เรื่องของพราหมณ์วาเสฏฐะ และภารทวาชะ ตอนที่ ๑
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๒๔ มีนาคม ๒๕๖๖
เกริ่นนำ
บทความ “เรื่องของพราหมณ์วาเสฏฐะ และภารทวาชะ” นำมาจากพระสูตร ๓ เรื่องที่มีเรื่องราวต่อเนื่องกันคือ วาเสฏฐสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]) จาก เตวิชชสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ]) และจาก อัคคัญญสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ]) เป็นเรื่องของพราหมณ์หนุ่มสองคือ วาเสฏฐะ และภารทวาชะ ที่ได้เข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อถามปัญหาเรื่องเกี่ยวกับความเป็นพราหมณ์ (เพราะในสมัยพุทธกาลนั้นบรรดาพราหมณ์ถือตนว่าเป็นวรรณะที่ประเสริฐกว่าวรรณะอื่นๆ ทั้งหมด) ที่พราหมณ์หนุ่มทั้งสองไม่สามารถทำความเห็นให้ตรงกันได้ พระพุทธเจ้าจึงได้กำหนดความหมายของพราหมณ์ในแง่มุมของพระพุทธศาสนา ให้พราหมณ์หนุ่มทั้งสองฟังอย่างถ่องแท้ ทำให้ทั้งสองหันมานับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ต่อมาพราหมณ์ทั้งสองยังมีความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกันในเรื่องทางไปสู่การเป็นพระพรหม ทั้งสองจึงไปทูลถามทางสู่การเป็นพระพรหมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้อธิบายว่า พราหมณ์ที่รู้จบไตรเภทไม่มีใครยืนยันการได้พบเห็นพระพรหม เพียงแต่เป็นความเชื่อต่อ ๆ กันมาเท่านั้น และพราหมณ์กับพระพรหมมีความแตกต่างกันมากในหลาย ๆ ด้าน พระพุทธองค์จึงแสดงหนทางเพื่อการเป็นพระพรหมให้ทั้งสองได้รับทราบจนกระจ่างแจ้ง ทำให้ทั้งสองประกาศตนเป็นอุบาสกในพุทธศาสนา
สุดท้ายพราหมณ์ทั้งสองได้มาบรรพชาเป็นสามเณร อาศัยอยู่ในบุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี มีอยู่วันหนึ่ง พระพุทธองค์ได้พบกับสามเณรทั้งสอง แล้วสอบถามเรื่องที่ทั้งสองถูกพราหมณ์ทั้งหลายก่นด่าเพราะหันมาเป็นนักบวชในพุทธศาสนา พระพุทธองค์จึงทรงอธิบายการก่อกำเนิดของโลก และการกำเนิดมนุษย์ที่มีการสืบเนื่องมาจากพระพรหมชั้นอาภัสสราโดยละเอียดให้ทั้งสองฟัง แล้วสรุปว่า ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ทำให้วาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณรมีใจยินดี น้อมระลึกรู้ตามคำสั่งสอน แล้วได้บรรลุพระอรหัตพร้อมปฏิสัมภิทาทั้งหลายฉะนี้แล
-------------------
วาเสฏฐสูตร
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
๘. วาเสฏฐสูตร
ว่าด้วยมาณพชื่อวาเสฏฐะ
[๔๕๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคละ ใกล้หมู่บ้านชื่ออิจฉานังคละ สมัยนั้น ในหมู่บ้านอิจฉานังคละ มีพราหมณมหาศาลผู้มีชื่อเสียงมาพักอยู่หลายคน คือ จังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ ชานุสโสณิพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ (จังกีพราหมณ์อยู่ที่หมู่บ้านโอปาสาทะ ตารุกขพราหมณ์อยู่ที่หมู่บ้านอิจฉานังคละ โปกขรสาติพราหมณ์อยู่ที่เมืองอุกกัฏฐะ ชาณุสโสณิพราหมณ์อยู่ที่กรุงสาวัตถี โตเทยยพราหมณ์อยู่ที่หมู่บ้านตุทิ พราหมณ์ทั้ง ๕ เป็นพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าเสนทิโกศล) และยังมีพราหมณมหาศาลผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ อีก ครั้งนั้น เมื่อมาณพชื่อวาเสฏฐะกับมาณพชื่อภารทวาชะ เดินเที่ยวเล่นอยู่ ได้สนทนากันค้างไว้ อย่างนี้ว่า “ท่านผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรบุคคลจึงจะชื่อว่าเป็นพราหมณ์”
ภารทวาชมาณพกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นผู้มีชาติกำเนิดมาดีทั้ง ๒ ฝ่าย คือทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้เพราะอ้างถึงชาติตระกูล ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ บุคคลจึงชื่อว่าเป็นพราหมณ์”
วาเสฏฐมาณพกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นผู้มีศีลและถึงพร้อมด้วยวัตรด้วยเหตุเพียงเท่านี้ บุคคลจึงชื่อว่าเป็นพราหมณ์”
ภารทวาชมาณพไม่อาจให้วาเสฏฐมาณพยินยอมได้ ถึงวาเสฏฐมาณพก็ไม่อาจให้ภารทวาชมาณพยินยอมได้เหมือนกัน ลำดับนั้น วาเสฏฐมาณพได้เรียกภารทวาชมาณพมากล่าวว่า
“พระสมณโคดมผู้เป็นศากยบุตรนี้ เสด็จออกผนวชจากศากยตระกูล ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคละ ใกล้หมู่บ้านชื่ออิจฉานังคละ ท่านพระโคดมพระองค์นั้นมีกิตติศัพท์อันงามขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า ‘แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค’ มาเถิด ท่านภารทวาชะ เราทั้งหลายจักเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับแล้วทูลถามเนื้อความนี้ พระสมณโคดมจักตรัสตอบแก่เราทั้งหลายอย่างไร เราทั้งหลายจักทรงจำเนื้อความนั้นไว้อย่างนั้น”
ภารทวาชมาณพรับคำแล้ว
[๔๕๕] ลำดับนั้น วาเสฏฐมาณพและภารทวาชมาณพได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้วนั่ง ณ ที่สมควร วาเสฏฐมาณพได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
“ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นผู้ทรงไตรเพท อันอาจารย์อนุญาตแล้ว และปฏิญญาได้เองว่า ‘เป็นผู้ได้ศึกษาแล้ว’ ข้าพระองค์เป็นศิษย์ท่านโปกขรสาติพราหมณ์ มาณพผู้นี้เป็นศิษย์ท่านตารุกขพราหมณ์
ข้าพระองค์ทั้งสองรู้จบบทที่พราหมณ์ผู้ทรงไตรเพทบอกแล้ว เป็นผู้มีข้อพยากรณ์แม่นยำตามบท เช่นเดียวกันกับอาจารย์ในการกล่าวมนตร์
ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ทั้งสองโต้เถียงกันในการกล่าวถึงชาติกำเนิด คือภารทวาชมาณพกล่าวว่า ‘บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิด’ ส่วนข้าพระองค์กล่าวว่า ‘บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะกรรม (กรรม หมายถึงกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ)’ พระองค์ผู้มีพระจักษุขอจงทรงทราบอย่างนี้
ข้าพระองค์ทั้งสองนั้นไม่อาจจะให้กันและกันยินยอมได้ จึงได้มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปรากฏด้วยอาการอย่างนี้ ชนทั้งหลายเมื่อจะเข้าไปประนมมือถวายบังคม ก็จักถวายอภิวาทพระโคดมได้ทั่วโลก เหมือนดวงจันทร์เต็มดวงฉะนั้น
ข้าพระองค์ขอทูลถามพระโคดม ผู้เป็นดวงจักษุอุบัติขึ้นในโลกว่า ‘บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิด หรือบุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะกรรม’ ขอจงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ทั้งสองผู้ไม่ทราบ โดยประการที่จะทราบถึงบุคคลผู้เป็นพราหมณ์นั้นเถิด”
พราหมณ์ในพระพุทธศาสนา
[๔๕๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบด้วยคาถาว่า
“วาเสฏฐะ เราจะพยากรณ์ถึงความพิสดารแห่งชาติกำเนิดของสัตว์ทั้งหลายตามลำดับความเหมาะสมแก่เธอ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายมีชาติกำเนิดแตกต่างกันหลายเผ่าพันธุ์
เธอทั้งหลายรู้จักหญ้าและต้นไม้ แต่หญ้าและต้นไม้ก็ไม่ยอมรับว่าเป็นหญ้าเป็นต้นไม้ หญ้าและต้นไม้เหล่านั้นต่างมีรูปร่างสัณฐานสำเร็จมาแต่กำเนิด เพราะธรรมชาติของพวกมันต่างกัน
ต่อไป เธอทั้งหลายจงรู้จักแมลงคือตั๊กแตน ตลอดจนถึงพวกมดดำ มดแดง สัตว์เหล่านั้นต่างมีรูปร่างสัณฐานไปตามกำเนิด เพราะกำเนิดของพวกมันต่างกัน
เธอทั้งหลายจงรู้จักสัตว์ ๔ เท้าทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ สัตว์เหล่านั้นต่างมีรูปร่างสัณฐานไปตามกำเนิด เพราะกำเนิดของพวกมันต่างกัน
เธอทั้งหลายจงรู้จักพวกสัตว์เลื้อยคลานที่ใช้ท้องแทนเท้า มีสันหลังยาว สัตว์เหล่านั้นต่างมีรูปร่างสัณฐานไปตามกำเนิด เพราะกำเนิดของพวกมันต่างกัน
ต่อไป เธอทั้งหลายจงรู้จักปลา และสัตว์น้ำประเภทอื่นที่เกิดเที่ยวหากินอยู่ในน้ำ สัตว์เหล่านั้นต่างมีรูปร่างสัณฐานไปตามกำเนิด เพราะกำเนิดของพวกมันต่างกัน
ต่อไป เธอทั้งหลายจงรู้จักสัตว์ปีกที่บินไปในอากาศ สัตว์เหล่านั้นต่างมีรูปร่างสัณฐานไปตามกำเนิด เพราะกำเนิดของพวกมันต่างกัน
รูปร่างสัณฐานของพวกสัตว์เหล่านี้ ต่างกันตามกำเนิดมากมาย ฉันใด แต่ในหมู่มนุษย์ ไม่มีรูปร่างสัณฐานแตกต่างกันไปตามกำเนิดมากมาย ฉันนั้น คือ ผมก็ไม่แตกต่างกัน ศีรษะ ใบหู นัยน์ตา ใบหน้า จมูก ริมฝีปาก คิ้ว คอ บ่า ท้อง หลัง สะโพก อก ซอกอวัยวะ อวัยวะสืบพันธุ์ มือ เท้า นิ้วมือ เล็บ แข้ง ขาอ่อน ผิวพรรณ หรือเสียงก็ไม่แตกต่างกัน ในหมู่มนุษย์ จึงไม่มีรูปร่างสัณฐานตามกำเนิด แตกต่างกันมากมายเหมือนในกำเนิดอื่นๆ เลย
[๔๕๗] ในหมู่มนุษย์ ในสรีระของแต่ละคนไม่มีความแตกต่างกันเฉพาะตัว การเรียกกันในหมู่มนุษย์ เขาเรียกตามบัญญัติ
วาเสฏฐะ เธอจงรู้อย่างนี้ว่า ‘ในหมู่มนุษย์ ใครก็ตามอาศัยโครักขกรรมเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเรียกว่า ชาวนา ไม่เรียกว่า พราหมณ์’
วาเสฏฐะ เธอจงรู้อย่างนี้ว่า ‘ในหมู่มนุษย์ ใครก็ตามเลี้ยงชีพด้วยศิลปะหลายอย่าง ผู้นั้นเรียกว่า ช่างศิลปะ ไม่เรียกว่า พราหมณ์’
วาเสฏฐะ เธอจงรู้อย่างนี้ว่า ‘ในหมู่มนุษย์ ใครก็ตามอาศัยการค้าขายเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเรียกว่า พ่อค้า ไม่เรียกว่า พราหมณ์’
วาเสฏฐะ เธอจงรู้อย่างนี้ว่า ‘ในหมู่มนุษย์ ใครก็ตามเลี้ยงชีพด้วยการรับใช้คนอื่น ผู้นั้นเรียกว่า คนรับใช้ ไม่เรียกว่า พราหมณ์’
วาเสฏฐะ เธอจงรู้อย่างนี้ว่า ‘ในหมู่มนุษย์ ใครก็ตามอาศัยทรัพย์ที่ลักเขามาเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเรียกว่า โจร ไม่เรียกว่า พราหมณ์’
วาเสฏฐะ เธอจงรู้อย่างนี้ว่า ‘ในหมู่มนุษย์ ใครก็ตามอาศัยลูกศร และศัสตราเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเรียกว่า ทหารอาชีพ ไม่เรียกว่า พราหมณ์’
วาเสฏฐะ เธอจงรู้อย่างนี้ว่า ‘ในหมู่มนุษย์ ใครก็ตามเลี้ยงชีพด้วยการเป็นปุโรหิต ผู้นั้นเรียกว่า ผู้ประกอบพิธีกรรม ไม่เรียกว่า พราหมณ์’
วาเสฏฐะ เธอจงรู้อย่างนี้ว่า ‘ในหมู่มนุษย์ ใครก็ตามปกครองท้องถิ่นและแว่นแคว้น ผู้นั้นเรียกว่า พระราชา ไม่เรียกว่า พราหมณ์’
เราไม่เรียกบุคคลผู้ถือกำเนิดเกิดในครรภ์มารดาว่า เป็นพราหมณ์ ถ้าเขายังเป็นผู้มีกิเลสเครื่องกังวลอยู่ เขาเป็นเพียงผู้ชื่อว่าโภวาทีเท่านั้น
เราเรียกผู้หมดกิเลสเครื่องกังวล หมดความยึดมั่นถือมั่นนั้นว่า เป็นพราหมณ์
[๔๕๘] เราเรียกผู้ตัดสังโยชน์ได้ทั้งหมด ไม่หวาดสะดุ้ง พ้นจากกิเลสเครื่องข้อง ปราศจากโยคะว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกผู้ตัดชะเนาะคือความโกรธ ตัดเชือกคือตัณหา ตัดหัวเงื่อนคือทิฏฐิ ๖๒ พร้อมทั้งสายโยงคืออนุสัยกิเลสได้ ถอดลิ่มสลักคืออวิชชา ตรัสรู้อริยสัจแล้วว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกผู้ไม่ประทุษร้าย อดกลั้นต่อคำด่า การทุบตี และการจองจำ มีขันติธรรมเป็นพลัง มีพลังใจเข้มแข็งว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกผู้ไม่โกรธ มีวัตรเคร่งครัด มีศีลบริสุทธิ์ ไม่มีตัณหาฟูใจขึ้นอีก ฝึกตนได้แล้ว มีสรีระเป็นชาติสุดท้ายว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกผู้ไม่ติดใจในกามทั้งหลาย เหมือนหยาดน้ำไม่ติดบนใบบัว เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาด ไม่ติดอยู่บนปลายเหล็กแหลมนั้นว่า เป็นพราหมณ์
ในศาสนานี้ เราเรียกผู้ที่รู้ชัดถึงภาวะสิ้นกองทุกข์ของตน ปลงขันธภาระลงได้แล้ว ปราศจากกิเลสทั้งปวงว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกผู้มีปัญญาลึกซึ้ง เป็นนักปราชญ์ ฉลาดในทางและมิใช่ทางบรรลุอรหัตตผล ที่เป็นประโยชน์สูงสุดแล้วว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ไม่คลุกคลีกับคฤหัสถ์และบรรพชิตทั้ง ๒ ฝ่าย เที่ยวจาริกไป ไร้กังวล มีความมักน้อยว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้งดเว้นจากการเบียดเบียนทำร้ายสัตว์ทุกจำพวก ทั้งที่สะดุ้ง และที่มั่นคง ไม่ฆ่าเอง ไม่ใช้ผู้อื่นให้ฆ่าว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ไม่คิดร้ายเมื่อบุคคลอื่นยังคิดร้าย ผู้สงบระงับเมื่อบุคคลอื่นยังมีอาชญาในตน ผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นเมื่อบุคคลอื่นยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ทำราคะ โทสะ โมหะ มานะ และมักขะ ให้ตกไปจากจิตได้ เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดตกไปจากปลายเหล็กแหลมว่า เป็นพราหมณ์
