บันทึกนี้เป็นข้อสะท้อนคิดประเด็นสำคัญ ที่ผมเรียนรู้จากการประชุมแพทยศาสตรศึกษาแห่งชาติจัดครั้งที่ ๑๐ จัดระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ที่โรงแรมแชงกรี-ลา เชียงใหม่ ในหัวข้อ Reshaping Medical Education Towards Well-being for All ที่ผมเข้าร่วม ๒ วันแรก และเป็นการสะท้อนคิดในเช้าวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๗ หลังการประชุม ๑ เดือนเศษ โดยใช้หลักฐาน ๔ ส่วน คือ (๑) จากความจำของตนเอง (๒) จากที่จดไว้ใน iPad (๓) จากรูปที่ถ่ายไว้จากจอของการประชุม (๔) จากเอกสารการประชุม
ผมขอคัดลอกเอกสารอุดมการณ์ของ พศศ. ๑๐ ดังข้างล่าง
สรุปความเป็นมาในการประชุมแพทยศาสตรศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 10
การแปลงโฉมการศึกษาแพทย์ไทยเพื่อความอยู่ดีมีสุขของทุกคนในสังคม
Reshaping Medical Education Towards Well-Being for All
ความเป็นมา เป็นที่ตระหนักกันดีว่าในทศวรรษที่ผ่านมา ระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยมีการพัฒนาไปในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง มีการขยายบริการด้านสุขภาพออกไปทุกระดับ การเข้าถึงบริการของประชาชนดีขึ้น ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการลดลง ดัชนีชี้วัดด้านสุขภาพโดยรวมก็ดีขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายประเด็นความท้าทายที่เป็นโอกาสพัฒนา หลายประเด็นยังต้องเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะในทุกวันนี้ที่โลกเปลี่ยนเร็วมาก จากเดิมที่เคยพูดกันเรื่อง VUCA WORLD อันมีความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน คลุมเครือ และตอนนี้เปลี่ยนเป็น BANI WORLD ที่มีความเปราะบาง มีความสับสนกังวลจากข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ คาดเดาได้ยากเพราะไม่รู้เหตุและผลที่ชัดเจน ทั้งหลายเรื่องมีความซับซ้อน จึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้ยืดหยุ่น ปรับตัว และรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ในหลายลักษณะ รวมถึงในกระบวนการผลิตแพทย์ ซึ่งมีความจําเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนากําลังคนด้านสุขภาพ เพื่อทำให้มั่นใจว่าจะตอบสนองกับความต้องการของคนในสังคมได้อย่างเพียงพอ และส่งเสริมการมีสุขภาวะที่ดีต่อทั้งผู้ให้และผู้รับบริการด้านสุขภาพ องค์การสหประชาชาติได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ไว้ เป็นชุดเป้าหมายการพัฒนาระดับโลกที่ต้องช่วยกันลงมือกระทำเพื่อบรรลุให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2030 ทั้งหมด 17 เรื่อง โดยแนวคิด “การสร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดี และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัย” (Good health and Well-being) ถูกกำหนดให้เป็นเป้าหมายที่ 3 ซึ่งคำว่า “Well-being” มีคำนิยามเป็นสากลที่มีความหมายเชิงบวกของการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม มิใช่เพียงการวินิจฉัยโรคและการดูแลรักษาโดยแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ แต่คือ “ความเป็นอยู่ที่ดี” สอดคล้องกับความพยายามในการปฏิรูประบบสุขภาพของไทย ที่ใช้คำว่า “สุขภาวะ” แทนคำว่า “สุขภาพดี” ซึ่งมีส่วนช่วยให้สังคมเข้าใจสุขภาพในความหมายกว้างขึ้น เชื่อมโยงสุขภาพกาย จิตใจ สังคม และปัญญา โดยไม่จำกัดเฉพาะเรื่องสุขภาพทางกายหรือการไม่เจ็บป่วยเท่านั้น การคำนึงถึง “สุขภาวะ” ครบทั้ง 4 มิติ เป็นแนวคิดที่จะช่วยแก้ปัญหาระบบสุขภาพได้อย่างลึกซึ้ง มีประสิทธิภาพ และเกิดความยั่งยืน แต่ในความเป็นจริงแนวคิดดังกล่าวยังเป็นแนวคิดใหม่ในสังคมไทย รวมถึงสังคมการศึกษาแพทย์ (medical education) และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีความคุ้นชินกับสุขภาวะทางกาย (Physical well-being) และสุขภาวะทางใจ (Mental well-being) ตลอดมา ดังนั้น เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ทุกภาคส่วนในสังคมจำเป็นต้องทำความเข้าใจ “สุขภาวะ” ครบทั้ง 4 มิติ โดยที่ สุขภาวะทางสังคม (Social well-being) หมายถึงการมีสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบข้าง มีครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมมีความยุติธรรม มีความเสมอภาค เข้าถึงสวัสดิการ ระบบบริการสาธารณะที่ดี และ สุขภาวะทางปัญญา (Intellectual well-being) หมายถึงการมีทักษะชีวิต มีโลกทัศน์ (ความคิดของผู้ใดผู้หนึ่งเกี่ยวกับโลกและสังคมของประชากร) ที่ถูกต้อง มีการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต ซึ่งนักวิชาการบางท่านเสนอให้รวมความถึง “สุขภาวะทางจิตวิญญาณ” (Spiritual well-being) ด้วย เช่น การรู้ผิดชอบชั่วดี การไม่ยึดถือตัวตนอัตตา การเข้าใจและเท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เป็นหนทางนำสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (Consortium of Thai Medical Schools) หรือ กสพท ในฐานะตัวแทนของสถาบันผลิตแพทย์ในประเทศไทย ตระหนักถึงบทบาทและความรับผิดชอบต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสุขภาวะของประชาชน และการพัฒนาระบบบริการสุขภาพตลอดจนระบบสุขภาพของประเทศเสมอมา ที่ผ่านมา กสพท ดำเนินการจัดประชุมแพทยศาสตรศึกษาแห่งชาติ (National Medical Education Forum) หรือ พศช. มา 9 ครั้ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 ซึ่งจัดทุก 7-8 ปี โดยที่แต่ละครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดทิศทางการผลิตบัณฑิตแพทย์จากสถาบันต่าง ๆ ให้ตรงตามความต้องการของประเทศ สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ในการประชุมทุกครั้งจะมี “ประเด็นข้อเสนอแนะ” ที่ได้มาจากการระดมความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ผู้มีส่วนได้เสียอย่างกว้างขวาง นำไปสู่การพัฒนาการจัดการศึกษาแพทยศาสตร์และระบบสุขภาพโดยรวมอย่างต่อเนื่องเสมอมา การประชุมแพทยศาสตรศึกษาแห่งชาติครั้งที่ 10 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25–27 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรมแชงกรี-ลา จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อ การแปลงโฉมการศึกษาแพทย์ไทยเพื่อความอยู่ดีมีสุขของทุกคนในสังคม (Reshaping Medical Education Towards Well-Being for All) ทั้งนี้คำนึงถึงแพทยศาสตรศึกษาหรือการศึกษาแพทย์ในทุกระดับตามวงจรชีวิต ตั้งแต่เริ่มเป็นนิสิตนักศึกษาแพทย์จนจบไปปฏิบัติงาน ต่อเนื่องถึงการศึกษาต่อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของแพทย์ ในประเด็น “สุขภาวะ” (Well-Being) ก็คำนึงครบทั้ง 4 มิติ ส่วนประเด็น “ทุกคนในสังคม” (All) นั้นก็รวมความถึงผู้ป่วยและญาติ แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชน และสังคม ตลอดจนให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านความไว้วางใจในระบบสุขภาพไทย (trust) การเขาถึงบริการสุขภาพ (health care accessibility) ความเท่าเทียม (equity) และการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชนให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตนเองได้ด้วย ขั้นตอนก่อนการประชุม พศช. ครั้งที่ 10 นั้น ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการวิชาการขึ้น 5 ชุด เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้อง คือ (1) ความต่อเนื่องของการศึกษาแพทยศาสตร์ (2) แนวทางการพัฒนาหลักสูตร (3) ความเป็นวิชาชีพแพทย์ และระบบบนิเวศทางการศึกษา (4) การสอบเพื่อรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และ (5) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร หลังจากนั้น คณะกรรมการเลขานุการกิจได้รวบรวมข้อมูลจากผลการศึกษาและความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง เพื่อเรียบเรียงขึ้นเป็น (ร่าง) ข้อเสนอแนะสำหรับการประชุม โดยนำไปทำประชาพิจารณ์ผ่านทางระบบออนไลน์ และในสถาบันผลิตแพทย์ทุกภูมิภาคทั่วประเทศรวม 6 ครั้ง ระหว่างวันที่ 5 มิถุนายน ถึง 5 กรกฎาคม 2567 เพื่อเป็นการระดมสมอง รวบรวมความคิดเห็นทั้งข้อเสนอแนะและแนวทางปฏิบัติจากผู้เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางแพทยศาสตรศึกษาอย่างรอบด้าน อาทิ นิสิตนักศึกษาแพทย์ อาจารย์ ผู้บริหาร บุคลากรสายสนับสนุน ประชาชนโดยรอบ รวมถึงการสอบถามข้อคิดเห็นจากคณะกรรมการอำนวยการจัดการประชุมแพทยศาสตรศึกษาแห่งชาติครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2567 อันนำไปสู่การประมวลข้อคิดเห็น และได้นำไปปรับปรุงข้อเสนอแนะฯ ให้มีความชัดเจนและครอบคลุมขึ้น ดังนั้น ข้อเสนอแนะเพื่อ “การแปลงโฉมการศึกษาแพทย์ไทยเพื่อความอยู่ดีมีสุขของทุกคนในสังคม (Reshaping Medical Education Towards Well-Being for All)” จึงเป็นการร่วมมือร่วมใจกันของบุคลากรในวงการแพทยศาสตรศึกษาและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้เกิด “ความเป็นอยู่ที่ดี” ของทุกฝ่ายในระบบสุขภาพไทยอย่างแท้จริงในอนาคต “อยากให้สิ่งที่ดีงามเกิดขึ้นบ้าง ... และส่วนหนึ่งขอให้เราได้กระทำ” |
ตามด้วยข้อเสนอแนะ ๖ ข้อ ดังนี้
ข้อเสนอแนะสำหรับการประชุมแพทยศาสตรศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 10
(ร่าง - ฉบับ 5 พฤศจิกายน 2567)
การแปลงโฉมการศึกษาแพทย์ไทยเพื่อความอยู่ดีมีสุขของทุกคนในสังคม
Reshaping Medical Education Towards Well-Being for All
(1) | เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพและทั่วถึง รัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพึงกำหนดมาตรการเพื่อดำเนินการให้แพทย์คงอยู่ในระบบบริการภาครัฐได้ในระยะยาว และมีสัดส่วนของแพทย์ต่อประชากรอย่างเหมาะสม |
(2) | เพื่อให้ประชาชนในสังคมมีสุขภาวะที่ดี ตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลตนเอง ทั้งมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในระบบบริการสุขภาพ รัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพึงสื่อสารและส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วนตระหนักถึงปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อสุขภาพ มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ และสามารถเข้าถึงระบบบริการได้อย่างสะดวก เท่าเทียม ปลอดภัย ทันท่วงที |
