วันเวลาเดินเร็วมากครับ ผมและทีมงานเพิ่งจัดโครงการ “Talk about love” สดๆ ร้อนๆ ไปเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2567 ณ ตึกวิทยาลัยการเมืองการปกครอง ที่ว่าเวลาเดินเร็วมาก เพราะอีกไม่กี่วันก็สิ้นสุดปีการศึกษาและสิ้นสุดวาระการทำงานในชมรมรักษ์ปรัชญา
ย้อนกลับไปช่วงกลางปี 2566 ผมพร้อมด้วยพี่ๆ เพื่อนๆ จากวิทยาลัยการเมืองการปกครองและจากคณะนิติศาสตร์ในราว 10 คน ได้ร่วมกันตั้งชมรม “รักษ์ปรัชญา” ขึ้นมา เพื่อเป็นพื้นที่ให้นิสิตได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะแนวคิดอันเป็นปรัชญาการใช้ชีวิตของแต่ละคน รวมถึงการแลกเปลี่ยนทัศนคติเรื่องประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง ศาสนา รวมไปถึงสังคมและวัฒนธรรม
แต่เอาเข้าจริงๆ การขับเคลื่อนชมรมมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไม่ใช่การไม่เข้าใจระบบการทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยเสียทั้งหมดหรอกนะครับ แต่ยอมรับว่าเป็นข้อจำกัดภายในองค์กรตัวเอง ทั้งเรื่องผู้นำที่แท้จริง ทั้งจำนวนสมาชิก ทั้งคนที่ใส่ใจร่วมหัวจนท้าย ทั้งประสบการณ์ของการออกแบบกิจกรรม หรือแม้แต่การมัวแต่วิ่งช่วยงานคนอื่น จนละทิ้งกิจกรรมของตัวเอง มารู้สึกอีกครั้งก็แทบสิ้นหวัง รู้สึกผิดถึงขั้นคิดจะ “ยุบชมรม”
จนในที่สุดผมทนแบกรับความรู้สึกที่ว่าไม่ได้ -
ผมรวบรวมความกล้าแล้วเข้าไปพบเจ้าหน้าที่กองกิจการนิสิต (พี่พนัส ปรีวาสนา) ไปพบเพื่อหารือแนวทางที่จะยุบชมรม ไปทั้งที่รู้ว่าผมเคยเข้าไปปรึกษางานมาแล้วสองรอบ พอไปปรึกษาแล้วผมก็เงียบหายไปเฉยๆ ซึ่งผ่านมาผมรู้ว่าพี่แกติดตามผมและชมรมมาเป็นระยะๆ บ่อยครั้งที่พี่แกฝากประเด็นมากับพี่ๆ เพื่อนๆ ของชมรมต่างๆ แต่ผมก็ไม่ได้ขยับอะไรสักอย่าง ถึงชั้นว่าชมรมของผมเป็นชมรมสุดท้ายในระบบที่พี่แกดูแลที่ยังไม่ขออนุมัติจัดกิจกรรมใดๆ
การไปพบครั้งนั้นเป็นการไปพบครั้งที่สาม และผมก็แจ้งพี่พนัสแบบไม่อายว่า “อยากยุบชมรม พอยุบแล้วมีแนวทางที่จะัจดตั้งขึ้นใหม่ในปีหน้า หรือไม่”
แทนที่จะได้รับคำตอบในสิ่งที่ผมแจ้งไป กลับเป็นว่า ผมต้องมานั่งตอบคำถามพี่แกหลายเรื่อง เช่น
- ทำไมถึงต้องยุบ
- ติดขัดอะไร
- ไม่เสียดายความฝันของตัวเองและผองเพื่อนเลยเหรอ
สารภาพตามตรงว่า ผมตอบความจริงกับพี่พนัสทุกเรื่อง ส่วนใหญ่สะท้อนเรื่องปัญหาของตัวเองและทีมงานเป็นหลัก แต่ก็กัดฟันยืนยันกับแกว่า “ยังอยากทำชมรมต่อไป” เพราะมันเป็นความฝันของผม ผมรักปรัชญาจริงๆ และยังอยากที่จะค้นหาคนที่รักปรัชญาเหมือนกับผม – ผมอยากสร้างพื้นที่ให้นิสิตได้มานั่งพูดคุยเรื่องราวชีวิตอย่างสร้างสรรค์ร่วมกัน
ถัดจากนั้นพี่พนัส ได้เริ่มอธิบายกฎระเบียบต่างๆ ให้ผมฟัง มีทั้งอธิบาย มีทั้งชวนคิด ชวนตอบคำถามคลุกเคล้ากันไป หลายประเด็นพี่แกลากเรื่องเข้าวิชาชีพที่ผมเรียนก็บ่อย มันเหมือน “ผมโดนตบ โดนหยิก โดนหยอก” แบบเนียนๆ แต่ทั้งปวงนั้นผมสัมผัสได้ว่าพี่แกพยายามกระตุ้นให้ผมกล้าคิด กล้าฟัง และกล้าสนทนากับแก