[๔๕๙] เราเรียกบุคคลผู้เปล่งถ้อยคำไม่หยาบ ให้รู้ความกันได้เป็นคำจริง ซึ่งไม่เป็นเหตุทำใครๆ ให้ข้องอยู่ว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ในโลกนี้ ไม่ว่าจะยาวหรือสั้น จะเล็กหรือใหญ่ จะสวยงามหรือไม่สวยงามก็ตามว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ไม่มีความหวัง อยากเป็นโน่นเป็นนี่ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า หมดความทะยานอยากโดยสิ้นเชิง มีจิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้วว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ไม่มีความอาลัยคือตัณหา รู้แจ้งชัดจนหมดความสงสัย มีจิตน้อมไปสู่อมตธรรม จนบรรลุได้ในที่สุดว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ละบุญและบาปทั้ง ๒ ได้ ล่วงพ้นกิเลสเครื่องข้องแล้ว หมดความเศร้าโศก ปราศจากธุลีคือกิเลส เป็นผู้บริสุทธิ์ว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้หมดสิ้นตัณหาที่นำไปเกิดในภพทั้ง ๓ มีจิตไม่มัวหมอง ผ่องใสบริสุทธิ์ดุจดวงจันทร์วันเพ็ญที่ปราศจากเมฆหมอกว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ข้ามพ้นทางอ้อมคือราคะ ทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อคือกิเลส สังสารวัฏฏ์ และโมหะได้แล้ว เป็นผู้ข้ามโอฆะไปถึงฝั่ง มีจิตเพ่งพินิจอยู่เสมอ ไม่หวั่นไหว หมดความสงสัยว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลในโลกนี้ ผู้ละกามทั้งหลาย บวชเป็นบรรพชิต สิ้นภวตัณหาแล้วว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลในโลกนี้ ผู้ละตัณหาได้แล้ว บวชเป็นบรรพชิต สิ้นกามและภพแล้วว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ละโยคะที่เป็นของมนุษย์แล้ว ล่วงพ้นโยคะที่เป็นของทิพย์เสียได้ มีจิตหลุดพ้นจากโยคะทั้งหมดว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ละได้ทั้งความยินดี (ความยินดี หมายถึงความพอใจอย่างยิ่ง ความยินดี ความสงบเย็นในเสนาสนะที่สงัด หรือในสภาวธรรมที่เป็นอกุศล เทียบกับนัยของความยินร้าย) และความยินร้าย (ความยินร้าย หมายถึงความไม่ยินดีอย่างยิ่ง ความกระสัน ความดิ้นรนในเสนาสนะที่สงัด หรือในสภาวธรรมที่เป็นอธิกุศล) เป็นผู้สงบเยือกเย็น ปราศจากอุปธิกิเลสครอบงำโลกคือขันธ์ทั้งหมดได้ มีความเพียรว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้รู้ชัดการจุติและการเกิดของสัตว์ทั้งหลายโดยอาการทั้งปวง เป็นผู้ไม่ติดข้องดำเนินไปด้วยดี รู้แจ้งอริยสัจว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ที่เทวดา คนธรรพ์ และมนุษย์ ผู้ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงคติได้ สิ้นอาสวะแล้ว เป็นพระอรหันต์ว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน หมดความกังวล ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้องอาจ ประเสริฐ มีความเพียร แสวงหาคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ ชนะมารได้แล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องทำให้หวั่นไหว ชำระล้างกิเลสได้แล้ว รู้แจ้งอริยสัจว่า เป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ระลึกถึงอดีตชาติได้ เห็นสวรรค์และนรก ถึงความสิ้นไปแห่งชาติแล้วว่า เป็นพราหมณ์
[๔๖๐] อันที่จริง นามและโคตรที่เขากำหนดให้กันนั้นเป็นเพียงสมมติบัญญัติในโลก นามและโคตรปรากฏอยู่ได้ เพราะรู้ตามกันมา ญาติสาโลหิตกำหนดไว้ในการเกิดนั้นๆ
นามและโคตรที่กำหนดเรียกกันนี้เป็นความเห็นที่ฝังแน่นอยู่ในใจมานาน ของพวกคนผู้ไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้จึงกล่าวบุคคลว่า เป็นพราหมณ์โดยกำเนิด
บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะชาติตระกูลก็หาไม่ หรือไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติตระกูลก็หาไม่ บุคคลเป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม หรือไม่เป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม
บุคคลเป็นชาวนาก็เพราะกรรม เป็นช่างศิลปะก็เพราะกรรม เป็นพ่อค้าก็เพราะกรรม เป็นผู้รับใช้ก็เพราะกรรม
บุคคลแม้เป็นโจรก็เพราะกรรม เป็นทหารอาชีพก็เพราะกรรม เป็นปุโรหิตก็เพราะกรรม แม้เป็นพระราชา ก็เพราะกรรมทั้งนั้น
บัณฑิตทั้งหลายผู้มีปกติเห็นปฏิจจสมุปบาท มีความรู้ความเข้าใจในกรรมและผลของกรรม ย่อมพิจารณาเห็นกรรม ตามความเป็นจริงอย่างนี้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หมู่สัตว์เป็นไปตามกรรม สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นเครื่องผูกพัน เปรียบเหมือนรถมีหมุดเป็นเครื่องตรึงไว้แล่นไปอยู่
บุคคลเป็นพราหมณ์ได้ เพราะกรรมนี้ คือ ตบะ พรหมจรรย์ สัญญมะ ทมะ (ชื่อว่า ตบะ เพราะมีธุดงค์เป็นตบะ ชื่อว่า พรหมจรรย์ เพราะงดเว้นจากเมถุนธรรม ชื่อว่า สัญญมะ เพราะมีศีล ชื่อว่า ทมะ เพราะฝึกอินทรีย์แล้ว) นี้ เป็นคุณธรรมสูงสุดของพราหมณ์
วาเสฏฐะ เธอจงรู้อย่างนี้ว่า ‘บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา ๓ สงบ สิ้นภพใหม่แล้ว เป็นทั้งพรหม และท้าวสักกะของบัณฑิตทั้งหลายผู้รู้แจ้งอยู่”
[๔๖๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพและภารทวาชมาณพได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่ท่านพระโคดม พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่างๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า ‘คนมีตาดีจักเห็นรูปได้’ ข้าพระองค์ทั้งสองนี้ขอถึงท่านพระโคดม พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ทั้งสองว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต” ดังนี้แล
วาเสฏฐสูตรที่ ๘ จบ
------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนี้ นำมาจากบางส่วนของอรรถกถา วาเสฏฐสูตร
ทรงโปรดวาเสฏฐมาณพ
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พราหมณวรรค
๘. อรรถกถาวาเสฏฐสูตร
วาเสฏฐสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ในราวป่าชื่ออิจฉานังคละ คือในราวป่าอันไม่ไกลอิจฉานังคลคาม. ชนแม้ทั้ง ๕ มีจังกีพราหมณ์เป็นต้นต่างก็เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ด้วยกันทั้งนั้น.
