พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก
ตอนที่ ๑๗ อุปปลวัณณาเถริยาปทาน
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒
๙. อุปปลวัณณาเถริยาปทานประวัติในอดีตชาติของพระอุบลวรรณาเถรี
เกริ่นนำ
พระชินเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำวิเศษ ทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งหม่อมฉันไว้ในเอตทัคคะในบริษัททั้งหลายว่า ‘อุบลวรรณาภิกษุณีเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งภิกษุณีทั้งหลายผู้มีฤทธิ์’
(พระอุบลวรรณาเถรี เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๓๘๔] พระอุบลวรรณาภิกษุณีถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ กราบไหว้พระยุคลบาทของพระศาสดาแล้วกราบทูลคำนี้ว่า
[๓๘๕] “ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันข้ามพ้นชาติสงสารได้แล้ว บรรลุบทที่ไม่หวั่นไหว ทุกข์ทั้งปวงหม่อมฉันให้สิ้นไปแล้วจึงขอบอกว่า
[๓๘๖] “ขอประชุมชนผู้เลื่อมใสในศาสนาของพระชินเจ้า และชนที่ข้าพเจ้าได้ทำความผิดให้เท่าที่มีอยู่ จงยกโทษให้ข้าพเจ้า เฉพาะพระพักตร์ของพระชินเจ้า
[๓๘๗] ข้าแต่พระมหาวีระ หม่อมฉันขอกราบทูลว่า เมื่อหม่อมฉันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร ถ้าหม่อมฉันมีความผิดพลาด ขอพระองค์จงยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเถิด”
[๓๘๘] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อุบลวรรณา ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของเรา เธอจงแสดงฤทธิ์ และตัดความสงสัยของบริษัท ๔ เท่าที่มีอยู่ ในวันนี้เถิด”
[๓๘๙] พระอุบลวรรณาเถรีกราบทูลว่า “ข้าแต่พระมหาวีระ ผู้มีพระปัญญา ผู้ทรงพระรัศมีรุ่งเรือง หม่อมฉันเป็นธิดาของพระองค์ กรรมที่ทำได้ยาก ทำได้แสนลำบากจำนวนมาก หม่อมฉันได้ทำแล้ว
[๓๙๐] ข้าแต่พระมหาวีระ ผู้มีพระจักษุ (ผู้มีพระจักษุ ในที่นี้หมายถึงจักษุ ๕ คือ (๑) มังสจักษุ (ตาเนื้อ คือ ทรงมีพระเนตรงาม มีอำนาจเห็นแจ่มใสไว และเห็นได้ไกล) (๒) ทิพยจักษุ (ตาทิพย์ คือ ทรงมีพระญาณเห็นหมู่สัตว์ผู้เป็นต่างๆ กันด้วยอำนาจกรรม) (๓) ปัญญาจักษุ (ตาปัญญา คือ ทรงประกอบด้วยพระปัญญาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นเหตุให้สามารถตรัสรู้อริยสัจจธรรมเป็นต้น) (๔) พุทธจักษุ (ตาพระพุทธเจ้า คือ ทรงประกอบด้วยอินทริยปโรปริยัตตญาณและอาสยานุสยญาณเป็นเหตุให้ทรงทราบอัธยาศัยและอุปนิสัยแห่งเวไนยสัตว์แล้วทรงสั่งสอนแนะนำให้บรรลุคุณวิเศษต่างๆ (ยังพุทธกิจให้บริบูรณ์) (๕) สมันตจักษุ (ตาเห็นรอบ คือ ทรงประกอบด้วยพระสัพพัญญุตญาณ อันหยั่งรู้ธรรมทุกประการ))-หม่อมฉันมีผิวพรรณเหมือนสีดอกอุบล จึงมีนามว่าอุบลวรรณา เป็นธิดาของพระองค์ ขอกราบพระยุคลบาท
[๓๙๑] พระราหุลเถระและหม่อมฉันเกิดร่วมภพเดียวกันหลายร้อยชาติ เป็นผู้มีจิตสมานฉันท์กัน
[๓๙๒] บังเกิดพร้อมกันร่วมชาติเดียวกัน เมื่อถึงภพสุดท้าย แม้เราทั้ง ๒ ก็ชื่อว่าเกิดร่วมภพเดียวกัน
[๓๙๓] พระเถระนามว่าราหุลเป็นพระโอรส หม่อมฉันผู้มีนามว่าอุบลวรรณาเป็นธิดา ข้าแต่พระวีระ ขอเชิญทอดพระเนตรฤทธิ์ของหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจักแสดงพลังถวายพระศาสดา”
[๓๙๔] พระอุบลวรรณาเถรียกมหาสมุทรทั้ง ๔ วางไว้ที่ฝ่ามือเหมือนเด็กเล่นน้ำมันที่อยู่บนฝ่ามือ
[๓๙๕] ยกแผ่นดินแล้ว วางไว้ที่ฝ่ามือ เหมือนเด็กหนุ่มดึงไส้หญ้าป้อง