และในที่สุดพี่แกก็เสนอทางออกด้วยการบอกกับผมว่า “ถ้ายังอยากทำงานต่อก็ไม่ต้องยุบชมรม” แต่ให้ผมกลับไปทบทวนตัวเองจริงจังว่า “จะไปต่อจริงไหม - ถ้าไปต่ออยากทำอะไรบ้าง” พร้อมทั้งเสนอรูปแบบกิจกรรมต่างๆ ให้ผมเก็บเอาไปพิจารณาด้วย
ผมสัมผัสได้ว่าการพูดคุยกันในวันนั้นคือ “โอกาส” ที่ผมได้รับมา - เป็นโอกาสที่ผมยังจะได้ทำตามความฝันของตนเองและเพื่อนๆ ผมรู้ดีว่าผมไม่มีสถานะที่เป็นแกนนำตามข้อบังคับที่พี่พนัสอธิบาย แต่พี่แกก็บอกชัดเจนว่าให้มองข้ามกฎกติกานั้น และให้กล้าที่จะตัดสินใจ เป็นการกล้าตัดสินใจร่วมกับเพื่อนๆ และพี่ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งผมก็ตัดสินใจว่าจะทำกิจกรรมในนามชมรมรักษ์ปรัชญาต่อไป โดยจะเก็บเรื่องความคิดที่อยากจะยุบชมรมไว้เป็นความลับ จากนั้นก็่ไปหารือกับอาจารย์ที่ปรึกษาและผองเพื่อนถึงแนวทางการจัดทำโครงการฯ พร้อมๆ กับการ็เริ่มขีดเขียนโครงการขึ้นมาแล้วส่งให้พี่พนัสช่วยขัดเกลา จนคลอดออกมาเป็นโครงการ “Talk about love” ได้ในที่สุด
จะว่าไปแล้ว ก่อนการคิดเขียนโครงการที่ว่านั้น ผมพยายามทำตามที่พี่พนัสแนะนำหลายประเด็น เช่น ทบทวนความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ทบทวนเพื่อนร่วมอุดมการณ์ และการกล้าที่จะยกเครื่องทีมทำงานใหม่ ซึ่งผมก็ได้เริ่มจากจุดนั้นจริงๆ มันเป็นการทำงานภายใต้เสียงในหัวใจของผมและเพื่อนๆ ก็ว่าได้ เป็นการทำงานที่ไม่ได้ยึดติดกับกฎระเบียบที่ว่าด้วยกรรมการและสมาชิกที่ส่งชื่อไว้กับมหาวิทยาลัย และนั่นก็ทำให้ผมเข้าใจคำว่า “อิงระบบ” มากยิ่งขึ้น
เป็นธรรมดานะครับ ทำอะไรย่อมมีปัญหาเสมอ -
แรกๆ ผมเสนอโครงการต่อสภานิสิตก็ชะงักอยู่นานพอสมควร จนพี่พนัสเริ่มตามงานอีกรอบ และกำชับให้ผมไปเอาโครงการที่ว่านั้นมาจากสภานิสิต เพื่อเสนอต่อมหาวิทยาลัย โดยพี่แกอธิบายให้รู้ว่า กรณีเช่นนี้ “ตัดระบบขึ้นตรงกับกลุ่มงานกิจกรรมนิสิตได้เลย”
ประเด็นนี้ ช่วยให้ผมเข้าใจกฎกติกาในอีกมุมเพิ่มขึ้นอีก ช่วยให้ผมเริ่มมั่นใจว่าจะได้จัดกิจกรรมแล้วจริงๆ ช่วยให้ผมมั่นใจว่าชมรมจะไม่ถูกยุบอย่างแน่นอน
ผมยอมรับว่า การทำโครงการนั้นมีความยากลำบากหลายเรื่อง เพราะผมและทีมงานไม่มีประสบการณ์ แต่พวกเราก็ร่วมมือกันทุกอย่าง หรือเรียกกันว่าทำงานด้วยความสามัคคี ทำงานอย่างเป็นเอกภาพ และกล้าที่จะเข้ามาติดต่องานในระบบด้วยตนเอง มิใช่หลบๆ หลีกๆ เอาแต่ขลาดกลัวไม่กล้าเผชิญความจริง ซึ่งถัดมาผมก็เริ่มเชิญเพื่อนอีกคนมาติดต่องานร่วมกัน เป็นการชวนมาตามคำแนะนำของพี่พนัส เพราะพี่แกย้ำว่า การทำงานต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ เข้ามาร่วมเรียนรู้ด้วย