คำว่า และพราหมณ์มหาศาลเหล่าอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ พราหมณ์เหล่าอื่นเป็นอันมากมีชื่อเสียง.
ได้ยินว่า พราหมณ์เหล่านั้นประชุมกันในที่ ๒ แห่งทุกๆ ๖ เดือน. ในกาลใดต้องการจะชำระชาติให้บริสุทธิ์ ในกาลนั้นก็ประชุมกันที่อุกกัฏฐคามเพื่อชำระชาติให้บริสุทธิ์ ในสำนักของท่านโปกขรสาติ. ในกาลใดต้องการจะชำระมนต์ให้บริสุทธิ์ ในกาลนั้นก็ประชุมกันที่อิจฉานังคลคาม. ในกาลนี้ ประชุมกันที่อิจฉานังคลคามนั้นเพื่อชำระมนต์ให้บริสุทธิ์.
บทว่า ถ้อยคำที่พูดกันในระหว่าง ความว่า มีถ้อยคำอย่างอื่นเกิดขึ้นในระหว่างถ้อยคำที่เหมาะต่อความเป็นสหายกันที่คน ๒ คนเที่ยวเดินกล่าวตามๆ กัน.
บทว่า มีศีล คือ มีคุณ.
บทว่า สมบูรณ์ด้วยวัตร คือ ถึงพร้อมด้วยความประพฤติ.
คำว่า อันอาจารย์อนุญาตและปฏิญาณได้เอง ความว่า อันอาจารย์อนุญาตอย่างนี้ว่า เธอทั้งหลายศึกษาจบแล้ว.
บทว่า พวกเราเป็นผู้ที่อาจารย์ให้ศึกษาแล้ว ความว่า และตนเองปฏิญาณแล้วอย่างนี้.
ด้วยคำว่าข้าพระองค์เป็นศิษย์ของท่านโปกขรสาติพราหมณ์ มาณพผู้นี้เป็นศิษย์ของท่านตารุกขพราหมณ์ วาเสฏฐมาณพแสดงว่า ข้าพระองค์เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ คือเป็นศิษย์ชั้นเลิศของท่านโปกขรสาติพราหมณ์ มาณพผู้นี้เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ คือเป็นศิษย์ชั้นเลิศของท่านตารุกขพราหมณ์.
บทว่า ผู้ทรงวิชชา ๓ ได้แก่ พราหมณ์ผู้ทรงไตรเพท.
คำว่า บทใดที่พราหมณ์ทั้งหลายบอกแล้ว ความว่า บทใดแม้บทเดียวที่พราหมณ์ทั้งหลายบอกแล้ว ทั้งโดยอรรถะและพยัญชนะ.
คำว่า เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในมนต์นั้น ความว่า ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นผู้ถึงความสำเร็จในบทนั้น เพราะรู้บทนั้นทั้งสิ้น.
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า เช่นเดียวกับอาจารย์ ในสถานที่บอกมนต์ ความว่า ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นเช่นเดียวกับอาจารย์ ในสถานที่กล่าวมนต์.
บทว่า เพราะกรรม ได้แก่ เพราะกรรม คือกุศลกรรมบถ ๑๐.
ก็วาเสฏฐมาณพนี้หมายเอากายกรรมและวจีกรรม ๗ ประการข้างต้น จึงกล่าวว่า กาลใดแลท่านผู้เจริญมีศีล ดังนี้. หมายเอามโนกรรม ๓ จึงกล่าวว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร. ก็บุคคลผู้ประกอบมโนกรรม ๓ นั้น ย่อมเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอาจาระ. วาเสฏฐมาณพร้องเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ผู้มีพระจักษุเพราะเป็นผู้มีจักษุด้วยจักษุ ๕.
บทว่า ล่วงเลยความสิ้นไป ได้แก่ ล่วงเลยความพร่อง. อธิบายว่าบริบูรณ์.
บทว่า เข้าถึง ได้แก่ เข้าไปใกล้.
บทว่า จะนอบน้อม แปลว่า กระทำความนอบน้อม.
คำว่า เป็นดวงจักษุอุบัติขึ้นแล้วในโลก ความว่า เป็นดวงจักษุโดยแสดงประโยชน์ปัจจุบันเป็นต้น ของชาวโลก อุบัติขึ้น ขจัดความมืดนั้น ในโลกอันมืดเพราะอวิชชา.
พระผู้มีพระภาคเจ้าอันวาเสฏฐมาณพชมเชยแล้วทูลอาราธนาอย่างนี้ เมื่อจะทรงสงเคราะห์ชนแม้ทั้งสองจึงตรัสพุทธพจน์มีอาทิว่า เราตถาคตจักบอกถ้อยคำอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอทั้งสองนั้น ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จักบอกอย่างชัดแจ้ง ได้แก่ จักพยากรณ์.
บทว่า ตามลำดับ ความว่า ความคิดของพราหมณ์จงพักไว้ก่อน เราจักบอกตามลำดับ คือโดยลำดับตั้งแต่หญ้า ต้นไม้ แมลงและตั๊กแตนเป็นต้น.
บทว่า การจำแนกชาติกำเนิด คือ ความพิสดารของชาติกำเนิด.
คำว่า เพราะชาติกำเนิดคนละอย่าง ความว่า เพราะชาติกำเนิดของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ คนละอย่างคือ แต่ละอย่างต่างๆ กัน.
ด้วยบทว่า หญ้าและต้นไม้ ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มพระเทศนานี้ว่า เราจักกล่าวชาติกำเนิดที่ไม่มีวิญญาณครอง แล้วจักกล่าวถึงชาติกำเนิดที่มีวิญญาณครองภายหลัง ความต่างกันแห่งชาติกำเนิดนั้น จักปรากฏอย่างนี้. ก็พระมหาสิวเถระถูกถามว่า ท่านผู้เจริญ การกล่าวอย่างนี้ว่า สิ่งที่ไม่มีวิญญาณครอง ชื่อว่าเป็นของต่างกัน เพราะมีพืชต่างกัน สิ่งที่มีวิญญาณครอง ก็ชื่อว่าเป็นของต่างกัน เพราะกรรมต่างกัน ดังนี้ ไม่ควรหรือ จึงตอบว่า เออ ไม่ควร. เพราะกรรมซัดเข้าในกำเนิดสัตว์เหล่านี้มีพรรณต่างๆ กัน เพราะการปฏิสนธิในกำเนิด.
ในบทว่า หญ้าและต้นไม้ นี้มีกระพี้อยู่ข้างใน แก่นอยู่ข้างนอก ชั้นที่สุดแม้ตาลและมะพร้าวเป็นต้น ชื่อว่าหญ้าทั้งนั้น. ส่วนไม้ที่มีแก่นอยู่ข้างใน กระพี้อยู่ข้างนอก ชื่อว่าต้นไม้ทั้งหมด. คำว่า แม้จะปฏิญาณไม่ได้ ความว่า ย่อมไม่รู้อย่างนี้ว่า พวกเราเป็นหญ้า พวกเราเป็นต้นไม้ หรือว่าเราเป็นหญ้าเราเป็นต้นไม้.
