อลีนจิตตชาดก


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุคลายความเพียรรูปหนึ่ง

อลีนจิตตชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๖. อลีนจิตตชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๑๕๖)

ว่าด้วยพระเจ้าอลีนจิต

             (พระศาสดาทรงนำเรื่องอดีตนี้มาได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า)

             [๑๑] เสนาหมู่ใหญ่อาศัยพระเจ้าอลีนจิต มีใจร่าเริง ได้จับเป็นพระเจ้าโกศลผู้ไม่ทรงอิ่มราชสมบัติของตน ฉันใด

             [๑๒] ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยนิสัย (คำว่า ถึงพร้อมด้วยนิสัย หมายถึงการได้พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นที่อาศัย) ปรารภความเพียร เจริญกุศลธรรมเพื่อบรรลุนิพพานอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ พึงบรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวงโดยลำดับ ฉันนั้น

อลีนจิตตชาดกที่ ๖ จบ

-----------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

อลีนจิตตชาดก

ว่าด้วย กัลยาณมิตร

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุคลายความเพียรรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               เรื่องราวจักมีแจ้งใน สังวรชาดก ในเอกาทสกนิบาต.
               ภิกษุนั้น เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอคลายความเพียรจริงหรือ. กราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า.
               ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อก่อนเธอได้ทำความเพียรยึดเอาราชสมบัติในกรุงพาราณสีประมาณ ๑๒ โยชน์ ถวายราชกุมารหนุ่ม เช่นกับชิ้นเนื้อมิใช่หรือ เหตุไร ในบัดนี้ เธอบวชในพระศาสนาเห็นปานนี้ จึงคลายความเพียรเสียเล่า แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.
               ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี ได้มีบ้านช่างไม้อยู่ไม่ห่างจากกรุงพาราณสี พวกช่างไม้ ๕๐๐ คนอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น พวกเขาเดินเรือขึ้นเหนือน้ำแล้วพากันเข้าไปในป่า ตัดฟันไม้เครื่องเรือนปรุงปราสาทต่างชนิด มีพื้นชั้นเดียวและสองชั้นเป็นต้น ณ ที่นั้นเอง แล้วทำเครื่องหมายไว้ในไม้ทุกชิ้น ตั้งแต่เสา ขนไปยังฝั่งแม่น้ำ บรรทุกเรือล่องมาถึงพระนครตามกระแสน้ำ ผู้ใดต้องการเรือนชนิดใด ก็ปรุงเรือนชนิดนั้นแก่ผู้นั้น แล้วรับเอากหาปณะ กลับไปขนเครื่องเรือนในที่นั้นมาอีก.
               เมื่อเขาเลี้ยงชีวิตอยู่อย่างนี้ คราวหนึ่ง เมื่อเขาตั้งค่ายตัดฟันไม้อยู่ในป่า ในที่ไม่ไกลนัก มีช้างตัวหนึ่งเหยียบตอตะเคียนเข้า ตอได้แทงเท้าช้างเข้า มันเจ็บปวดเป็นกำลัง เท้าบวมกลัดหนอง ช้างได้รับทุกขเวทนาสาหัส ได้ยินเสียงตัดฟันไม้ของพวกช่างไม้ จึงหมายใจว่า เราจักมีความสวัสดี เพราะอาศัยพวกช่างไม้เหล่านี้ แล้วเดินสามเท้า เข้าไปหาเขาหมอบลงใกล้ๆ. ช่างไม้เห็นช้างมีเท้าบวม จึงตรงเข้าไปใกล้ พบตออยู่ที่เท้าแล้วใช้มีดที่คมกรีดรอบตอ ใช้เชือกดึงตอออก บีบหนอง เอาน้ำอุ่นชะ ไม่นานนักที่พวกเขารักษาแผลให้หายด้วยใช้ยาที่ถูกต้อง. ช้างหายเจ็บปวดจึงคิดว่า เราได้ชีวิต เพราะอาศัยช่างไม้เหล่านี้ เราควรช่วยเหลือตอบแทนเขา.