[๓๙๖] ใช้ฝ่ามือปิดครอบจักรวาลแล้ว บันดาลหยาดฝนสีต่างๆ ให้ตกลงที่ศีรษะบ่อยๆ
[๓๙๗] ทำพื้นพสุธาให้เป็นครก ทำก้อนกรวดให้เป็นข้าวเปลือก ทำภูเขาสิเนรุให้เป็นสาก แล้วตำอยู่เหมือนนางกุมาริกาซ้อมข้าว
[๓๙๘] หม่อมฉันมีนามว่าอุบลวรรณา เป็นธิดาของพระพุทธองค์ผู้ประเสริฐที่สุด มีความชำนาญในอภิญญาทั้งหลาย เป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์
[๓๙๙] หม่อมฉันผู้มีจักษุแสดงฤทธิ์ต่างๆ ถวายพระองค์ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ประกาศนามและโคตรแล้วขอกราบพระยุคลบาท
[๔๐๐] ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ ในทิพพโสตธาตุและในเจโตปริยญาณ
[๔๐๑] รู้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทิพยจักษุหม่อมฉันก็ชำระให้หมดจดแล้ว อาสวะทั้งปวงก็สิ้นไปแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก
[๔๐๒] อัตถปฏิสัมภิทาญาณ ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ และปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณของหม่อมฉันบริสุทธิ์ไพบูลย์ตามสภาวะแห่งพระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๔๐๓] ข้าแต่พระมหามุนี อธิการเป็นอันมากของหม่อมฉัน อันหม่อมฉันผู้เสร็จสงครามแสดงแล้ว(กระทำแล้ว) แด่พระชินเจ้าผู้ประเสริฐทั้งหลายในปางก่อน เพื่อประโยชน์แก่พระองค์
[๔๐๔] ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์ทรงระลึกถึงกุศลกรรมของหม่อมฉัน ที่หม่อมฉันกระทำแล้วในปางก่อน ข้าแต่พระมหาวีระ หม่อมฉันสั่งสมบุญไว้แล้วเพื่อประโยชน์แก่พระองค์
[๔๐๕] ข้าแต่พระมหาวีระ พระองค์ทรงเว้นอนาจารในสถานที่ไม่ควร อบรมพระญาณให้แก่กล้าอยู่ หม่อมฉันได้สละชีวิตที่สูงสุดเพื่อประโยชน์แก่พระองค์
[๔๐๖] ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันได้ถวายชีวิตของหม่อมฉันหลายหมื่นโกฏิกัป แม้ตัวหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ได้สละแล้วเพื่อประโยชน์แก่พระองค์
[๔๐๗] ครั้งนั้น บริษัททั้งหมดมีความพิศวงยิ่งนัก จึงได้พากันประนมมือเหนือศีรษะ พูดว่า ‘ข้าแต่พระแม่เจ้า อย่างไร พระแม่เจ้าจึงมีความบากบั่น มีฤทธิ์ หาสิ่งใดเปรียบปานมิได้’
[๔๐๘] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นนางนาคกัญญามีนามว่าวิมลา หมู่นาคยกย่องว่า เป็นผู้ประเสริฐกว่าพวกนางนาคกัญญา
[๔๐๙] พญานาคชื่อมโหรคะ เลื่อมใสในศาสนาของพระชินเจ้า ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงมีเดชานุภาพมาก พร้อมทั้งพระสาวก
[๔๑๐] ตกแต่งมณฑปแก้ว บัลลังก์แก้ว โปรยทรายแก้ว เครื่องอุปโภคแก้ว
[๔๑๑] และตกแต่งหนทางประดับด้วยธงแก้ว พญานาคนั้นบรรเลงดนตรี ต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๔๑๒] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ทรงแผ่ขยายบริษัท ๔ ประทับนั่งบนอาสนะ อันประเสริฐในภพของพญานาคชื่อมโหรคะ
[๔๑๓] พญานาคได้ถวายข้าวน้ำ ขาทนียะและโภชนียาหารอย่างดีๆ มีราคามาก แด่พระผู้มีพระภาคผู้มีพระยศใหญ่
[๔๑๔] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ครั้นเสวยเสร็จแล้วทรงล้างบาตร ได้ทรงทำการอนุโมทนาอันสมควร โดยอุบายอันแยบคายว่า ‘นางนาคกัญญาจงเป็นผู้มีฤทธิ์มาก’
[๔๑๕] นางนาคกัญญา เห็นพระสัพพัญญู ผู้เบิกบาน มีพระยศมาก จึงทำจิตให้เลื่อมใส ทำใจให้มั่นคงต่อพระศาสดา