(3) | เพื่อให้การพัฒนาระบบบริการสุขภาพในพื้นที่มีความต่อเนื่องและยั่งยืน รัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพึงกำหนดมาตรการส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์ สามารถกำหนดความสมดุลอย่างเหมาะสมของงานกับชีวิตส่วนตัว และมีโอกาสในการพัฒนาทางวิชาชีพได้อย่างเหมาะสม |
(4) | เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการบริบาลที่เอื้อต่อการส่งเสริมสุขภาวะ การจัดการศึกษาแพทยศาสตร์รวมถึงการประเมินผลพึงมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ เพื่อให้บัณฑิตมีสมรรถนะในการบริบาลผู้ป่วยแบบองค์รวมในทุกมิติ มีความเป็นวิชาชีพ ทั้งการพัฒนาแพทย์ควรดำเนินการให้มีความสอดคล้องและต่อเนื่องในโครงการเพิ่มพูนทักษะและแพทย์ใช้ทุน |
(5) | เพื่อพัฒนาการบริบาลให้ตอบรับกับความก้าวหน้าทางวิทยาการ ความต้องการของสังคมและประชาคมโลก การจัดการศึกษาแพทยศาสตร์พึงมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีศักยภาพในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีทักษะทางสุขภาพดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยีร่วมบริบาลผู้ป่วย เข้าใจในระบบบริการสุขภาพพหุวัฒนธรรมและสุขภาพโลก สามารถปรับตัวและปฏิบัติงานร่วมกับสหวิชาชีพได้อย่างสมบูรณ์ |
(6) | เพื่อสร้างให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะของการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตและมีสุขภาวะที่ดี การจัดการศึกษาแพทยศาสตร์พึงส่งเสริมการจัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงความต้องการและเป้าหมายส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับความสามารถของผู้เรียน การสร้างแรงจูงใจ การมีส่วนร่วม ทั้งพัฒนาครูผู้สอน กิจกรรม และระบบนิเวศการเรียนรู้ ที่เอื้อให้ผู้เรียนได้ซึมซับประสบการณ์การเรียนรู้และกระตุ้นการสะท้อนคิด |
ข้อเสนอแนะที่ 1 เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพและทั่วถึง รัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพึงกำหนดมาตรการเพื่อดำเนินการให้แพทย์คงอยู่ในระบบบริการภาครัฐได้ในระยะยาว และมีสัดส่วนของแพทย์ต่อประชากรอย่างเหมาะสม
คำอธิบาย
|
ข้อเสนอแนะที่ 2 เพื่อให้ประชาชนในสังคมมีสุขภาวะที่ดี ตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลตนเอง ทั้งมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในระบบบริการสุขภาพ รัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพึงสื่อสารและส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วนตระหนักถึงปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อสุขภาพ มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ และสามารถเข้าถึงระบบบริการได้อย่างสะดวก เท่าเทียม ปลอดภัย ทันท่วงที
คำอธิบาย
|
ข้อเสนอแนะที่ 3 เพื่อให้การพัฒนาระบบบริการสุขภาพในพื้นที่มีความต่อเนื่องและยั่งยืน รัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพึงกำหนดมาตรการส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์ สามารถกำหนดความสมดุลอย่างเหมาะสมของงานกับชีวิตส่วนตัว และมีโอกาสในการพัฒนาทางวิชาชีพได้อย่างเหมาะสม
คำอธิบาย
|
ข้อเสนอแนะที่ 4 เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการบริบาลที่เอื้อต่อการส่งเสริมสุขภาวะ การจัดการศึกษาแพทยศาสตร์รวมถึงการประเมินผลพึงมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ เพื่อให้บัณฑิตมีสมรรถนะในการบริบาลผู้ป่วยแบบองค์รวมในทุกมิติ มีความเป็นวิชาชีพ ทั้งการพัฒนาแพทย์ควรดำเนินการให้มีความสอดคล้องและต่อเนื่องในโครงการเพิ่มพูนทักษะและแพทย์ใช้ทุน
คำอธิบาย
|
ข้อเสนอแนะที่ 5 เพื่อพัฒนาการบริบาลให้ตอบรับกับความก้าวหน้าทางวิทยาการ ความต้องการของสังคมและประชาคมโลก การจัดการศึกษาแพทยศาสตร์พึงมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีศักยภาพในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีทักษะทางสุขภาพดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยีร่วมบริบาลผู้ป่วย เข้าใจในระบบบริการสุขภาพพหุวัฒนธรรมและสุขภาพโลก สามารถปรับตัวและปฏิบัติงานร่วมกับสหวิชาชีพได้อย่างสมบูรณ์
คำอธิบาย
|
ข้อเสนอแนะที่ 6 เพื่อสร้างให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะของการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตและมีสุขภาวะที่ดี การจัดการศึกษาแพทยศาสตร์พึงส่งเสริมการจัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงความต้องการและเป้าหมายส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับความสามารถของผู้เรียน การสร้างแรงจูงใจ การมีส่วนร่วม ทั้งพัฒนาครูผู้สอน กิจกรรม และระบบนิเวศการเรียนรู้ ที่เอื้อให้ผู้เรียนได้ซึมซับประสบการณ์การเรียนรู้และกระตุ้นการสะท้อนคิด
คำอธิบาย
|
จากเอกสาร และจากการเสนอในที่ประชุมตามเอกสาร รวมทั้งจากการนั่งฟังการประชุมอย่างตั้งใจ ผมได้ข้อสะท้อนคิดดังต่อไปนี้
ภาวะผู้นำ (leadership)
เป็นเรื่องที่อภิปรายกันมากในบ่ายวันที่ ๒๕ ที่ผมตีความว่า การประชุมนี้เปิดโอกาสให้คนในวงการแพทยศาสตรศึกษาได้ทำหน้าที่ผู้นำการเปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่นักศึกษาแพทย์ อาจารย์รุ่นใหม่ อาจารย์อาวุโส และอาจารย์ที่เกษียณอายุแต่ยังมีบทบาทในวงการวิชาชีพสุขภาพ
การประชุมนี้ เปิดโอกาสให้เกิดสภาพ “ภาวะผู้นำแบบกระจายอำนาจ” มีบรรยากาศที่เปิดกว้างต่อความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย จากทั้งคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นเก่า ไม่มีบรรยากาศของความครอบงำโดยผู้อาวุโส ผมขอแสดงความชื่นชมทีมผู้จัดการประชุม ที่สร้างบรรยากาศนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เรียนรู้จากการปฏิบัติ (experiential learning) เชื่อมโยงกับหลักการหรือทฤษฎี
ผมตั้งข้อสังเกตจากการนั่งฟังอย่างตั้งใจว่า ทั้งทีมงานเตรียมการประชุม และผู้มาเข้าร่วมแสดงข้อคิดเห็น เอาความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ มา share & learn กันอย่างรับฟังซึ่งกันและกัน
จิตสาธารณะ
ผมตีความว่า คนที่มาในที่ประชุม สวมวิญญาณ “เพื่อประชาชน” เป็นหลัก ผมเกิดข้อสงสัยว่า แพทย์ที่มีจิตวิญญาณเช่นนี้ เป็นส่วนใหญ่ของวิชาชีพแพทย์ไทยหรือไม่ ผมขอให้เป็น
คิดเชิงระบบ
การเตรียมการประชุม มีการคิดเชิงระบบ การอภิปรายในที่ประชุมก็มีกลิ่นไอของการคิดเชิงระบบ อย่างสมดุล มองที่ well-being for all คือมองที่ผู้ปฏิบัติงานในระบบสุขภาพด้วย
วิจารณ์ พานิช
๓๐ ธ.ค. ๖๗
ไม่มีความเห็น