คำว่า เพศอันสำเร็จด้วยชาติกำเนิด ได้แก่ ก็หญ้าและต้นไม้เหล่านั้น แม้ไม่รู้ (คือปฏิญาณไม่ได้) สัณฐานมันก็สำเร็จมาแต่ชาติกำเนิดทั้งนั้น คือเป็นเหมือนหญ้าเป็นต้น ซึ่งเป็นเค้าเดิมของตนนั่นเอง.
เพราะเหตุไร.
เพราะชาติกำเนิดมันต่างๆ กัน. คือเพราะติณชาติก็อย่างหนึ่ง รุกขชาติก็อย่างหนึ่ง แม้บรรดาติณชาติทั้งหลาย ชาติกำเนิดตาลก็อย่างหนึ่ง ชาติกำเนิดมะพร้าวก็อย่างหนึ่ง. พึงขยายความให้กว้างขวางออกไปด้วยประการอย่างนี้.
ด้วยคำว่า ชาติกำเนิดต่างกัน นี้ทรงแสดงความหมายนี้ว่า สิ่งใดต่างกันโดยชาติกำเนิด สิ่งนั้นแม้เว้นการปฏิญาณตนหรือการชี้บอกแนะนำของคนอื่น ก็ย่อมถือเอาได้โดยพิเศษว่า (มันมี) ชาติกำเนิดคนละอย่าง. ก็หากว่าคนพึงเป็นพราหมณ์แท้ๆ โดยชาติกำเนิด แม้เขาเว้นการปฏิญาณตนหรือการบอกเล่าของคนอื่น พึงถือเอาโดยพิเศษแต่กษัตริย์ แพศย์ หรือศูทร แต่จะถือเอาหาได้ไม่. เพราะฉะนั้น บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิดก็หาไม่. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงกระทำให้แจ้งซึ่งเนื้อความนี้ แห่งพระคาถาว่า ในชาติกำเนิดเหล่านี้ฉันใด ดังนี้ โดยทรงเปล่งพระวาจาไว้เท่านั้นข้างหน้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงชาติกำเนิดในสิ่งที่ไม่มีวิญญาณครองอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงชาติกำเนิดในสิ่งที่มีวิญญาณครอง แต่นั้นจึงตรัสคำมีอาทิว่า ตั๊กแตน ดังนี้.
คำว่า ตลอดถึงมดดำมดแดง ความว่า ทรงทำมดดำมดแดงให้เป็นชาติสุดท้าย.
ก็ในบรรดาสัตว์เหล่านี้ สัตว์ที่กระโดดไป ชื่อว่าตั๊กแตน. คำว่า เพราะชาติกำเนิดคนละอย่าง หมายความว่า ชาติกำเนิดเนื่องด้วยสิ่งที่มีสีเขียวสีแดงเป็นต้นของสัตว์แม้เหล่านั้น ก็มีประการต่างๆ แท้.
บทว่า ตัวเล็ก ได้แก่ กระรอกเป็นต้น. บทว่า ใหญ่ ได้แก่ งูและแมวเป็นต้น.
บทว่า มีเท้าที่ท้อง แปลว่า มีท้องเป็นเท้า. อธิบายว่า ท้องนั่นแหละเป็นเท้าของสัตว์เหล่าใด. บทว่า มีหลังยาว ความว่า งูทั้งหลายมีหลังอย่างเดียว ตั้งแต่หัวจรดหาง เพราะฉะนั้น งูเหล่านั้น ตรัสเรียกว่า มีหลังยาว. บทว่า ในน้ำ คือ เกิดในน้ำ.
นกทั้งหลายชื่อว่า ไปด้วยปีก เพราะบินไปด้วยปีกเหล่านั้น. ชื่อว่า ไปทางอากาศ เพราะไปทางอากาศกลางหาว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงชาติกำเนิดแต่ละประเภทของสัตว์ที่ไปทางบก ทางน้ำและทางอากาศอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงกระทำพระประสงค์อันเป็นเครื่องแสดงถึงเรื่องชาติกำเนิดนั้นให้ชัดแจ้ง จึงตรัสพระคาถาว่า ในชาติกำเนิดเหล่านี้ฉันใด ดังนี้เป็นต้น. เนื้อความแห่งคาถานั้นทรงตรัสไว้โดยย่อทีเดียว. แต่คำใดที่จะพึงตรัสในที่นี้โดยพิสดาร เมื่อจะทรงแสดงคำนั้นโดยพระองค์เองจึงตรัสคำว่า มิใช่ด้วยผม ดังนี้เป็นต้น.
ในคำนั้นมีการประกอบความดังต่อไปนี้.
คำใดที่กล่าวว่า ในหมู่มนุษย์ ไม่มีเพศที่สำเร็จด้วยชาติกำเนิดมากมาย ดังนี้ คำนั้นพึงทราบว่า ไม่มีอย่างนี้.
คืออย่างไร.
คือ มิใช่ด้วยผมทั้งหลาย. เพราะไม่มีการกำหนดไว้ว่า พวกพราหมณ์มีผมเช่นนี้ พวกกษัตริย์เช่นนี้เหมือนผมของช้าง ม้าและเนื้อเป็นต้น. ก็พระดำรัสที่ว่า เพศอันสำเร็จด้วยชาติกำเนิด (ในมนุษย์ทั้งหลาย) ไม่เหมือนในชาติกำเนิดเหล่าอื่นดังนี้ พึงทราบว่า เป็นคำกล่าวสรุปเนื้อความที่ตรัสไว้แล้วเท่านั้น บทนั้นประกอบความว่า เพราะเพศในมนุษย์ทั้งหลาย อันสำเร็จด้วยชาติเป็นอันมาก ย่อมไม่มีด้วยผมเป็นต้นเหล่านี้ ด้วยประการอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พึงทราบเพศนั้นว่า ในมนุษย์ทั้งหลายที่ต่างกันโดยเป็นพราหมณ์เป็นต้น เพศที่สำเร็จด้วยชาติกำเนิดหาเหมือนในชาติกำเนิดเหล่าอื่นไม่. บัดนี้ ในเมื่อความแตกต่างแห่งชาติกำเนิดแม้จะไม่มีอย่างนี้ เพื่อที่จะแสดงประการที่เกิดความต่างกันนี้ที่ว่า พราหมณ์ กษัตริย์นั้น จึงตรัสคาถาว่า เป็นของเฉพาะตัว ดังนี้.
เหมือนอย่างว่า สำหรับสัตว์เดียรัจฉานทั้งหลาย ความต่างกันโดยสัณฐาน มีผมเป็นต้น สำเร็จมาแต่กำเนิดทีเดียว ฉันใด สำหรับพวกพราหมณ์เป็นต้น ความต่างกันนั้นในสรีระของตนย่อมไม่มี ฉันนั้น. แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ความต่างกันที่ว่า พราหมณ์ กษัตริย์ ดังนี้นั้น ในหมู่มนุษย์เขาเรียกกันตามชื่อ คือ เขาเรียกโดยสักว่าต่างกันเท่านั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงข่มวาทะของภารทวาชมาณพ ด้วยพระดำรัสมีประมาณเท่านี้ บัดนี้ ถ้าหากว่าคนจะเป็นพราหมณ์ได้เพราะชาติไซร้ แม้คนที่มีอาชีพ ศีล และความประพฤติเสียหาย ก็จะเป็นพราหมณ์ได้ แต่เพราะเหตุที่พราหมณ์แต่เก่าก่อน ไม่ปรารถนาความที่คนเสียหายนั้นมาเป็นพราหมณ์ และคนที่เป็นบัณฑิตแม้อื่นๆ ย่อมมีอยู่ในโลก เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรงยกย่องวาทะของวาเสฏฐมาณพ จึงตรัสคาถา ๘ คาถาว่า ก็บุคคลใดคนหนึ่งในหมู่มนุษย์ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า การรักษาโค คือการรักษานา. อธิบายว่า กสิกรรม. ก็คำว่าโคเป็นชื่อของแผ่นดิน เพราะฉะนั้น จึงตรัสอย่างนั้น.