               ตั้งแต่นั้นมา เมื่อช่างไม้นำไม้มาถาก ช้างก็ช่วยพลิกให้ส่งเครื่องมือมีมีดเป็นต้น ให้กับพวกช่างไม้. มันใช้งวงพันจับปลายเชือกสายบรรทัด. ในเวลาบริโภคอาหาร พวกช่างไม้ต่างก็ให้ก้อนข้าวแก่มันคนละปั้น ให้ถึง ๕๐๐ ปั้น. อนึ่ง ช้างนั้นมีลูกขาวปลอด เป็นลูกช้างอาชาไนย เพราะเหตุนั้น มันจึงคิดว่า เวลานี้เราก็แก่เฒ่า เราควรให้ลูกแก่ช่างไม้เหล่านี้ เพื่อทำงานแทนเราแล้วเข้าป่าไป. ช้างนั้นมิได้บอกแก่พวกช่างไม้ เข้าป่านำลูกมากล่าวว่า ช้างน้อยเชือกนี้เป็นลูกของข้าพเจ้า พวกท่านได้ช่วยชีวิตของข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าขอให้ลูกนี้เป็นบำเหน็จค่าหมอของพวกท่าน ตั้งแต่นี้ไป ลูกนี้จักทำการงานให้พวกท่าน แล้วจึงสอนลูกว่า ดูก่อนเจ้าลูกน้อย ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจงทำการงานแทนเรา ครั้นมอบลูกน้อยให้พวกช่างไม้แล้ว ตัวเองก็เข้าป่าไป.
               ตั้งแต่นั้นมา ลูกช้างก็ทำตามคำของพวกช่างไม้ เป็นสัตว์ว่านอนสอนง่าย กระทำกิจการทั่วไป. แม้พวกช่างไม้ก็เลี้ยงดูลูกช้างน้อยด้วยอาหาร ๕๐๐ ปั้น ลูกช้างน้อยทำงานเสร็จแล้ว ก็ลงแม่น้ำอาบเล่นแล้วก็กลับ. พวกเด็กช่างไม้ก็จับลูกช้างน้อยที่งวงเป็นต้น เล่นกับลูกช้างทั้งในน้ำและบนบก. ธรรมดา ชาติอาชาไนยทั้งหลายจะเป็นช้างก็ตาม ม้าก็ตาม คนก็ตาม ย่อมไม่ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะลงในน้ำ เพราะฉะนั้น ลูกช้างนั้นจึงไม่ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะลงในน้ำ ถ่ายแต่ริมฝั่งแม่น้ำภายนอกเท่านั้น.
               อยู่มาวันหนึ่ง ฝนตกลงมาเหนือแม่น้ำ คูถลูกช้างที่แห้งก็ไปสู่แม่น้ำ ได้ติดอยู่ที่พุ่มไม้แห่งหนึ่งที่ท่ากรุงพาราณสี ครั้งนั้น พวกควาญช้างของพระราชา นำช้าง ๕๐๐ เชือกไปด้วยประสงค์จะให้อาบน้ำ ช้างเหล่านั้นได้กลิ่นคูถของช้างอาชาไนยเข้า จึงไม่กล้าลงแม่น้ำสักตัวเดียว ชูหางพากันหนีไปทั้งหมด พวกควาญช้างจึงแจ้งเรื่องแก่นายหัตถาจารย์ พวกเขาคิดกันว่า ในน้ำต้องมีอันตราย จึงทำความสะอาดน้ำ เห็นคูถช้างอาชาไนยติดอยู่ที่พุ่มไม้ ก็รู้ว่านี่เองเป็นเหตุในเรื่องนี้ จึงให้นำถาดมาใส่น้ำขยำคูถลงในถาดนั้น แล้วให้รดจนทั่วตัวช้างทั้งหลาย ตัวช้างก็มีกลิ่นหอม ช้างเหล่านั้นจึงลงอาบน้ำกันได้.
               นายหัตถาจารย์ทูลเล่าเรื่องราวนั้นแด่พระราชา แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์ควรสืบหาช้างอาชาไนยนั้นนำมาเถิด พระเจ้าข้า.
               พระราชาเสด็จสู่แม่น้ำด้วยเรือขนาน เมื่อเรือขนานแล่นไปถึงตอนบน ก็บรรลุถึงที่อยู่ของพวกช่างไม้ ลูกช้างกำลังเล่นน้ำอยู่ ได้ยินเสียงกลอง จึงกลับไปยืนอยู่กับพวกช่างไม้. พวกช่างไม้ถวายการต้อนรับพระราชาแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ หากพระองค์มีพระประสงค์ด้วยไม้ เหตุไรต้องเสด็จมา จะทรงส่งคนให้ขนไปไม่ควรหรือ พระเจ้าข้า.
               พระราชารับสั่ง นี่แน่พนาย เรามิได้มาเพื่อประสงค์ไม้ดอก แต่เรามาเพื่อต้องการช้างเชือกนี้.