[๔๑๖] ครั้งนั้น พระมหาวีระพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงทราบวาระจิตของหม่อมฉันแล้ว ทรงแสดงภิกษุณีรูปหนึ่งด้วยฤทธิ์
[๔๑๗] ภิกษุณีรูปนั้นมีความแกล้วกล้าแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง หม่อมฉันเกิดปีติปราโมทย์ได้กราบทูลพระศาสดาว่า
[๔๑๘] ‘หม่อมฉันได้เห็นฤทธิ์ทั้งหลายที่ภิกษุณีรูปนี้แสดงแล้ว ข้าแต่พระธีรเจ้า อย่างไร ภิกษุณีรูปนั้นจึงเป็นผู้แกล้วกล้าดีในฤทธิ์’
[๔๑๙] (พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นตรัสตอบว่า) ‘ภิกษุณีรูปนั้นเป็นธิดาที่เกิดจากโอษฐ์ของเรา ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของเรา มีฤทธิ์มาก มีความแกล้วกล้าดีในฤทธิ์’
[๔๒๐] หม่อมฉันได้ฟังพระพุทธพจน์แล้ว มีความยินดีได้กราบทูลอย่างนี้ว่า ‘แม้หม่อมฉันก็ขอเป็นผู้มีความแกล้วกล้าในฤทธิ์เช่นนั้น
[๔๒๑] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก หม่อมฉันเบิกบานโสมนัส มีใจสูงสุดถึงที่แล้ว ขอให้ได้เป็นเช่นภิกษุณีรูปนี้ในอนาคตกาลเถิด’
[๔๒๒] หม่อมฉันตกแต่งบัลลังก์แก้วมณี และมณฑปที่ผุดผ่องแล้ว ทูลนิมนต์พระผู้นำสัตว์โลกพร้อมทั้งพระสงฆ์ ให้เสวยและฉันข้าวน้ำจนอิ่มหนำ
[๔๒๓] แล้วได้ใช้ดอกอุบลที่มีชื่อว่าอรุณ ซึ่งเป็นดอกไม้อันประเสริฐของพวกนาค บูชาพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก โดยตั้งความปรารถนาไว้ว่า ‘ขอให้ผิวพรรณของข้าพเจ้าจงเป็นเช่นนี้เถิด’
[๔๒๔] ด้วยกรรมที่หม่อมฉันได้ทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยเจตนาที่ตั้งไว้มั่น ข้าพเจ้าละกายนาคแล้ว จึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๔๒๕] จุติจากภพนั้นแล้วก็มาเกิดในหมู่มนุษย์ ได้ถวายบิณฑบาตที่ใช้ดอกอุบลปิดแด่พระสยัมภู
[๔๒๖] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้ทรงเป็นผู้นำ ผู้มีพระเนตรงาม มีพระจักษุในธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
[๔๒๗] ครั้งนั้น หม่อมฉันเป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงพาราณสีที่ประเสริฐสุด ได้ทูลนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกพร้อมทั้งพระสงฆ์
[๔๒๘] ถวายมหาทานและบูชาพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำวิเศษด้วยดอกอุบลเป็นอันมากแล้ว ได้ปรารถนาให้มีผิวพรรณงามเหมือนดอกอุบลเหล่านั้น
[๔๒๙] ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของพราหมณ์ มีพระยศใหญ่ พระนามว่ากัสสปะ ตามพระโคตร ประเสริฐกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลาย เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
[๔๓๐] ครั้งนั้น พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกี เป็นใหญ่กว่านรชนในกรุงพาราณสีที่ประเสริฐสุด ทรงเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๔๓๑] หม่อมฉันเป็นธิดาคนที่ ๒ ของพระองค์ มีนามปรากฏว่าสมณีคุตตา ได้ฟังธรรมของพระชินเจ้าผู้เลิศแล้ว พอใจการบรรพชา
[๔๓๒] แต่พระชนกนาถมิได้ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันทั้งหลายบวช ครั้งนั้น หม่อมฉันทั้งหลายไม่เกียจคร้านครองเรือนอยู่ ๒๐,๐๐๐ ปี
[๔๓๓] พระราชกัญญาทั้ง ๗ พระองค์ มีความสุข ประพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่ยังเป็นกุมารี เพลิดเพลินยินดีอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า
