บันทึกชุด โรงเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ นี้ ตีความจากการอ่านหนังสือ ๒ เล่ม คือ Lesson Study and Schools as Learning Communities : Asian School Reform in Theory and Practice (2019) edited by Atsushi Tsukui and Masatsuku Murase และ Lesson Study Communities : Increasing Achievement With Diverse Students (2007) by Karin Wiburg and Susan Brown
ตอนที่ ๑๔ นี้ ผมสะท้อนคิดจากการทบทวนสาระใน ๑๓ บทแรกของหนังสือ เชื่อมโยงสู่การประยุกต์ใช้ในบริบทของระบบการศึกษาและสังคมไทย
ต้นฉบับของหนังสือ โรงเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ เล่มนี้ เขียนเสร็จภายในเวลา ๑ เดือน เพื่อเร่งพิมพ์ออกเผยแพร่ให้ทันก่อนสิ้นปี ๒๕๖๖ เพื่อหนุน ขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเอง(TSQM – Teacher and School Quality Movement) หรือที่เราเรียกกันในภาษาที่ไม่เป็นทางการว่า ขบวนการครูและโรงเรียนพัฒนาตนเอง
โดยที่สาระในหนังสือเล่มนี้ มุ่งสื่อสารต่อวงการศึกษาไทยว่า ขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเองที่เรากำลังร่วมกันมุ่งมั่นดำเนินการและขยายผลนั้น ดำเนินไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแนวโน้มโลกด้านการพัฒนาการศึกษา โดยที่หลายส่วน ขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเอง ของไทย ก้าวหน้ากว่าที่ระบุในหนังสือเล่มนี้ อย่างน้อยก็ในบริบทของเราเอง แต่ยังมีหลายส่วนในหนังสือเล่มนี้ที่สมาชิกของ ขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเอง น่าจะได้นำไปใคร่ครวญร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือหนุน ขบวนการโรงเรียนพัฒนาตนเอง เพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระหรือความยุ่งยากของครูลง และเพื่อยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน รวมทั้งเพื่อยกระดับการเรียนรู้เชิงวิชาชีพของครูไทย ให้ได้มากและลึกยิ่งขึ้น
ชื่อหนังสือ โรงเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ สื่อว่า หัวใจของการปฏิรูปการศึกษาไทยอยู่ที่การหนุนให้โรงเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ ที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า SLC – School as Learning Community โดยมีเครื่องมือหลักคือ การศึกษาชั้นเรียน(LS - Lesson Study) ที่บางคนเรียกว่า LSLC – Lesson Study and Learning Community
บทที่ ๑ ของหนังสือเล่มนี้ วางพื้นฐานเชิงหลักการหรืออุดมการณ์เชิงลึกของ SLC และ LS ไว้อย่างละเอียดหลายแง่มุม นำสู่เรื่องราวของการประยุกต์ใช้ในหลากหลายบริบท และหลากหลายแนวทาง ในบทที่ ๒ - ๑๓ สะท้อนให้เห็นว่าการประยุกต์ใช้ SLC และ LS/LSLC นั้น สามารถใส่ความริเริ่มสร้างสรรค์เข้าไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด
จะเห็นว่า แนวทางที่สหรัฐอเมริกานำไปประยุกต์ใช้นั้น มีการลงรายละเอียดและความลึกมากกว่าที่นำมาใช้ในเอเซียตะวันออกและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ไม่ว่าเอาไปใช้ในประเทศใด เป้าหมายตรงกัน คือ ใช้เปลี่ยนขาด (transform) วัฒนธรรมการสอน (teaching culture) ของครู เปลี่ยนขาดวัฒนธรรมการเรียน (learning culture) ของนักเรียน ครูเปลี่ยนขาดวัฒนธรรมการทำงานของตนเอง จากสอนอย่างเดียว ไปเป็นสอนไปเรียนรู้ไป การสอนกับการเรียนรู้ของครูอยู่ในที่เดียวกัน เท่ากับอุดมการณ์และเครื่องมือ SLC และ LS/LSLC นั้น ช่วยให้ครูมีชีวิตที่สร้างสรรค์ยิ่งขึ้น นำสู่สภาพที่ครูร่วมกันเป็นผู้กระทำการเพื่อจรรโลงวิชาชีพครู
ทราบข่าวว่าเป้าหมายหลักอย่างหนึ่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน คือ ต้องการยกระดับศักดิ์ศรีของวิชาชีพครู ซึ่งคำตอบของผมคือ ต้องส่งเสริมให้ครูร่วมกันทำงานที่ก่อผลแท้จริงแก่ชีวิตในระยะยาวของนักเรียน เป็นผลที่อยู่ยั้งยืนยาวและมีผลกระทบสูงต่อชีวิตที่ดี และต่อความเป็นพลเมืองดี พลเมืองที่ไม่นิ่งดูดาย ซึ่งทำได้โดยครูร่วมกันทำตัวเป็นตัวอย่าง โดยมี อุดมการณ์ ปรัชญา และเครื่องมือในหนังสือเล่มนี้ เป็นพลังหนุน
ศักดิ์ศรีของคน ของวิชาชีพ เกิดจากการกระทำ แล้วคนอื่นเป็นผู้มอบการยอมรับจากผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ SLC และ LS/LSLC จะช่วยหนุนให้ครูมีวัตรปฏิบัติโดยมีวิญญาณ “ครูเพื่อศิษย์” เพราะ SLC และ LS/LSLC เน้นให้ครูมีจุดจับจ้อง และสะท้อนคิดเรื่องการเรียนรู้ของศิษย์อยู่ตลอดเวลา สำหรับนำมาพัฒนาความรู้ ทักษะ และวิญญาณความเป็นครูของตน
เป็นการเปลี่ยนใจครู จากความคิดว่าตนเป็น “ผู้รู้” มาเป็น “ผู้เรียนรู้” เรียนรู้บูรณาการอยู่กับการทำงานอย่างต่อเนื่อง และที่ช่วยให้เกิดชีวิตการทำงานครูที่สนุกและทำได้ไม่ยาก ก็เพราะใน SLC ครูร่วมกันดำเนินการเป็นทีม โดยมีระบบงาน ทรัพยากร และทีมพี่เลี้ยงช่วยหนุน
SLC และ LS/LSLC ช่วยให้ชีวิตครูเป็นชีวิตแห่งการเดินทาง เดินทางจากดินแดนที่รู้จัก ไปยังดินแดนที่ยังไม่รู้จัก หรือยังรู้จักไม่ชัด และทำให้กลายเป็นดินแดนที่รู้จักมากขึ้น จนถึงรู้จักดี และบุกสู่ดินแดนที่ไม่รู้จักที่ทั้งกว้างใหญ่และลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทำให้ชีวิตครูเป็นชีวิตที่ท้าทาย และเกิดปิติสุขเบิกบานใจจากการได้ประสบความสำเร็จในชีวิตแห่งวิชาชีพครู เป็นนักวิชาชีพที่ร่วมกันยกระดับสมรรถนะของวิชาชีพ ซึ่งเท่ากับร่วมกันยกระดับศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพไปในตัว
หากมองจากมุมของการเปลี่ยนขาด (transform) ระบบการศึกษา หนังสือเล่มนี้เสนอ “สัมมาทิฏฐิ” (right understanding) ของการเปลี่ยนขาดดังกล่าว ว่าไม่สามารถเกิดได้จากแนวทางการจัดการระบบแบบเดิมๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิเสรีนิยมใหม่ (neo-liberalism) และ (neo-conservativism) ตามที่กล่าวแล้วในตอนก่อนๆ แต่สามารถบริหารให้เกิดได้จากการหนุนให้ครูร่วมกันลุกขึ้นมาเป็นผู้กระทำการเพื่อการเปลี่ยนขาดระบบ เพื่อการเปลี่ยนขาดวัฒนธรรม (cultural transformation) ในระบบการศึกษา จากวัฒนธรรมแนวดิ่ง ไปเป็นวัฒนธรรมแนวราบ ที่ผู้บริหารเน้นกำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์ และหนุน (empower) ผู้ปฏิบัติ (คือครู) ให้ร่วมกันหาวิธีบรรลุเป้านั้น โดยในหลายกรณีเป็นการร่วมกันยกระดับเป้าหมายให้สูงขึ้นไปอีก ตามหลักการ “การเรียนรู้สองเด้ง” (double-loop learning”
การเปลี่ยนขาดระบบการศึกษา มีมิติที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การพัฒนาเป็น “ระบบที่เรียนรู้” (Learning Systems) ที่มีการเรียนรู้เชื่อมโยงและให้ข้อมูลป้อนกลับ (feedback) กันไปมาระหว่างส่วนต่างๆ ของระบบ ข้อความในหนังสือ โรงเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ เล่มนี้ เป็นข้อเสนอกลไกที่ซับซ้อนยิ่งในเรื่องดังกล่าว โดยที่หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยการเรียนรู้จากการปฏิบัติ หรือ การเรียนรู้จากประสบการณ์ ของครู ร่วมกับภาคีที่หลากหลาย
มิติที่ ๓ ของการเปลี่ยนขาดระบบการศึกษาคือ ต้องมี “การวิจัยระบบการศึกษา” (education systems research) ต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบพัฒนาการวิจัยระบบการศึกษา (education research systems) เพื่อให้การบริหารระบบการศึกษามีลักษณะของการกำหนดนโยบายและตัดสินใจเชิงนโยบายโดยใช้ขอมูลหลักฐาน (evidence-based policy-making) ที่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้กล่าวถึง
หนังสือเล่มนี้ ยังกล่าวถึงการเปลี่ยนขาดเชิงวัฒนธรรมการศึกษาอีกมิติหนึ่ง คือ “วัฒนธรรมความร่วมมือ” (collaborative culture) ที่ครูร่วมกันพัฒนาตนเองและวิชาชีพครูด้วย SLC และ LS/LSLC และนักเรียนก็เรียนรู้ในมิติที่ลึกและเชื่อมโยงด้วยการเรียนแบบร่วมกันปฏิบัติแล้วสะท้อนคิด ข้อสะท้อนคิดของเพื่อนช่วยขยายความรู้ความเข้าใจของนักเรียนคนอื่นๆ ช่วยการพัฒนาให้นักเรียนมีสมรรถนะทั้งด้านคิดและด้านฟัง ที่ในหนังสือเรียกว่า “วิธีเรียนรู้โดยการฟัง” (pedagogy of listening)
วัฒนธรรมความร่วมมือระหว่างครู ระหว่างนักเรียนด้วยกัน ระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างโรงเรียนกับภาคีภายนอก หากมีการดำเนินการต่อเนื่องและยกระดับไประยะหนึ่ง (เช่น ๑๐ - ๒๐ ปี) น่าจะมีส่วนขับเคลื่อนสังคมไทยให้กลายเป็นสังคมแห่งความร่วมมือ เกิดวัฒนธรรมความร่วมมือเพื่อการสร้างสรรค์ บนฐานความคิดเชิงบวก (positive mindset) เกิดอานิสงส์คือ สังคมไทยน่าอยู่ มีพลังความสามัคคี เป็นพลังหนุนความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมือง
โปรดสังเกตว่า การศึกษาไม่ใช่แค่ทำหน้าที่สร้างคน แต่มีส่วนร่วมสร้างสังคมไทยทั้งระบบ
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ก.ย. ๖๖
ห้อง ๖๐๖ โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ นครนิวยอร์ก
ไม่มีความเห็น