               พวกช่างไม้กราบทูลว่า ขอเดชะโปรดให้จับไปเถิด พระเจ้าข้า. ลูกช้างไม่ปรารถนาจะไป. พระราชารับสั่งถามว่า ช้างจะให้ทำอย่างไรเล่า พนาย. พวกเขากราบทูลว่า ขอเดชะ ช้างจะให้พระราชทานค่าเลี้ยงดูแก่ช่างไม้พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า ตกลงพนาย แล้วโปรดให้วางกหาปณะลงที่เท้าช้างทั้ง ๔ ข้าง ที่งวงและที่หางแห่งละแสนกหาปณะ แม้เพียงนี้ ช้างก็ไม่ไป ครั้นพระราชทานผ้าคู่แก่ช่างไม้ทั้งหมด พระราชทานผ้าสาฎกสำหรับนุ่งแก่ภรรยาช่างไม้ แม้เพียงนี้ก็ไม่ไป ต่อเมื่อพระราชทานเครื่องบริหารสำหรับเด็กแก่เด็กชายหญิงที่เล่นอยู่ด้วยกัน ลูกช้างจึงเหลียวไปดูพวกช่าง เหล่าสตรีและพวกเด็ก แล้วเดินไปกับพระราชา.
               พระราชาทรงพาไปถึงพระนคร รับสั่งให้ประดับพระนครและโรงช้าง ทรงให้ช้างกระทำประทักษิณพระนคร แล้วให้เข้าไปโรงช้าง ทรงประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวง ทรงทำการอภิเษกยกขึ้นเป็นราชพาหนะ ทรงตั้งไว้ในฐานะเป็นสหายของพระองค์ พระราชทานราชสมบัติกึ่งหนึ่งแก่ช้าง ได้ทรงกระทำการเลี้ยงดูเสมอด้วยพระองค์ ตั้งแต่ช้างมา ราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น ได้ตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระราชาสิ้นเชิง.
               ครั้นกาลเวลาผ่านไปอย่างนี้ พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชาพระองค์นั้น ในเวลาที่พระนางทรงครรภ์แก่ พระราชาได้สวรรคตเสียแล้ว หากพญาช้างพึงรู้ว่าพระราชาได้สวรรคตเสียแล้ว หัวใจของพญาช้างก็จะต้องแตกทำลายไป ณ ที่นั้นเอง ดังนั้น พวกคนเลี้ยงช้างจึงบำรุงมิให้พญาช้างรู้ว่า พระราชาได้สวรรคตเสียแล้ว.
               ฝ่ายพระเจ้ากรุงโกศล ซึ่งมีพระราชอาณาจักรใกล้เคียงกัน ทรงสดับข่าวว่า พระราชาสวรรคตแล้ว ทรงดำริว่า นัยว่า ราชสมบัติกรุงพาราณสีว่างผู้ครอง จึงยกกองทัพใหญ่ล้อมพระนคร. ชาวพระนครพากันปิดประตูเมือง ส่งสาส์นถวายพระเจ้ากรุงโกศลว่า พระอัครมเหสีของพระราชาของพวกข้าพเจ้าทรงครรภ์แก่ พวกโหรทำนายว่า จากนี้ไปเจ็ดวันพระอัครมเหสี จักคลอดพระโอรส พวกข้าพเจ้าจักขอรบในวันที่เจ็ด จักไม่มอบราชสมบัติให้ ขอได้โปรดทรงรอไว้ชั่วเวลาเพียงเท่านี้.
               พระเจ้ากรุงโกศลทรงรับว่า ตกลง ครั้นถึงวันที่เจ็ด พระเทวีประสูติพระโอรส ก็ในวันขนานพระนาม มหาชนได้ขนานพระนามพระโอรสว่า อลีนจิตราชกุมาร เพราะพระโอรสทรงบันดาลให้จิตท้อแท้ของมหาชนมีขวัญดีขึ้น ตั้งแต่วันที่พระโอรสประสูติ ชาวพระนครของพระองค์ก็สู้รบกับพระเจ้ากรุงโกศล เพราะขาดผู้นำ แม้จะมีกำลังต่อสู้มากมายเพียงไร เมื่อต่อสู้ไปก็ถอยกำลังลงทีละน้อยๆ. พวกอำมาตย์พากันกราบทูลความนั้นแด่พระเทวี แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า เมื่อกำลังลดถอยลงอย่างนี้ พวกข้าพเจ้าเกรงว่าจะแพ้สงคราม มงคลหัตถีสหายของพระราชา มิได้รู้ว่าพระราชาสวรรคต พระโอรสประสูติ และพระเจ้ากรุงโกศลเสด็จมาทำสงคราม พวกข้าพเจ้าจะบอกให้พญาช้างนั้นรู้ดีไหม พระเจ้าข้า.