[๔๓๔] คือ (๑) พระนางสมณี (๒) พระนางสมณคุตตา (๓) พระนางภิกษุณี (๔) พระนางภิกขุทาสิกา (๕) พระนางธรรมา (๖) พระนางสุธรรมา (๗) พระนางสังฆทาสิกา
[๔๓๕] (พระราชธิดาทั้ง ๗ นั้น ได้กลับชาติมาเกิด) คือ หม่อมฉัน ๑ พระเขมาเถรีผู้มีปัญญา ๑ พระปฏาจาราเถรี ๑ พระกุณฑลเกสีเถรี ๑ พระกีสาโคตมีเถรี ๑ พระธรรมทินนาเถรี ๑ และคนที่ ๗ เป็นวิสาขามหาอุบาสิกา
[๔๓๖] ด้วยกรรมทั้งหลายที่หม่อมฉันได้ทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยเจตนาที่ตั้งไว้มั่น หม่อมฉันละกายมนุษย์แล้วจึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๔๓๗] หม่อมฉันจุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นแล้ว มาเกิดในตระกูลใหญ่ในหมู่มนุษย์ ได้ถวายผ้าอย่างดีมีสีเหลือง เนื้อเกลี้ยงแก่พระอรหันต์องค์หนึ่ง
[๔๓๘] จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในตระกูลพราหมณมหาศาลในอริฏฐบุรี เป็นธิดาของพราหมณ์ชื่อติริฏิวัจฉะ มีชื่อว่าอุมมาทันตี มีสิริโฉมงดงามเป็นที่จูงใจให้หลงใหล
[๔๓๙] จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในตระกูลหนึ่ง ที่ไม่ค่อยมีความอุดมสมบูรณ์มากนักในชนบท รักษาข้าวสาลีในครั้งนั้น
[๔๔๐] หม่อมฉันเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ได้ถวายข้าวตอก ๕๐๐ ดอก ห่อด้วยดอกปทุม ปรารถนามีบุตร ๕๐๐ คน
[๔๔๑] เมื่อหม่อมฉันปรารถนาบุตรจำนวนเท่านั้นแล้ว ได้ถวายน้ำผึ้งแด่พระสยัมภู จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เกิดภายในดอกบัวในป่า
[๔๔๒] ได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้ากาสี เป็นผู้ที่ประชาชนสักการะบูชา ได้ให้กำเนิดพระราชบุตรครบ ๕๐๐ องค์
[๔๔๓] เมื่อพระราชบุตรเหล่านั้นทรงเจริญวัยแล้ว ทรงเล่นน้ำ ได้เห็นดอกบัวที่ร่วงโรยไป ก็ได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
[๔๔๔] หม่อมฉันนั้น เมื่อต้องพลัดพรากจากบุตรผู้ประเสริฐเหล่านั้น ก็มีความเศร้าโศก จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในหมู่บ้านข้างภูเขาอิสิคิลิ
[๔๔๕] เมื่อหม่อมฉันทราบว่า บุตรเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้ถือข้าวยาคูไปเพื่อบุตรและเพื่อตนเอง ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์
[๔๔๖] เข้าไปสู่บ้านเพื่อภิกษาหาร ก็ระลึกถึงบุตรขึ้นมา ธารน้ำนมของหม่อมฉันก็หลั่งไหลออกเพราะความรักบุตร
[๔๔๗] หม่อมฉันมีความเลื่อมใส ได้ถวายข้าวยาคูด้วยมือของตน แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น หม่อมฉันจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปเกิดในสวนนันทวันบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๔๔๘] ข้าแต่พระมหาวีระ หม่อมฉันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ได้เสวยสุขและทุกข์และได้สละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่พระองค์
[๔๔๙] หม่อมฉันมีทุกข์ก็มาก มีสมบัติก็หลายชนิด ดังที่กราบทูลมานี้ เมื่อถึงภพสุดท้าย หม่อมฉันเกิดในกรุงสาวัตถี
[๔๕๐] ในตระกูลเศรษฐีมีทรัพย์มาก ประกอบด้วยสุขสมบัติ มีความรุ่งเรืองด้วยรัตนะต่างๆ ให้สำเร็จสิ่งที่ปรารถนาทุกอย่าง
[๔๕๑] เป็นผู้ที่ประชุมชนสักการะบูชา นับถือและยำเกรง ประกอบด้วยสิริรูป อันชนในตระกูลทั้งหลายสักการะอย่างยิ่ง
[๔๕๒] หม่อมฉันเป็นหญิงที่น่าปรารถนายิ่งนัก ด้วยสิริคือรูปสมบัติและโภคสมบัติ บุตรเศรษฐีทั้งหลายและบริวารของตนจำนวนมากต่างปรารถนา
[๔๕๓] หม่อมฉันละเรือน ออกบวชเป็นบรรพชิต ยังไม่ถึงกึ่งเดือนก็ได้บรรลุสัจจะ ๔
[๔๕๔] หม่อมฉันเนรมิตรถเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้ด้วยฤทธิ์ ขอกราบพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของโลกผู้มีพระสิริ
[๔๕๕] (พญามารมากล่าวกับหม่อมฉันว่า) ‘ท่านเข้ามายังต้นไม้ชั้นเลิศที่มีดอกแย้มบานดีแล้ว ยืนอยู่เพียงผู้เดียวที่โคนต้นสาละ ไม่มีใครเป็นเพื่อน ท่านผู้โง่เขลา ท่านไม่กลัวพวกนักเลงดอกหรือ’
[๔๕๖] หม่อมฉันกล่าวว่า ‘ถึงพวกนักเลงตั้ง ๑๐๐,๐๐๐ คนมาในที่นี้ พึงเป็นเหมือนกับท่านนี้ ก็ทำขนของเราให้เอนให้ไหวไม่ได้ พญามาร ท่านเพียงผู้เดียวจักทำอะไรเราได้
[๔๕๗] เรานี้จักหายตัวไปก็ได้ หรือว่าเข้าไปในท้องของท่านก็ได้ ท่านจักมองไม่เห็นเราผู้ยืนอยู่ที่ระหว่างคิ้วของท่าน
[๔๕๘] เรามีความชำนาญในเรื่องจิต อิทธิบาทเราก็เจริญดีแล้ว พ้นจากสรรพกิเลสเครื่องผูกทั้งปวง พญามาร เรามิได้เกรงกลัวท่าน
[๔๕๙] กามทั้งหลายเปรียบด้วยหอกและหลาว แม้ขันธ์ทั้งหลาย (ขันธ์ทั้งหลาย หมายถึงขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์) ก็คล้ายกองไฟ ท่านกล่าวถึงความยินดีในกาม บัดนี้ เราไม่มีความยินดีในกาม
[๔๖๐] ความเพลิดเพลินในอารมณ์ทั้งปวงเรากำจัดได้หมดแล้ว กองแห่งความมืด (กองแห่งความมืด ในที่นี้หมายถึงโมหะ (ความหลง))- เราก็ทำลายได้แล้ว มารผู้มีบาป ท่านจงรู้อย่างนี้ ท่านถูกเรากำจัดแล้ว’
[๔๖๑] พระชินเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำวิเศษ ทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งหม่อมฉันไว้ในเอตทัคคะในบริษัททั้งหลายว่า ‘อุบลวรรณาภิกษุณีเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งภิกษุณีทั้งหลายผู้มีฤทธิ์’
[๔๖๒] พระศาสดาหม่อมฉันก็ปรนนิบัติแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หม่อมฉันก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ภาระอันหนักหม่อมฉันก็ปลงลงได้แล้ว ตัณหาที่นำไปสู่ภพหม่อมฉันก็ถอนได้แล้ว
[๔๖๓] กุลบุตรกุลธิดาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นคือความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวง หม่อมฉันได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
[๔๖๔] ทายกทั้งหลายน้อมปัจจัย คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เข้ามาครั้งละหลายพันโดยรอบ
[๔๖๕] กิเลสทั้งหลายหม่อมฉันก็เผาได้แล้ว ภพทั้งปวงหม่อมฉันก็ถอนได้แล้ว หม่อมฉันตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๔๖๖] การที่หม่อมฉันมาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด เป็นการมาดีแล้วโดยแท้ วิชชา ๓ หม่อมฉันได้บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หม่อมฉันก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๔๖๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ หม่อมฉันก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หม่อมฉันก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า พระอุบลวรรณาภิกษุณีได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อุปปลวัณณาเถริยาปทานที่ ๙ จบ
--------------------------------
ไม่มีความเห็น