บทว่า ด้วยศิลปะมากมาย ได้แก่ ศิลปะต่างๆ มีการงานของช่องทอหูกเป็นต้น.
บทว่า ค้าขาย ได้แก่ การค้าขาย.
บทว่า ด้วยการรับใช้ผู้อื่น คือ ด้วยกรรมคือการขวนขวายช่วยเหลือคนอื่น.
บทว่า อาศัยศัสตราเลี้ยงชีวิต คือ การเป็นอยู่ด้วยอาวุธ. อธิบายว่า (อาศัย) ลูกศรและศัสตรา. บทว่า ด้วยความเป็นปุโรหิต คือ ด้วยการงานของปุโรหิต.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงประกาศความที่คนเสียหายด้านอาชีพ ศีล และความประพฤติ ว่าไม่เป็นพราหมณ์ โดยลัทธิของพราหมณ์ และโดยโวหารของชาวโลกอย่างนี้แล้ว ทรงให้ยอมรับความถูกต้องนี้ โดยใจความอย่างนี้ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ คนย่อมไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นพราหมณ์เพราะพวกคนวัยรุ่น เพราะฉะนั้น คนใดเกิดในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เป็นคนมีคุณความดี คนนั้นเป็นพราหมณ์ นี้เป็นความถูกต้องในอธิการที่ว่าด้วยเรื่องพราหมณ์นี้ ดังนี้ บัดนี้ เมื่อจะทรงประกาศความถูกต้องนั้นด้วยการเปล่งคำพูดออกมา จึงตรัสว่า และเราก็ไม่เรียกว่าเป็นพราหมณ์ดังนี้เป็นต้น.
ใจความของพระดำรัสนั้นมีว่า
เพราะเราไม่เรียกคนผู้เกิดในกำเนิดใดกำเนิดหนึ่ง บรรดากำเนิด ๔ หรือผู้ที่เกิดในมารดาที่พราหมณ์ยกย่องสรรเสริญโดยพิเศษในกำเนิด ๔ แม้นั้น ผู้เกิดแต่กำเนิด มีมารดาเป็นแดนเกิดนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ คือ เราไม่เรียกคนผู้ที่เขากล่าวว่าเกิดแต่กำเนิด มีมารดาเป็นแดนเกิด เพราะเป็นผู้เกิดแต่กำเนิด โดยมารดาสมบัติก็ตาม โดยชาติสมบัติก็ตาม ด้วยคำที่มานี้ว่า กำเนิดกล่าวคือ เพียงแต่ความบังเกิดขึ้นอันบริสุทธิ์ของพราหมณ์ที่พวกพราหมณ์กล่าวไว้ โดยนัยมีอาทิว่า ผู้เกิดดีแล้วแต่ข้างทั้งสองฝ่าย มีครรภ์ที่ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์นั้น ผู้เกิดแต่กำเนิด มีมารดาเป็นแดนเกิดนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ด้วยเหตุสักว่าเกิดแต่กำเนิด มีมารดาเป็นแดนเกิดนี้.
เพราะเหตุไร.
เพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ชื่อว่าโภวาที มีวาทะว่าผู้เจริญ เพราะเป็นผู้วิเศษกว่าคนเหล่าอื่น ผู้มีความกังวล ด้วยสักแต่กล่าวว่าผู้เจริญ ผู้เจริญ บุคคลนั้นแลเป็นผู้มีความกังวล มีความห่วงใย.
ส่วนบุคคลใดแม้จะเกิดในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ชื่อว่าผู้ไม่มีความกังวล เพราะไม่มีกิเลสเครื่องกังวลมีราคะเป็นต้น. ชื่อว่าผู้ไม่ถือมั่น เพราะสละความยึดถือทั้งปวง เราเรียกบุคคลผู้ไม่มีความกังวล ผู้ไม่ยึดถือนั้นว่าเป็นพราหมณ์.
เพราะเหตุไร.
เพราะเป็นผู้ลอยบาปแล้ว. สูงขึ้นไปหน่อย คาถา ๒๗ เป็นต้นว่า ตัดสังโยชน์ทั้งปวง ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สังโยชน์ทั้งปวง ได้แก่ สังโยชน์ทั้งหมด คือแม้ทั้ง ๑๐.
บทว่า ย่อมไม่สะดุ้ง คือ ย่อมไม่สะดุ้งด้วยความสะดุ้งคือตัณหา.
บทว่า ล่วงกิเลสเครื่องข้อง คือ ก้าวล่วงกิเลสเครื่องข้องมีราคะเป็นต้น.
บทว่า ผู้ไม่ประกอบ คือ ผู้ไม่ประกอบด้วยกำเนิด ๔ หรือด้วยกิเลสทั้งปวง.
บทว่า สายเชือกหนัง ได้แก่ อุปนาหะ ความผูกโกรธ.
บทว่า สายหนัง ได้แก่ ตัณหา.
บทว่า ที่ต่อ แปลว่า เชือกบ่วง.
คำว่า เชือกบ่วง นี้เป็นชื่อของกิเลสเครื่องกลุ้มรุม คือทิฐิ. ปมที่สอดเข้าในบ่วงเรียกว่า สายปม.
ในคำว่า มีลิ่มสลักอันถอนขึ้นแล้วนี้ อวิชชา ชื่อว่าดุจลิ่ม.
บทว่า ผู้ตรัสรู้แล้ว ได้แก่ ตรัสรู้สัจจะทั้ง ๔.
บทว่า ย่อมอดกลั้น คือ ย่อมอดทน. บทว่า ผู้มีขันติเป็นหมู่พล คือ มีอธิวาสนขันติเป็นหมู่พล. ก็ขันตินั้นเกิดขึ้นคราวเดียว ไม่ชื่อว่าเป็นกำลังดังหมู่พล ต่อเกิดบ่อยๆ จึงเป็น. ชื่อว่ามีกำลังดังหมู่พล เพราะมีอธิวาสนขันตินั้น.
บทว่า ผู้มีองค์ธรรมเครื่องจำกัด คือ มีธุดงควัตร.
บทว่า มีศีล คือ มีคุณความดี.
บทว่า ผู้ไม่มีกิเลส เครื่องฟูขึ้น คือปราศจากกิเลสเครื่องฟูขึ้นมีราคะเป็นต้น.
บทว่า ผู้ฝึกแล้ว คือ หมดพยศ.
บทว่า ย่อมไม่ฉาบทา คือ ย่อมไม่ติด.
บทว่า ในกามทั้งหลาย ได้แก่ ในกิเลสกามและวัตถุกาม.
พระอรหัต ท่านประสงค์เอาว่า ธรรมเป็นที่สิ้นทุกข์ในพระบาลีนั้นว่า ย่อมรู้ชัดซึ่งธรรมเป็นที่สิ้นทุกข์ในภพนี้เอง ดังนี้.
บทว่า ย่อมรู้ชัด หมายความว่า รู้ด้วยอำนาจการบรรลุ.
บทว่า ผู้มีภาระอันปลงแล้ว คือ ผู้มีภาระอันปลงลงแล้ว ได้แก่ทำภาระคือขันธ์ กิเลส อภิสังขารและกามคุณ ให้หยั่งลงตั้งอยู่.