               พระเทวีรับสั่งว่า ดีแล้ว จึงตกแต่งพระโอรสให้บรรทมเหนือพระอู่ บุด้วยภูษาเนื้อดี เสด็จลงจากปราสาทมีหมู่อำมาตย์แวดล้อม เสด็จถึงโรงพญาช้าง ให้พระโพธิสัตว์บรรทมใกล้ๆ พญาช้าง แล้วตรัสว่า ดูก่อนพญามงคลหัตถี พระสหายของท่านสวรรคตเสียแล้ว พวกข้าพเจ้ามิได้บอก เพราะเกรงว่าท่านจะหัวใจแตกทำลาย นี่คือพระราชโอรสแห่งพระสหายของท่าน พระเจ้าโกศลเสด็จมาล้อมพระนคร ต่อสู้กับพระโอรสของท่าน ไพร่พลหย่อนกำลัง ท่านอย่าปล่อยให้พระโอรสของท่านตายเสียเลย จงยึดราชสมบัติถวายแก่เธอเถิด.
               ขณะนั้น พญามงคลหัตถีก็เอางวงลูบคลำพระโพธิสัตว์ แล้วยกขึ้นประดิษฐานไว้เหนือกระพอง ร้องไห้คร่ำครวญ แล้วจึงวางพระโพธิสัตว์ให้บรรทมบนพระหัตถ์ของพระเทวี แล้วออกจากโรงช้างไป หมายใจว่า จักจับพระเจ้ากรุงโกศล.
               ลำดับนั้น พวกอำมาตย์จึงสวมเกราะ ตกแต่งพญาช้าง เปิดประตูพระนคร พากันห้อมล้อมพญาช้างนั้นออกไป. พญามงคลหัตถี ครั้นออกจากพระนครแล้ว ก็แผดเสียงโกญจนาถ ยังมหาชนให้หวาดสะดุ้งพากันหนี ทำลายค่ายข้าศึก คว้าพระเมาลีพระเจ้ากรุงโกศลไว้ได้ แล้วพามาให้หมอบลง ณ บาทมูลของพระโพธิสัตว์. ครั้นหมู่ทหารเข้ารุมล้อมเพื่อฆ่าพระเจ้ากรุงโกศล พญาช้างก็ห้ามเสีย แล้วถวายโอวาทว่า ตั้งแต่นี้ไป พระองค์อย่าประมาท อย่าสำคัญว่าพระกุมารนี้ยังเป็นเด็ก แล้วจึงกลับไป.
               ตั้งแต่นั้นมา ราชสมบัติทั่วชมพูทวีป ก็ตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระโพธิสัตว์ ขึ้นชื่อว่าข้าศึกปัจจามิตรอื่นๆ ไม่สามารถจะเผชิญได้เลย.
               พระโพธิสัตว์ได้รับการอภิเษก ในเมื่อพระชนม์ได้ ๗ พระพรรษา ทรงพระนามว่า อลีนจิตตราช ทรงปกครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงบำเพ็ญทางไปสวรรค์ จนวาระสุดท้ายพระชนมชีพ.
               พระศาสดาทรงนำอดีตนี้มา เมื่อทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
               เสนาหมู่ใหญ่อาศัยเจ้าอลีนจิต มีใจรื่นเริงได้จับเป็นพระเจ้าโกศลผู้ไม่ทรงอิ่มด้วยราชสมบัติ ฉันใด.
               ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยกัลยาณมิตรเป็นที่พึ่งอาศัย ปรารภความเพียรเจริญกุศลธรรม เพื่อบรรลุนิพพานอันเกษมจากโยคะ พึงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวงโดยลำดับ ก็ฉันนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรวบยอดแห่งพระธรรมเทศนาด้วยอมตมหานิพพาน ด้วยประการฉะนี้ แล้วจึงทรงประกาศสัจธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วจึงทรงประชุมชาดก.
               ในเมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้คลายความเพียรได้บรรลุพระอรหัต.
               พระมารดาในครั้งนั้น ได้เป็น พระมหามายา.
               พระบิดาได้เป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช.
               พญาช้างซึ่งช่วยให้ได้ราชสมบัติ ได้เป็นภิกษุผู้คลายความเพียรรูปนี้.
               บิดาของพญาช้างได้เป็น สารีบุตร.
               ส่วนอลีนจิตตราชกุมารได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               -----------------------------------------------------       

 

คำสำคัญ (Tags): #ราชกุมาร
หมายเลขบันทึก: 717605เขียนเมื่อ 14 มีนาคม 2024 04:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม 2024 04:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท