Systems Intelligence (2014)  ปลุกผมว่า มนุษย์เราถูกฝึกให้มองสิ่งต่างๆ และเหตุการณ์ต่างๆ แบบแยกส่วนและเป็นเส้นตรง   ไม่มองว่าสิ่งและเรื่องต่างๆ เชื่อมโยงสัมพันธ์กันเป็นระบบ    และความสัมพันธ์นั้นมีการเคลื่อนตัวเป็นวงจร (loop)  หรือเป็นเกลียว (spiral)   ที่ในสภาพที่ถูกต้องจะเป็นเกลียวยกระดับไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด 

สภาพ “ปลอม” หรือ “ลวงใจ” เช่นนี้แทรกซึมเข้าไปในตัวเราจนกลายเป็นกระบวนทัศน์   เป็นกระบวนทัศน์ของมนุษย์ที่มืดบอดต่อความเป็นจริงของชีวิต   และที่ผมกำลังจี้จุดคือความมืดบอดของระบบการศึกษาไทย   ที่เมื่อผมเข้าไปอ่านรายงานผลงานวิจัยทางการศึกษาของไทย    ก็เกิดความเข้าใจว่าทำไมคุณภาพการศึกษาไทยในช่วงเกือบสี่สิบปีจึงสาละวันเตี้ยลงเรื่อยๆ   

ชวนให้ผมตั้งปณิธานว่า จะหาทางนำเอาปัญญาเชิงระบบเข้าสู่วงการศึกษาไทย   เน้นที่การเชื่อมโยงความรู้เชิงทฤษฎีที่ครอบงำวงการศึกษาไทยอยู่ เข้ากับปัญญาปฏิบัติ   ที่เป็นปัญญาเชิงระบบโดยธรรมชาติ   

หากมีการเชื่อมโยงได้จริง คนในวงการศึกษาไทยจำนวนหนึ่งจะเกิดความตระหนักด้วยตนเอง   ว่าการเรียนรู้ที่แท้จริงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการพูดหลักการได้ ไม่ใช่การท่องจำวิชาเอามาตอบคำถามในข้อสอบได้   แต่เป็นการนำเอาความรู้นั้นไปใช้ในชีวิตจริงได้   ซึ่งใช้แล้วอาจไม่เกิดผลตามที่คาด ต้องมีการปรับความเข้าใจความรู้นั้น แล้วนำไปลองใช้ใหม่   จนในที่สุดใช้การได้ คือให้ผลสำเร็จในกิจการนั้น   ก็แสดงว่าเราเรียนรู้เรื่องนั้นอย่างแท้จริง   ที่เมื่อเราสะท้อนคิดออกมาเป็นหลักการหรือทฤษฎีของเราเอง    อาจไม่ตรงกับความรู้ดั้งเดิมที่เราจำมา    และอาจต้องอธิบายยาว เพราะมันเชื่อมโยงกับบริบทที่จำเพาะของชีวิตจริงชุดนั้น  คือต้องใช้ความรู้ที่เชื่อมโยงกับบริบทที่จำเพาะ จึงจะได้ผล   ซึ่งก็คือต้องใช้ปัญญาเชิงระบบนั่นเอง   

เราถูกระบบสังคม และระบบการศึกษา แบบแยกส่วน   และกำหนดโดยคนอื่นที่มีอำนาจเหนือจนเคยชิน    ทำให้ไม่เคยคิดเอง    ไม่เคยสะท้อนคิดจากการกระทำ หรือการปฏิบัติของตนเอง    จึงไม่ได้รับการฝึกฝนยกระดับ “ปัญญาเชิงระบบ” (systems intelligence) จากการดำรงชีวิต การปฏิบัติงาน การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน    โดยการใคร่ครวญสะท้อนคิดความรู้สึกที่ได้จาก การรับสิ่งเร้า  ที่มีทั้งหมด ๗ ช่องทางคือ ตา  หู จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ และการเคลื่อนไหวร่างกาย    เอามาตกผลึกเป็นหลักการหรือทฤษฎีเชิงนามธรรม (abstract conceptualization) ของเราเอง   ที่อาจตกผลึกได้ถูกต้องก็ได้ หรืออาจผิดก็ได้    ต้องเอาไปทดลองใช้ หากใช้การได้ ก็เป็นหลักฐานว่าเราเข้าใจถูกต้อง   ดังเล่าไว้ที่ (๑)     