บทที่ไม่ประกอบแล้ว มีเนื้อความกล่าวไว้แล้วแล.
บทว่า มีปัญญาลึกซึ้ง คือ มีปัญญาอันไปแล้วในอารมณ์อันลึกซึ้ง.
บทว่า มีปรีชา ได้แก่ ผู้มีปัญญา ด้วยปัญญาตามปกติ.
คำว่า (ด้วยคฤหัสถ์) และบรรพชิตทั้งสองพวก ความว่า ผู้ไม่คลุกคลีด้วยคฤหัสถ์และบรรพชิต. อธิบายว่า ผู้ไม่คลุกคลีเด็ดขาดในชนทั้งสองพวก และด้วยคฤหัสถ์และบรรพชิตแม้ทั้งสองพวกเหล่านั้น.
ในบทว่า ผู้ไม่อาลัยเที่ยวไป ความว่า ความอาลัยในกามคุณ ๕ เรียกว่า โอกะ ผู้ไม่ติดอาลัยคือกามคุณ ๕ นั้น.
บทว่า ผู้มีความปรารถนาน้อย คือ ผู้ไม่มีความปรารถนา. บทว่า ผู้สั่นคลอน คือ ผู้มีตัณหา. บทว่า ผู้มั่นคง คือ ไม่มีตัณหา. บทว่า ผู้มีอาชญาในตนคือ ผู้ถืออาชญา. บทว่า ผู้ดับแล้ว คือ ดับแล้วด้วยการดับกิเลส. บทว่า ผู้มีความยึดถือ คือ ผู้มีความถือมั่น. บทว่า ปลงลงแล้ว แปลว่า ให้ตกไป. บทว่า ไม่แข็งกระด้าง คือ ไม่มีโทษ. เพราะแม้ต้นไม้ที่มีโทษ ก็เรียกว่ามีความแข็งกระด้าง. บทว่า อันยังผู้อื่นให้เข้าใจ คือ อันยังคนอื่นให้เข้าใจ ได้แก่ไม่ส่อเสียด. บทว่า จริง คือ ไม่คลาดเคลื่อน. บทว่า เปล่ง คือ กล่าว.
คำว่า ไม่ทำให้คนอื่นข้องใจด้วยวาจาใด ความว่า ย่อมกล่าววาจาอันไม่หยาบ ไม่เป็นเหตุทำให้คนอื่นติดใจหรือข้องใจเช่นนั้น. ทรงแสดงสิ่งของที่ร้อยด้ายไว้ ด้วยคำว่ายาว. ทรงแสดงสิ่งของที่กระจัดกระจายกันอยู่ ด้วยคำว่า สั้น.
บทว่า ละเอียด แปลว่าเล็ก. บทว่า หยาบ แปลว่าใหญ่. บทว่า งามไม่งาม คือ ดีไม่ดี. เพราะสิ่งของ (ที่ร้อยเป็นพวง) ยาว มีราคาน้อยบ้าง มากบ้าง. แม้ในสิ่งของนั้น (คือกระจายกันอยู่) ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ดังนั้น ด้วยพระดำรัสมีประมาณเท่านี้ หาได้ทรงกำหนดถือเอาสิ่งทั้งหมดไม่ แต่ทรงกำหนดถือเอาด้วยสิ่งของนี้ที่ว่า งามและไม่งาม. บทว่า ไม่มีความหวัง คือ ไม่มีความอยาก. บทว่า ความอาลัย ได้แก่ความอาลัย คือตัณหา. บทว่า เพราะรู้ทั่ว คือ เพราะรู้. บทว่า อันหยั่งลงสู่อมตธรรม คืออันเป็นภายในอมตธรรม. บทว่า ถึงแล้วโดยลำดับ ได้แก่ เข้าไปแล้วโดยลำดับ.
บทว่า ธรรมเครื่องข้องทั้งสอง คือ ธรรมเครื่องข้องแม้ทั้งสองนั้น. เพราะว่าบุญย่อมทำให้สัตว์ข้องในสวรรค์ บาปย่อมยังสัตว์ให้ข้องอยู่ในอบาย. เพราะฉะนั้นจึงตรัสว่า ธรรมเป็นเครื่องข้องแม้ทั้งสองนั้น.
บทว่า เลยแล้ว แปลว่า ล่วงไปแล้ว. บทว่า ไม่ขุ่นมัว คือ เว้นจากกิเลสที่ทำให้ขุ่นมัว.
บทว่า ผู้มีความเพลิดเพลินในภพสิ้นแล้ว ได้แก่ มีความเพลิดเพลินสิ้นไปแล้ว มีภพสิ้นไปแล้ว.
ความว่า อวิชชานั่นแหละ ท่านกล่าวว่า ชื่อว่าดุจทางลื่น เพราะอรรถว่าทำให้เคลื่อนคลาด. ชื่อว่าดุจหล่ม เพราะเป็นของอันถอนขึ้นได้ยากมาก. ชื่อว่าสังสาร เพราะอรรถว่าท่องเที่ยวไป (และ). ชื่อว่าโมหะ เพราะอรรถว่าโง่เขลา.
บทว่า ข้ามแล้ว คือ ข้ามโอฆะทั้ง ๔. คำว่า ถึงฝั่ง คือ ถึงพระนิพพาน.
บทว่า มีปรกติเพ่ง คือ มีปรกติเพ่งด้วยอำนาจเพ่งอารมณ์และลักษณะ. บทว่า ผู้ไม่หวั่นไหว คือ ไม่มีตัณหา. คำว่า ดับแล้ว เพราะไม่ถือมั่น ได้แก่ ดับแล้วด้วยการดับกิเลสทั้งปวง เพราะไม่ยึดถืออะไร.
บทว่า กามทั้งหลาย ได้แก่ กามแม้ทั้งสอง. บทว่า ไม่มีเรือน แปลว่า เป็นผู้ไม่มีเรือน. บทว่า เว้น แปลว่า ย่อมเว้นทุกด้าน. บทว่า มีกามและภพสิ้นแล้ว คือ สิ้นกาม สิ้นภพ. คำว่า กิเลสเครื่องประกอบของมนุษย์ ได้แก่กิเลสเครื่องประกอบ คือกามคุณ ๕ อันเป็นของมนุษย์.
บทว่า กิเลสเครื่องประกอบอันเป็นทิพย์ คือ กิเลสเครื่องประกอบคือกามคุณ ๕ อันเป็นทิพย์. บทว่า ไม่ประกอบด้วยกิเลสเครื่องประกอบทั้งปวง ความว่า ปราศจากกิเลสเครื่องประกอบทั้งปวง.
บทว่า ยินดี คือ ยินดีกามคุณ ๕. บทว่า ไม่ยินดี ได้แก่ ไม่พอใจในกุศลภาวนา. บทว่า ผู้แกล้วกล้า คือ มีความเพียร. บทว่า ผู้ไปดีแล้ว คือ ไปสู่สถานที่ดี หรือดำเนินไปด้วยข้อปฏิบัติอันดี. บทว่า คติ คือ ความสำเร็จ. บทว่า ข้างหน้า ได้แก่ ในอดีต. บทว่า ข้างหลัง ได้แก่ ในอนาคต. บทว่า ในท่ามกลาง คือ ในปัจจุบัน. บทว่า เครื่องกังวล คือ กิเลสตัวที่ทำให้กังวล. บทว่า ผู้แสวงหาอันยิ่ง คือ ชื่อว่าผู้แสวงหาคุณอันยิ่ง เพราะแสวงหาคุณอันใหญ่. บทว่า ผู้มีความชนะ คือ ผู้มีความชนะอันชนะแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงเฉพาะพระขีณาสพเท่านั้นว่าเป็นพราหมณ์โดยคุณความดีอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงว่า บุคคลใดกระทำการถือมั่นว่า เป็นพราหมณ์เพราะชาติ ดังนี้ บุคคลนั้นไม่รู้การถือมั่นนี้ ทิฐิอันนั้นของคนเหล่านั้น เป็นทิฐิชั่ว จึงตรัสสองคาถาว่า อันชื่อว่าดังนี้. เนื้อความของสองคาถานั้นมีว่า อันชื่อและโคตรที่เขาจัดแจงไว้ ตั้งไว้ ปรุงแต่งไว้ว่า พราหมณ์ กษัตริย์ ภารทวาชะ วาเสฏฐะนั้นใด อันนั้นเป็นชื่อ (เรียกกัน) ในโลก. อธิบายว่า เป็นเพียงเรียกกัน.
เพราะเหตุไร.
เพราะสมมุติ เรียกกัน คือมาโดยการหมายรู้กัน. เพราะชื่อและโคตรนั้น ญาติสาโลหิตจัดแจงไว้ตั้งไว้ในเวลาที่เขาเกิดในที่นั้นๆ. หากไม่กำหนดชื่อและโคตรนั้นไว้อย่างนั้น คนไรๆ เห็นใครๆ ก็จะไม่รู้ว่าผู้นี้เป็นพราหมณ์หรือว่าเป็นภารทวาชะ. ก็ชื่อและโคตรนั้นที่เขากำหนดไว้อย่างนั้น กำหนดไว้เพื่อความรู้สึกว่า ทิฐิอันนอนเนื่องอยู่สิ้นกาลนาน ทิฐิอันนอนเนื่องอยู่สิ้นกาลนานในหทัยของสัตว์ทั้งหลายผู้ไม่รู้ว่า นั่นสักแต่ว่าชื่อและโคตรที่เขากำหนดไว้เพื่อเรียกกัน. อธิบายว่า เพราะทิฐินั้นนอนเนื่องอยู่ ผู้ไม่รู้ชื่อและโคตรนั้น คือไม่รู้เลยว่า เป็นพราหมณ์ ก็เที่ยวพูดอย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นพราหมณ์เพราะชาติดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า บุคคลผู้ถือมั่นว่า เป็นพราหมณ์โดยชาตินั้น ไม่รู้มาตรว่าการเรียกกันนี้ ทิฐิอันนั้นของคนเหล่านั้นเป็นทิฐิชั่ว ดังนี้อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงปฏิเสธวาทะว่าด้วยชาติอย่างเด็ดขาด และทรงตั้งวาทะว่าด้วยกรรม จึงตรัสคำเป็นต้นว่า มิใช่เพราะชาติ ดังนี้.
เพื่อขยายความของกึ่งคาถาที่ว่า เพราะกรรม ดังนี้ในพระดำรัสนั้น จึงตรัสคำว่า เป็นชาวนาเพราะการงาน ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เพราะการงาน ได้แก่ เพราะกรรมคือเจตนาตัวบังเกิดการงานมีกสิกรรมเป็นต้นอันเป็นปัจจุบัน.
บทว่า ปฏิจจสมุปบาท ได้แก่มีปรกติเห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ว่า เป็นอย่างนี้เพราะปัจจัยนี้.
บทว่า ผู้รู้ในกรรมและผลของกรรม ความว่า ผู้ฉลาดในกรรมและผลของกรรมอย่างนี้ว่า ย่อมมีการอุบัติในตระกูลอันควรแก่การนับถือและไม่นับถือ เพราะอำนาจกรรม ความเลวและความประณีตแม้อื่นๆ ย่อมมีในเมื่อกรรมเลวและประณีตให้ผล. ก็พระคาถาว่า ย่อมเป็นไปเพราะกรรม ดังนี้ มีความหมายเดียวเท่านั้นว่า ชาวโลกหรือหมู่สัตว์ หรือว่าสัตว์. ต่างกันแต่สักว่าคำ.
ก็ในพระคาถานี้ ด้วยบทแรก พึงทราบการปฏิเสธทิฐิว่า มีพรหม มหาพรหม ผู้ประเสริฐ เป็นผู้จัดแจง. ชาวโลกย่อมเป็นไปในคตินั้นๆ เพราะกรรม ใครจะเป็นผู้จัดแจงโลกนั้น. ด้วยบทที่สอง ทรงแสดงว่า แม้เกิดเพราะกรรมอย่างนี้ก็เป็นไปและย่อมเป็นไปเพราะกรรมอันต่างโดยเป็นกรรมปัจจุบันและกรรมอันเป็นอดีต. เสวยสุขทุกข์และถึงประเภทเลวและประณีตเป็นต้น เป็นไป. ด้วยบทที่สาม ทรงสรุปเนื้อความนั้นนั่นแลว่า สัตว์ทั้งหลายถูกผูกไว้ที่กรรม หรือเป็นผู้อันกรรมผูกพันไว้ เป็นไปอยู่ แม้โดยประการทั้งปวงอย่างนี้ มิใช่โดยประการอื่น. ด้วยบทที่ ๔ ทรงทำเนื้อความนั้นให้ชัดแจ้งด้วยการเปรียบเทียบ. เหมือนอย่างว่ารถที่กำลังแล่นไป เพราะยังมีลิ่มสลักอยู่ รถที่ลิ่มนั้นไม่สลักไว้ย่อมแล่นไปไม่ได้ ฉันใด ชาวโลกผู้เกิดแล้วและเป็นไปแล้ว มีกรรมเป็นเครื่องผูกพัน ถ้ากรรมนั้นไม่ผูกพันไว้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ฉันนั้น.
บัดนี้ เพราะเหตุที่ชาวโลกถูกผูกไว้ในเพราะกรรม เพราะเหตุนั้น เมื่อจะทรงแสดงความเป็นผู้ประเสริฐเพราะกรรมอันประเสริฐ จึงตรัส ๒ คาถาว่า คือ เพราะตบะ ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เพราะตบะ ได้แก่ เพราะตบะ คือธุดงควัตร. บทว่า เพราะพรหมจรรย์ คือ เพราะเมถุนวิรัติ. บทว่า เพราะความสำรวม คือ เพราะศีล. บทว่า เพราะการฝึก คือ เพราะการฝึกอินทรีย์.
บทว่า นี้ ความว่า เป็นพราหมณ์เพราะกรรมอันประเสริฐ คือบริสุทธิ์ เป็นดุจพรหมนี้.
เพราะเหตุไร.
เพราะความเป็นพราหมณ์นี้เป็นของสูงสุด อธิบายว่า เพราะกรรมนี้เป็นคุณความดีของพราหมณ์อย่างสูงสุด.
ก็ในคำว่าพราหมณ์นี้มีความหมายของคำดังต่อไปนี้. ชื่อว่าพราหมณ์ เพราะอรรถว่านำมาซึ่งพรหม. อธิบายว่า นำมาซึ่งความเป็นพราหมณ์.
บทว่า ผู้สงบ ดังนี้ในคาถาที่ ๒ มีความว่า เป็นผู้มีกิเลสอันสงบแล้ว.
คำว่า เป็นพรหม เป็นท้าวสักกะ คือเป็นพระพรหม เป็นท้าวสักกะ. อธิบายว่า บุคคลเห็นปานนี้ ไม่ใช่เป็นพราหมณ์อย่างเดียว โดยที่แท้ บุคคลนั้นเป็นพรหมและเป็นท้าวสักกะของบัณฑิต ผู้รู้แจ้งทั้งหลาย วาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้.
จบอรรถกถาวาเสฏฐสูตรที่ ๘
-----------------------------------------------------
ไม่มีความเห็น