สำหรับโครงการ “Talk about love” ผมและเพื่อนๆ ได้ทำตามความฝันของตัวเอง เราชวนนิสิตมาพบปะพูดคุยกันในเรื่อง “ความรัก” โดยไม่จำกัดประเด็น ใครอยากพูดถึงความรักในมิติใดก็พูดได้อย่างอิสระ ใช้กระบวนการหลักๆ มาหนุนเสริม เช่น สุนทรียสนทนา เรื่องเล่าเร้าพลัง เรื่องเล่าจากภาพวาด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ผมและเพื่อนๆ เตรียมการไว้แล้ว
กระบวนการที่ว่านั้น ส่วนหนึ่งก็ตรงกับแนวคิดที่พี่พนัสแนะนำ เพียงแต่พวกผมไม่รู้ว่ากระบวนการที่ออกแบบนั้นมีชื่อเรียกทางวิชาการว่าอย่างไรเท่านั้นเอง ที่ตรงกันหลักๆ เลยก็คือ การจัดกิจกรรมในลักษณะเชิงปฏิบัติการ โดยใช้ศิลปะเข้ามากล่อมเกลา เชื่อมั่นในพลังของเรื่องเล่าและประสบการณ์ของแต่ละคน รวมถึงการประเมินผลก่อนการเรียนรู้ ประเมินผลระหว่างจัดกิจกรรม และประเมินผลหลังการเรียนรู้
ครับ - ถึงแม้จะเริ่มต้นด้วยปัญหาและกิจกรรมก็ผ่านไปได้ด้วยดี ผ่านไปด้วยความมุ่งมั่นของผมและทีมงาน ที่สำคัญคือสำเร็จได้ด้วยมวลนิสิตในเวทีที่เปิดใจที่จะเรียนรู้ร่วมกัน
โดยส่วนตัวของผม – ผมยืนยันว่า ผมได้เรียนรู้อะไรๆ หลายอย่างๆ ได้รู้ว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ เพียงแต่ต้องกล้าเผชิญกับความจริง ได้เรียนรู้ว่าการเปิดใจรับฟังข้อเสนอแนะจากคนอื่น หรือแม้แต่อาจารย์ที่ปรึกษาและเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องที่ดี ได้เรียนรู้ว่าการเป็นผู้นำต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ รับผิดชอบต่อความฝันองสมาชิก มิใช่ละเลย หรือมัวแต่ไปสนใจเรื่องอื่นๆ จนลืมความฝันตัวเอง หรือลืมภารกิจขององค์กรตัวเอง
ส่วนเรื่องทักษะชีวิต อันเป็น Soft skills นั้น ตลอดเส้นทางตั้งแต่ตั้งชมรมมาจนสิ้นสุดการดำเนินงานโครงการฯ ผมได้เรียนรู้ทักษะหลายทักษะ ไม่ว่าจะเป็น การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การยืดหยุ่นตามสถานการณ์จริง การสื่อสารพลังบวก การกล้าคิดเชิงสร้างสรรค์และแสดงความคิดอย่างสร้างสรรค์ การฟัง การจับประเด็นโดยไม่ด่วนตัดสินใจว่าคนอื่นผิดหรือถูก ได้เรียนรู้วิธีการเข้าหาผู้อื่น ได้เรียนรู้หลักการและวิธีการของการเป็นวิทยากรไปในตัว
ท้ายที่สุดนี้ผมอยากจะบอกว่า ผมมีความสุขมาก - ผมโล่งใจมากที่ได้ทำตามความฝันของตนเอง ได้ทำตามความฝันของเพื่อนๆ ผู้ร่วมก่อตั้งชมรม ผมดีใจที่ได้ทำให้นิสิตได้รู้ว่าในมหาวิทยาลัยยังมีกลุ่มคนที่พร้อมจะรับรู้-รับฟังเรื่องราวของทุกคนร่วมกัน
และสำคัญมากๆ ก็คือ ผมดีใจที่ “ชมรมจะไม่ถูกยุบ” แล้วนั่นเอง
หมายเหตุ
1.เรื่องเล่านี้เกิดจากการถอดบทเรียนแกนนำผู้ขับเคลื่อนโครงการ ผ่านการสัมภาษณ์ เสวนา และข้อเขียนที่นิสิตเขียนบอกเล่ากลับมายังผม
2.คนต้นเรื่อง คือ วชิรวิทย์ บุตรโน ชั้นปีที่ 1 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง
3.ภาพ จากชมรมรักษ์ปรัชญามหาวิทยาลัยมหาสารคาม