ปัญญาเชิงระบบจะเกิดขึ้นได้ ต้องฝึกเรียนรู้จากประสบการณ์    หากจะยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยให้สำเร็จ  ผู้บริหารระบบการศึกษาที่ส่วนกลาง และส่วนพื้นที่  ผู้อำนวยการโรงเรียน  ครู และสถาบันผลิตและพัฒนาครู  ต้องพร้อมใจกัน ออกจาก “พื้นที่ลวงใจ” ในปัจจุบัน   สู่พื้นที่จริงของการปฏิบัติเพื่อหนุนการเรียนรู้ของเด็ก   ที่ครูและโรงเรียนร่วมกันตีความเป้าหมายผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน    แล้วร่วมกันออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่ภาคีหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของโรงเรียนมีส่วนร่วม    และใช้การประเมินหนุนวงจรการเรียนรู้ของนักเรียน    พร้อมๆ กันกับหมุนวงจรการเรียนรู้การเรียนรู้ของครูและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย    เกิดการเรียนรู้ในลักษณะปัญญาเชิงระบบ ว่าการเป็นครูหมายความว่าอย่างไร มีคุณค่าอะไรบ้าง  ครูที่ดีทำอะไร ไม่ทำอะไร ฯลฯ 

ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ได้ใคร่ครวญสะท้อนคิด และตกผลึกหลักการว่า ผู้อำนวยการโรงเรียนผู้นำ pedagogic leader ต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านใดบ้าง   ต้องทำ และไม่ทำ อะไรบ้าง   ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนของโรงเรียนจึงจะสูง    ที่เรียกว่าโรงเรียนคุณภาพสูงหมายความว่านักเรียนได้พัฒนาตนเองในด้านใดบ้าง    วัดได้อย่างไร ฯลฯ   

พ่อแม่ผู้ปกครองนักเรียนก็ได้ใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) ว่า การเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองที่ดีของเด็กสมัยนี้ คืออย่างไร   ต้องทำและไม่ทำอะไรบ้าง   จึงจะสนับสนุนให้ลูกหลานของตนพัฒนาครบด้าน และประสบความสำเร็จในชีวิตในอนาคต    

ผู้นำชุมชน และผู้ใหญ่ในละแวกบ้านที่โรงเรียนตั้งอยู่ ก็ได้ใคร่ครวญสะท้อนคิด ว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา (part of the solution)   หรือเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา (part of the problem)   ต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในชุมชน    หากตนขายยาเสพติด หรือเป็นแหล่งการพนัน   ที่มีส่วนทำให้เด็กวัยรุ่นเสียคน    ตนก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา    และรู้สึกรับผิดชอบที่จะต้องยุติพฤติกรรมนั้น

เราสามารถชักชวนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระดับส่วนกลางที่กรุงเทพ เข้าร่วมใคร่ครวญสะท้อนคิดอย่างยิ่งยวด   เพื่อนำสู่การเปลี่ยนพฤติกรรม ที่ขัดขวางการคิดและทำงานแนวใช้และสร้างปัญญาเชิงระบบ   ซึ่งก็คือการควบคุมสั่งการในรายละเอียดของการปฏิบัติ   ทำให้ขาดความคล่องตัวในการปรับวิธีการที่หน้างาน    และช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงที่ส่วนกลางของประเทศเกิดความรู้ความเข้าใจปัญญาเชิงระบบ ที่มาจากปัญญาปฏิบัติ หรือ experiential learning    ระบบบริหารที่ปิดกั้น experiential learning เป็นระบบที่ปิดกั้นการพัฒนาปัญญาที่มีหน่ออ่อนอยู่ในความเป็นมนุษย์              

งานวิจัยการศึกษาไทย ต้องเปลี่ยนจากการมุ่งสร้างความรู้ที่ยืนยันหลักการหรือทฤษฎีต่างประเทศ    หรือยืนยันหลักการที่กำหนดโดยหน่วยเหนือ   เปลี่ยนไปสร้างความรู้ความเข้าใจและวิธีการปฏิบัติที่หน้างาน   ที่นำสู่การยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้แบบครบด้าน (holistic development) ของนักเรียน   คือการสร้างและนำเสนอทฤษฎีจากการปฏิบัติโดยตรงของทีมวิจัย    เป็นการสร้างความรู้ปฐมภูมิ    แทนที่จะเน้นการสร้างความรู้ทุติยภูมิจากการปฏิบัติของผู้อื่น    โดยนักวิจัยรวบรวมมาจากแบบสอบถาม  หรือดดยการสัมภาษณ์หรือการประชุมกลุ่ม   

หากผู้รู้ด้านการศึกษาอ่านหนังสือเล่มนี้   น่าจะสะท้อนคิดสู่การปฏิรูปการศึกษาได้ลึกซึ้ง และสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของระบบการศึกษาไทยยิ่งกว่าข้อเขียนชิ้นนี้หลายเท่า   

วิจารณ์ พานิช

๓๐ ธ.ค. ๖๗

 

สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย